คณะสหเวชศาสตร์
Permanent URI for this collection
Browse
Browsing คณะสหเวชศาสตร์ by Subject "Balance"
Now showing 1 - 13 of 13
Results Per Page
Sort Options
- Itemการพัฒนาสมการทำนายความแข็งแรงของกล้ามเนื้อถีบปลายเท้าจากการทดสอบยืนเขย่งปลายเท้าในผู้สูงอายุ(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2017) ฟาโรอัล สิทธิมนต์; ศิณัฐตรา จันทร์ซาการศึกษานี้เป็นการวิจัยเชิงวิเคราะห์ (Analytical Research) ในรูปแบบสหสัมพันธ์ (Correlational Research) เพื่อศึกษาหาความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรค่าความแข็งแรงของกล้ามเนื้อถีบปลายเท้ากับความสามารถในการยืนเขย่งปลายเท้า ความสามารถในการทรงตัวและตัวแปรข้อมูลพื้นฐานทางกายภาพในผู้สูงอายุ โดยอาสาสมัครเป็นผู้สูงอายุสุขภาพดี อายุ 60 ปีขึ้นไป จำนวน 56 คน (เพศชาย 19 คน และเพศหญิง 37 คน) อาสาสมัครทั้งหมดได้รับการบันทึกค่าตัวแปรพื้นฐานทางกายภาพ ประเมินการทรงตัวขณะอยู่นิ่งด้วยการทดสอบ Single leg stand ขณะหลับตาและลืมตา การทรงตัวขณะเคลื่อนไหวด้วย Functional reach test ทดสอบความแข็งแรงของกล้ามเนื้อถีบปลายเท้าด้วย Push-pull dynamometer และทำการทดสอบการยืนเขย่งปลายเท้า (Standing heel-rise test) ผลการทดสอบถูกวิเคราะห์ด้วยสถิติ Pearson product moment correlation coefficient เพื่อหาค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรการทดสอบ ใช้สถิติ Multiple regression analysis เพื่อหาสมการพยากรณ์ค่าความแข็งแรงของกล้ามเนื้อถีบปลายเท้า โดยกำหนดระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ p < 0.05 ผลการศึกษาพบว่า ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อถีบปลายเท้า (Ankle plantarflexor muscle strength) มีความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติกับ 1) ข้อมูลพื้นฐานทางกายภาพของอาสามัคร ได้แก่ เพศ อายุ น้ำหนัก และส่วนสูง (r = 0.458, -0.235, 0.390 และ 0.469 ตามลำดับ) 2) ความสามารถในการทรงตัวขณะเคลื่อนไหว (Dynamic balance) และการทรงตัวขณะอยู่นิ่ง (Static balance) (r = 0.387 และ 0.466 ตามลำดับ) และ 3) กำลังในการทดสอบยืนเขย่งปลายเท้า (Standing heel-rise test) จำนวน 5 ครั้ง (r = 0.563) สามารถสร้างสมการที่สามารถทำนายความแข็งแรงของกล้ามเนื้อถีบปลายเท้าจากตัวแปรเพศ เวลาในการทดสอบ Single leg stand ขณะลืมตา และกำลังที่ทำการยืนเขย่งปลายเท้า จำนวน 5 ครั้ง (power of standing heel rise test) ซึ่งมีความสัมพันธ์ในระดับสูง (r = 0.723) โดยมีอำนาจในการทำนาย 52.2 เปอร์เซนต์ และมีค่าความคลาดเคลื่อนในการทำนายเท่ากับ 6.156 กิโลกรัม ผลการศึกษาในครั้งนี้สรุปได้ว่าตัวแปรเพศ การทดสอบ Single leg stand และการทดสอบยืนเขย่งปลายเท้า มีอิทธิพลต่อความแข็งแรงของกล้ามเนื้อถีบปลายเท้า และนำมาใช้สร้างสมการในการทำนายความแข็งแรงของกล้ามเนื้อถีบปลายเท้าในผู้สูงอายุได้
- Itemการพัฒนาสมการทำนายความแข็งแรงของกล้ามเนื้อเหยียดเข่าจากการทดสอบการยืนย่อเข่าในผู้สูงอายุ(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2017) พงศ์พนัส เพิ่มการ; กนกวรรณ กันติ๊บการศึกษานี้เป็นการวิจัยเชิงวิเคราะห์ (Analytical research) ในรูปแบบสหสัมพันธ์ (Correlational Research) เพื่อศึกษาหาความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรค่าความแข็งแรงของกล้ามเนื้อเหยียดเข่ากับความสามารถในการยืน - ย่อเข่า ความสามารถในการทรงตัว และตัวแปรข้อมูลพื้นฐานทางกายภาพในผู้สูงอายุ โดยอาสาสมัครเป็นผู้สูงอายุสุขภาพดี อายุ 60 ปีขึ้นไป จำนวน 55 คน (เพศชาย 19 คน และเพศหญิง 36 คน) อาสาสมัครทั้งหมดได้รับการบันทึกค่าตัวแปรพื้นฐานทางกายภาพ ประเมินการทรงตัวขณะอยู่นิ่งด้วยการทดสอบ Single Leg Stand ขณะหลับตาและลืมตา การทรงตัวขณะเคลื่อนไหวด้วย Functional Reach Test ทดสอบความแข็งแรงของกล้ามเนื้อเหยียดเข่าด้วย Hand Held Dynamometer และทำการทดสอบการยืน - ย่อเข่า (Squat Test) ผลการทดสอบถูกวิเคราะห์ด้วยสถิติ Pearson product moment correlation coefficient เพื่อหาค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรการทดสอบ ใช้สถิติ Multiple regression analysis เพื่อหาสมการพยากรณ์ค่าความแข็งแรงของกล้ามเนื้อเหยียดเข่า โดยกำหนดระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ p < 0.05 ผลการศึกษาพบว่า ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อเหยียดเข่า (Knee extensor muscle strength) มีความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติกับ 1. ข้อมูลพื้นฐานทางกายภาพของอาสมัคร ได้แก่ เพศ อายุ น้ำหนัก และส่วนสูง (r = 0.581, -0.229, 0.338 และ 0.424 ตามลำดับ) 2. ความสามารถในการทรงตัวขณะเคลื่อนไหว (Dynamic balance) และการทรงตัวขณะอยู่นิ่ง (Static balance) (r = 0.277 และ 0.268 ตามลำดับ) และ 3. ความสามารถในการทดสอบยืน - ย่อเข่า (Squat test) จำนวน 10 ครั้ง (r = -0.664) สามารถสร้างสมการที่สามารถทำนายความแข็งแรงของกล้ามเนื้อเหยียดเข่าจากตัวแปรเพศ และเวลาที่ทำการยืน - ย่อเข่า 10 ครั้ง (time to complete 10-squat test) ซึ่งมีความสัมพันธ์ในระดับสูง (r = 0.808) โดยมีอำนาจในการทำนาย 65.3 เปอร์เซ็นต์ และมีค่าความคาดเคลื่อนในการทำนายเท่ากับ 6.082 กิโลกรัม ผลการศึกษาในครั้งนี้สรุปได้ว่าตัวแปรเพศ และการทดสอบยืน - ย่อเข่า มีอิทธิพลต่อความแข็งแรงของกล้ามเนื้อเหยียดข้อเข่า และนำมาใช้สร้างสมการในการทำนายความแข็งแรงของกล้ามเนื้อเหยียดเข่าในผู้สูงอายุได้
- Itemการศึกษาความเที่ยงตรงของการทดสอบลุกยืน 3 ครั้งและเดินในผู้สูงอายุ(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2014) กุลจิรา เจิมเฉลิม; ฐิติมา กันทา; ณัฐพัชร์ จันทร์แก้วที่มา: การทดสอบการลุกขึ้นยืน 5 ครั้ง และการทดสอบเดินไปกลับ 6 เมตร เป็นการทดสอบเพื่อประเมินความสามารถในการทรงตัวของผู้สูงอายุ แต่การทดสอบดังกล่าวยังไม่ครอบคลุมในการตรวจประเมิน ดังนั้นการทดสอบลุกยืน 3 ครั้งและเดิน จึงถูกพัฒนาการขึ้นมา เพื่อให้การประเมินการทรงตัวมีประสิทธิภาพมากขึ้น วัตถุประสงค์: เพื่อศึกษาความเที่ยงตรงของการทดสอบ TTSW วิธีการศึกษา:ผู้สูงอายุที่มีอายุมากกว่า 60 ปี จำนวน 87 คน ได้รับการทดสอบ 3 การทดสอบ ได้แก่ FTSST TUGT และ TTSW โดยทำการทดสอบแต่ละชนิดเป็นจำนวน 3 ครั้ง นำผลที่ได้นำไปวิเคราะห์โดยใช้สถิติสหสัมพันธ์ของเพียร์สันเพื่อหาความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปร FTSST TUGT และ TTSW ผลการศึกษา: พบความสัมพันธ์เชิงบวกในระดับสูงระหว่าง FTSST และ TTSW มีค่าความสัมพันธ์เท่ากับ 0.883 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < 0.001) และพบความสัมพันธ์เชิงบวกในระดับสูงระหว่าง TUGT และ TTSW มีค่าความสัมพันธ์เท่ากับ 0.905 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < 0.001) สรุปผลการศึกษา: การทดสอบ TTSW เป็นเครื่องมือที่มีความเที่ยงตรงและสามารถนำไปใช้เพื่อประเมินความเสี่ยงในการล้มของผู้สูงอายุได้
- Itemความสัมพันธ์ระหว่างการประเมินความสามารถในการทรงตัวด้วยการทดสอบการลุกนั่ง 5 ครั้ง และแบบประเมินความเสี่ยงต่อการหกล้มของผู้สูงอายุไทย(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2015) ดุษฏี สิงห์ไชย; เทพธนาศร เทศนิติกุล; วชิรวิทย์ ใจต๊ะการหกล้มเป็นปัญหาทางสาธารณสุขที่สำคัญซึ่งเป็นสาเหตุการเสียชีวิตของผู้สูงอายุได้ ดังนั้นการป้องกันการล้มในผู้ที่มีความเสี่ยงจึงเป็นสิ่งที่สำคัญ โดยผู้สูงอายุควรได้รับการประเมินปัจจัยเสี่ยงรอบด้านทั้งปัจจัยภายนอกและภายในที่ส่งผล ซึ่งการประเมินด้วยแบประเมินความเสี่ยงต่อการหกล้มของผู้สูงอายุไทย (Thai Fall Risk Assessment Test : Thai FRAT) เป็นการประเมินความเสี่ยงทั้งภายในและภายนอก ส่วนการประเมินความสามารถในการทรงตัวด้วยการทดสอบการลุกนั่ง 5 ครั้ง (Five Times Sit to Stand Test : FTSST) เป็นการประเมินที่เกี่ยวกับปัจจัยเสี่ยงภายใน ที่สะท้อนถึงความแข็งแรงของรยางค์ส่วนล่างกับการทรงตัวซึ่งถือเป็นปัจจัยที่สามารถบ่งชี้ถึงความเสี่ยงต่อการหกล้มได้ การศึกษานี้จึงมีวัตถุประสงค์ เพื่อหาความสัมพันธ์ของการทดสอบการทรงตัวด้วยแบบประเมิน Thai FRAT และ FTSST ในการประเมินความเสี่ยงต่อการหกล้มของผู้สูงอายุไทยในชุมชน โดยอาสาสมัครเป็นผู้สูงอายุที่อาศัยอยู่ใน ตำบลเจริญราษฎร์ อำเภอเมือง จังหวัดพะเยา จำนวน 87 คน ใช้สถิติ Spearman rank correlation เพื่อวิเคราะห์ความสัมพันธ์ของทั้งสองแบบประเมิน ผลการศึกษาพบว่า ค่าคะแนนของแบบประเมิน Thai FRAT และ FTSST มีความสัมพันธ์กันในการระบุความเสี่ยงต่อการล้มของอาสาสมัครในระดับต่ำ (p=0.313, p-0.05) จากผลการศึกษานี้อาจบ่งชี้ได้ว่า ควรมีการใช้แบบประเมินทั้งสองร่วมกันในการประเมินความเสี่ยงต่อการหกล้มของผู้สูงอายุในชุมชน เพื่อประเมินความเสี่ยงต่อการล้มทั้งจากปัจจัยภายในและภายนอก และสามารถเป็นทางเลือกในการนำไปใช้ในการทดสอบการทรงตัวของผู้สูงอายุในชุมชนได้
- Itemความสัมพันธ์ระหว่างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อขาและความสามารถในการทดสอบการทรงตัวในบุคคลวัยผู้ใหญ่ตอนต้นที่มีภาวะอ้วน(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2014) เกษมศรี จันทร์ผ่อง; ธวัชชัย ไชยกุล; วิทวัส ใจเที่ยงวัตถุประสงค์ของการศึกษาครั้งนี้ คือ ศึกษาถึงปัจจัยความแข็งแรงของกล้ามเนื้อขาที่มีผลต่อการทรงตัวในบุคคลวัยผู้ใหญ่ตอนต้นที่มีภาวะอ้วน โดยหาความสัมพันธ์ระหว่างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อขาทั้งหมด 6 กลุ่มกล้ามเนื้อและความสามารถในการทรงตัวขณะเคลื่อนไหว ในอาสาสมัครที่มีภาวะอ้วน อายุ 18-25 ปี จำนวน 30 คน (ผู้ชาย 15 คน และผู้หญิง 15 คน) อาสาสมัครทุกคนได้รับการทดสอบความแข็งแรงของกล้ามเนื้อขาด้วยเครื่อง Push-pull dynamometer และการทดสอบการทรงตัวด้วย Star Excursion Balance Test (SEBT) ใช้สถิติ Pearson's correlation หาความสัมพันธ์ของทั้งสองตัวแปร ผลการศึกษาพบว่า SEBT score มีความสัมพันธ์กับความแข็งแรงของกล้ามเนื้อเหยียดเข่า (Knee extensor) และกล้ามเนื้องอเข่า (Knee flexor) ในระดับปานกลางถึงสูง (r=0.693, p<0.01 และ r=0.507, p<0.01 ตามลำดับ) และมีความสัมพันธ์กับความแข็งแรงของกล้ามเนื้อถีบปลายเท้าลง (Ankle plantarflexor) ในระดับต่ำ (r=0.342, p<0.05) และไม่มีความสัมพันธ์กับความแข็งแรงของกล้ามเนื้องอสะโพก (Hip flexor) กล้ามเนื้อเหยียดสะโพก (Hip extensor) และกล้ามเนื้อกระดูกข้อเท้าขึ้น (Ankle dorsiflexor) ผลการศึกษาในครั้งนี้สรุปได้ว่า ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อขาเป็นปัจจัยหนึ่งมีผลต่อการทรงตัวในคนที่มีภาวะอ้วนโดยเฉพาะกล้ามเนื้อข้อเข่า ดังนั้นการออกแบบโปรแกรมการออกกำลังกายเพื่อเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อขาอาจช่วยลดความเสี่ยงต่อการหกล้มในคนที่มีภาวะอ้วนได้
- Itemผลของการนวดเท้าและออกกำลังกายด้วยลูกเทนนิสต่อความสามารถการทรงตัวในผู้สูงอายุ(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2015) คมสันต์ พลึกรุ่งโรจน์; วรพัฒน์ วรรธนะมณีกุล; สิริมน คำหว่างการหกล้มเป็นปัญหาสุขภาพที่สำคัญในผู้สูงอายุ โดยสาเหตุที่ทำให้ผู้สูงอายุหกล้มส่วนใหญ่เกิดจากความบกพร่องหรือสูญเสียการทรงตัว การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาผลทันทีของการนวดเท้าและออกกำลังกายด้วยลูกเทนนิสต่อความสามารถการทรงตัวในผู้สูงอายุ รูปแบบการศึกษาเป็นการวิจัยเชิงทดลองแบบกลุ่มเดียวโดยประเมินผลก่อนและหลังการทดลองอาสาสมัครเป็นผู้สูงอายุที่มีสุขภาพดีหรือมีโรคประจำตัวที่สามารถควบคุมภาวะของโรคได้ดีซึ่งอาศัยอยู่ในชุมชน จำนวน 30 คน (เพศชาย 7 คน เพศหญิง 23 คน อายุเฉลี่ย 69.23 ± 7.00 ปี ดัชนีมวลกาย 25.05 ± 3.82 ก.ก./ม) โดยทุกคนสามารถเดินได้เองอย่างอิสระเป็นระยะทางอย่างน้อย 10 เมตร อาสาสมัครนวดเท้าและออกกำลังกายด้วยลูกเทนนิสจำนวน 10 ท่า โดยปฏิบัติด้วยตนเองภายใต้การควบคุมของคณะผู้วิจัย อาสาสมัครถูกประเมินการทรงตัวด้วยการทดสอบความสมดุลร่างกายด้วยการเดิน (Timed Up and Go test; TUG) และการทดสอบความสมดุลร่างกายด้วยวิธีเอื้อมมือ (Function Reach Test: FRT) ก่อนและหลังการทดลองเสร็จสิ้นทันที และอาสาสมัครทำแบบประเมินความพึงพอใจต่ออุปกรณ์และวิธีการนวดเท้าและออกกำลังกายด้วยลูกเทนนิส ภายหลังเสร็จสิ้นการประเมิน หลังการทดลองวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติ Wilcoxon signed-rank test และ Paired t-test เพื่อเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยจากการทดสอบ TUG และ FRT ตามลำดับ กำหนดระดับนัยสำคัญทางสถิติติที่ p50.05 ผลการศึกษาพบว่า ภายหลังเสร็จสิ้นการนวดเท้า และออกกำลังกายด้วยลูกเทนนิสทันที อาสาสมัครมีการทรงตัวที่ดีขึ้นโดยค่าเฉลี่ยจากการทดสอบ TUG มีค่าลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (ก่อน 11.06 ± 2.72 วินาที หลัง 9.92 ± 2.65 วินาที ลดลง 1.14 ± 1.12 วินาที, p=0.000) และค่าเฉลี่ยจากการทดสอบ FRT มีค่าเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (ก่อน 26.58 ± 6.66 ชม. หลัง 32.28 ± 6.4 ชม. เพิ่มขึ้น 5.70 ± 4.17 ซม, p=0.000) นอกจากนี้ พบว่า คะแนนเฉลี่ยความพึงพอใจต่ออุปกรณ์และวิธีการนวดเท้า และออกกำลังกายด้วยลูกเทนนิสมีค่าเท่ากับ 4.53 ± 0.63 คะแนน จากคะแนนเต็ม 5 ซึ่งอยู่ในเกณฑ์ระดับความพึงพอใจมากที่สุด จึงสรุปได้ว่าการนวดเท้าและออกกำลังกายด้วยลูกเทนนิสมีผลทันทีต่อการเพิ่มความสามารถการทรงตัวในผู้สูงอายุโดยผู้สูงอายุมีความพึงพอใจต่ออุปกรณ์และวิธีการดังกล่าวเป็นอย่างมาก ทั้งนี้อาจพิจารณาการนวดเท้าและออกกำลังกายด้วยลูกเทนนิสเป็นส่วนหนึ่งของโปรแกรมป้องกันการหกล้มสำหรับผู้สูงอายุโดยปฏิบัติร่วมกับวิธีการอื่นๆ ทางกายภาพบำบัดเพื่อพัฒนาการทรงตัวในผู้สูงอายุ
- Itemผลของการรำวงย้อนยุคต่อความแข็งแรงของกล้ามเนื้อเหยียดเข่าและการทรงตัวในผู้สูงอายุ(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2017) สุวัฒน์ ทิทา; อาทิตยา มณีจันทร์สุขเมื่ออายุเพิ่มขึ้นส่งผลให้เกิดการเสื่อมถอยของร่างกาย ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดปัญหาต่างๆ การนำเอารำวงย้อนยุคมาใช้ในการออกกำลังกายในผู้สูงอายุ อาจเป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการเพิ่มความสามารถทางกายของผู้สูงอายุ จึงมีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาผลของการรำวงย้อนยุคต่อความแข็งแรงของกล้ามเนื้อเหยียดเข่า และความสามารถในการทรงตัวในผู้สูงอายุ โดยทำการศึกษาในอาสาสมัครเป็นผู้สูงอายุที่มีอายุระหว่าง 60-74 ปี จำนวน 42 คน แบ่งอาสาสมัครออกเป็นสองกลุ่ม ได้แก่ กลุ่มควบคุม 21 คน และ กลุ่มร่วง 21 คน โดยกลุ่มควบคุมจะไม่ได้รับโปรแกรมรำวงย้อนยุคและให้ทำกิจวัตรประจำวันของตนเองตามปกติ ส่วนกลุ่มรำวงจะได้รับการเข้าร่วมโปรแกรมรำวงย้อนยุควันละ 40 นาที 3 วันต่อสัปดาห์เป็นระยะเวลา 6 สัปดาห์ อาสาสมัครจะทำการทดสอบ Three Times Stand and Walk Test (TTSW) เพื่อประเมินความแข็งแรงของกล้ามเนื้อเหยียดเข่าและความสามารถในการทรงตัวในผู้สูงอายุทั้งก่อนและหลังการเข้าร่วมโปรแกรมรำวงย้อนยุค ผลการศึกษาพบว่า เมื่อเปรียบเทียบก่อนและหลังการศึกษา พบว่า กลุ่มรำวงย้อนยุคใช้เวลาในการทำการทดสอบ TTSW น้อยลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p = 0.001) โดยมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 12.99±1.84 และ 1.72±2.10 วินาที ตามลำดับ และเมื่อเปรียบเทียบระหว่างกลุ่ม พบว่า กลุ่มรำวงย้อนยุคใช้เวลาน้อยลงกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p=0.03) โดยมีค่าเฉลี่ยในกลุ่มควบคุมและกลุ่มรำวงย้อนยุค เท่ากับ 13.15±1.71 และ 11.72±2.10 วินาที ตามลำดับ และพบความแตกต่างระหว่างกลุ่มของค่าเฉลี่ยความต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p=0.02) โดยมีค่าเท่ากับ -0.29±1.54 และ 1.27±1.14 วินาที ตามลำดับ สรุปผลการศึกษาครั้งนี้การรำวงย้อนยุคสามารถช่วยเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อเหยียดเข่าและความสามารถในการทรงตัวได้ การนำรำวงย้อนยุคไปใช้ในการออกกำลังกายจึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการส่งเสริมสุขภาพทางกายให้แก่ผู้สูงอายุ
- Itemผลของการเดินถอยหลังต่อการทรงตัวในวัยรุ่นเพศหญิงที่มีภาวะน้ำหนักเกินและอ้วน(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2019) คณิฏฐ์ษา ดวงปัญญา; ภัคจิรา โลหะภากร; พิชญาภา มงคลสินการศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อประเมินผลการเดินถอยหลังต่อการทรงตัวในวัยรุ่นเพศหญิงที่มีภาวะน้ำหนักเกินและอ้วน โดยศึกษาในกลุ่มวัยรุ่นหญิง อายุระหว่าง 18 - 24 ปี และมีค่าดัชนีมวลกายอยู่ระหว่าง 23.0-40.0 kg/m2 จำนวน 30 คน แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม โดยวิธีการสุ่มแบบชั้นภูมิ แบ่งเป็นกลุ่มควบคุม 15 คน กลุ่มทดลอง 15 คน ในกลุ่มทดลองจะได้รับโปรแกรมการเดินถอยหลัง 15 นาทีต่อวัน 3 วันต่อสัปดาห์ เป็นระยะเวลา 4 สัปดาห์ ขณะที่กลุ่มควบคุมจะไม่ได้รับโปรแกรมการฝึกเดินถอยหลัง และใช้ชีวิตประจำวันตามปกติเป็นระยะเวลา 4 สัปดาห์ ทั้ง 2 กลุ่มจะได้รับการประเมินการทรงตัวขณะอยู่นิ่งโดยการทดสอบการยืนบนขาข้างเดียว (Single Leg Stance) และประเมินการทรงตัวขณะเคลื่อนไหวโดยการทดสอบการก้าวเท้าหลายทิศทาง (Star Excursion Balance Test; SEBT) ในช่วงก่อนและหลังการทดลอง นำผลที่ได้มาวิเคราะห์ทางสถิติโดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูป SPSS โดยกำหนดค่าความเชื่อมั่น p < 0.05 ผลการศึกษาพบว่า การทดสอบการยืนบนขาข้างเดียวในขณะลืมตา กลุ่มทดลองมีระยะเวลาในช่วงหลังการทดลองมากกว่าช่วงก่อนการทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ส่วนการทดสอบการยืนบนขาข้างเดียวในขณะหลับตา พบว่า กลุ่มทดลองมีค่าระยะเวลาในการทดสอบช่วงหลังการทดลองเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงก่อนการทดลอง และมีค่ามากกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ การทดสอบการก้าวเท้าหลายทิศทาง พบว่า ผลในการทดสอบในช่วงหลังการทดลองของขาทั้งสองข้างในกลุ่มทดลองมีค่าเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบช่วงก่อนการทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ โดยมีการเพิ่มขึ้นทั้ง 3 ทิศทาง และเมื่อเปรียบเทียบระหว่างกลุ่ม พบว่า ในช่วงหลังการทดลอง กลุ่มทดลองมีค่าในการทดสอบของขาข้างขวามากกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ โดยมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติในทิศทางด้านหน้าและด้านหลังค่อนมาทางด้านนอก แต่ทิศทางด้านหลังค่อนมาทางด้านในไม่มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ การศึกษาครั้งนี้แสดงให้เห็นว่า การเดินถอยหลังเป็นระยะเวลา 4 สัปดาห์ สามารถเพิ่มการทรงตัวในขณะอยู่นิ่งและขณะเคลื่อนไหวในวัยรุ่นหญิงที่มีภาวะน้ำหนักเกินและอ้วนได้
- Itemผลของการใช้เครื่องกระตุ้นเส้นประสาทด้วยไฟฟ้าผ่านผิวหนังต่อภาวะกล้ามเนื้อหดเกร็งและการทรงตัวในผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองเรื้อรัง(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2017) เกวลี ยันตดิลก; คิมหันต์ ปินตานนท์ปัจจุบันพบอัตราการเกิดโรคหลอดเลือดสมองเพิ่มมากขึ้น ซึ่งภาวะกล้ามเนื้อหดเกร็งในผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้สูญเสียการทรงตัว การรักษาทางกายภาพบำบัดมีการใช้กระแสไฟฟ้าเพื่อรักษาภาวะกล้ามเนื้อหดเกร็งแต่ยังไม่พบการใช้เครื่องกระตุ้นไฟฟ้าเพียงอย่างเดียวในการรักษาภาวะกล้ามเนื้อหดเกร็ง การศึกษานี้จึงมีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาผลของการกระตุ้นไฟฟ้ากระแส TENs ต่อภาวะกล้ามเนื้อหดเกร็งและการทรงตัวในผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองเรื้อรัง ผู้เข้าร่วมการวิจัย 10 คน ถูกแบ่งเป็นกลุ่มที่ได้รับการทดลองกระตุ้นไฟฟ้าผ่านผิวหนังแบบหลอกและแบบปล่อยกระแสตามลำดับ (Placebo - TENs) จำนวน 5 คน และกลุ่มที่ได้รับการทดลองกระตุ้นไฟฟ้าผ่านผิวหนังแบบปล่อยกระแสและแบบหลอกตามลำดับ (TENs - Plocebo) จำนวน 5 คนด้วยวิธีการสุ่ม แต่ละกลุ่มจะได้รับการรักษาแบบไขว้กันภายหลังจากการรักษาครั้งแรก 1 สัปดาห์ ทดสอบภาวะกล้ามเนื้อหดเกร็งด้วยแบบทดสอบ Modified Ashworth Scale: MAS และทดสอบการทรงตัวด้วยแบบทดสอบ Multi-directional reach test: MDRT ก่อนและหลังการกระตุ้นไฟฟ้าทันที และภายหลังการกระตุ้นไฟฟ้า 1 วัน วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนาและสถิติการทดสอบของวิลคอกซันและแมนท์วิทนีย์ ผลการศึกษาพบว่า ภาวะกล้ามเนื้อหดเกร็งไม่มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติเมื่อเปรียบเทียบภายในกลุ่มและระหว่างกลุ่ม ในขณะที่การทรงตัวหลังจากได้รับการกระตุ้นแบบ TENs มีคำเพิ่มขึ้มขึ้นหลังการกระตุ้นไฟฟ้าทันที อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < 0.05) เมื่อเปรียบเทียบภายในกลุ่มแต่ไม่มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ เมื่อเปรียบเทียบระหว่างกลุ่ม อย่างไรก็ตาม การทรงตัวมีแนวโน้มค่าเฉลี่ยเพิ่มขึ้นและภาวะกล้ามเนื้อหดเกร็งมีแนวโน้มค่าเฉลี่ยลดลงเมื่อกระตุ้นกล้ามเนื้อแกสตรอกนีเมียสด้วยกระแส TENs
- Itemผลของดนตรีบำบัดต่อความคล่องแคล่ว การทรงตัว และภาวะซึมเศร้าในผู้สูงอายุ(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2018) ณัฐณิชา บุตรโพธิ์; สโรชา เสริฐปัญญา; อดิศา งานลอที่มา: ผู้สูงอายุ คือ วัยที่มีการปลี่ยนแปลงหลากหลายด้าน ทั้งทางด้านร่างกาย เช่น สมรรถภาพทางกายเสื่อมถอย ส่งผลให้ความคล่องแคล่วและการทรงตัวลดน้อยลง ทางด้านสังคม โดยมีการเปลี่ยนแปลงทางสังคม เช่น ภาระหน้าที่และบทบาททางสังคมลดน้อยลง และทางด้านอารมณ์ จิตใจ เช่น อารมณ์เปลี่ยนแปลงง่าย รู้สึกหงุดหงิด น้อยใจ รู้สึกลำพังไม่มีที่พึ่ง และรู้สึกเป็นภาระของผู้อื่นซึ่งเป็นสาเหตุให้เกิดภาวะซึมเศร้า วัตถุประสงค์: เพื่อศึกษาและเปรียบเทียบผลของดนตรีบำบัดต่อความคล่องแคล่ว การทรงตัว และภาวะซึมเศร้าในผู้สูงอายุระหว่างกลุ่มที่ไม่ได้รับดนตรีบำบัดและกลุ่มที่ได้รับดนตรีบำบัด วิธีการศึกษา: ศึกษาในผู้สูงอายุ ที่มีอายุ 60-80 ปี จำนวน 24 คน แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม โดยการสุ่มแบบชั้นภูมิกลุ่มละ 12 คน คือ กลุ่มควบคุม : กลุ่มที่ไม่ได้รับดนตรีบำบัดและทำกิจวัตรประจำวัตรตามปกติ และกลุ่มดนตรีบำบัด : กลุ่มที่ได้รับดนตรีบำบัด โดยฟังดนตรีเป็นเวลา 40 นาที/วัน จำนวน 4 วัน/สัปดาห์ เป็นเวลา 2 สัปดาห์ อาสาสมัครทั้งสองกลุ่มจะได้รับการทดสอบ Agility course test, Time up and go test และแบบวัดความซึมเศร้าในผู้สูงอายุไทย (Thai Geriatric Depression Scale: TGDS) ทั้งก่อนและหลังการรับดนตรีบำบัด ผลการศึกษา: ภายหลังการรับดนตรีบำบัดกลุ่มดนตรีบำบัดมีค่า Agility course test และ Time up and go test ลดลง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < 0.05) และมีแนวโน้มของภาวะซึมเศร้าลดลง ส่วนกลุ่มควบคุมมีค่า Agility course test ลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ อย่างไรก็ตามเมื่อเปรียบเทียบระหว่างกลุ่มไม่มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ทั้งนี้อาจมาจากปัจจัยอื่นๆ เช่น กิจกรรมทางกายระดับของภาวะซึมเศร้า การนอนหลับ สถานภาพทางครอบครัว เป็นต้น สรุปผลการศึกษา: โปรแกรมดนตรีบำบัดเป็นระยะเวลา 2 สัปดาห์ มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงความคล่องแคล่ว การทรงตัว และมีแนวโน้มของภาวะซึมเศร้าลดลง
- Itemผลของรำวงย้อนยุคต่อความยืดหยุ่นของร่างกายและการทรงตัวในผู้สูงอายุ(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2017) ขวัญฤดี แสงศรีจันทร์; หัสยา ขาวแสงบทนำ: เมื่อเข้าสู่วัยผู้สูงอายุ จะมีการเสื่อมของการทำงานต่างๆ มีการลดลงของมวลกล้ามเนื้อและความยืดหยุ่นของเนื้อเยื่อเกี่ยวพันธ์ ซึ่งจะส่งผลให้ผู้สูงอายุมีความบกพร่องในการควบคุมการทรงตัว การนำเอารำวงย้อนยุคมาใช้ในการออกกำลังกายในผู้สูงอายุ อาจเป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการเพิ่มความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อและการทรงตัวในผู้สูงอายุ วัตถุประสงค์: เพื่อศึกษาผลของการรำวงย้อนยุคต่อความยืดหยุ่นของร่างกาย และการทรงตัว วิธีการศึกษา: ผู้สูงอายุ จำนวน 42 คนที่มีอายุ 60-74 ปี แบ่งเป็นกลุ่มควบคุม 21 คน และกลุ่มรำวงย้อนยุค 21 คน โดยกลุ่มควบคุมจะไม่ได้รับโปรแกรมรำวงย้อนยุคและให้ทำกิจวัตรประจำวันของตนเองตามปกติ เป็นระยะเวลา 6 สัปดาห์ ส่วนกลุ่มรำวงจะได้รับการเข้าร่วมโปรแกรมรำวงย้อนยุควันละ 40 นาที 3 วันต่อสัปดาห์เป็นระยะเวลา 6 สัปดาห์ อาสาสมัครจะทำการทดสอบความยืดหยุ่น (Sit and Reach Test) และการทรงตัว (Four Square Step Test) ทั้งก่อนและหลังโปรแกรมการรำวงย้อนยุค ผลการศึกษา: เมื่อเปรียบเทียบภายในกลุ่มก่อนและหลัง พบว่ากลุ่มรำวงย้อนยุคมีการเพิ่มขึ้นของความยืดหยุ่น มากกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (8.89±6.45 ซม. และ 10.70±4.79 ซม. ตามลำดับ p=0.030) นอกจากนี้มีการทรงตัวดีขึ้นมากกว่ากลุ่มควบคุม (7.76±1.54 วินาที และ 6.69±1.08 วินาที ตามลำดับ p=0.001) และค่าเฉลี่ยความต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (-0.18±1.34 วินาที และ -1.07±1.02 วินาที ตามลำดับ p=0.042) สรุป: การออกกำลังกายแบบรำวงย้อนยุค สามารถเพิ่มความยืดหยุ่นและความสามารถในการทรงตัวในผู้สูงอายุได้ การนำรำวงย้อนยุคไปใช้ในการออกกำลังกายจึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการส่งเสริมสุขภาพทางกายให้แก่ผู้สูงอายุ
- Itemผลเฉียบพลันของการออกกำลังกายแบบแอโรบิคมวยไทยต่อความยืดหยุ่นและการทรงตัวในนิสิตหญิง(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2016) รติรัตน์ ศรีกงพาน; ศุทธินี ราษฎร์พิพัฒน์การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาผลเฉียบพลันของการออกกำลังกายแบบแอโรบิคมวยไทยต่อความยืดหยุ่นของร่างกายและการทรงตัว ในอาสาสมัครเพศหญิงมหาวิทยาลัยพะเยา จำนวน 30 คน อายุเฉลี่ย 19.60 ± 0.96 ปี แบ่งเป็น 2 เงื่อนไข ด้วยวิธีการสุ่มไขว้ เงื่อนไขที่ 1 (ควบคุม - แอโรบิคมวยไทย) จำนวน 15 คน และเงื่อนไขที่ 2 (แอโรบิคมวยไทย - ควบคุม) จำนวน 15 คน เงื่อนไขที่ 1 วันแรกอยู่ในสภาวะควบคุม และวันที่ 2 ออกกำลังกายแบบแอโรบิคมวยไทยเป็นเวลา 40 นาที ส่วนเงื่อนไขที่ 2 วันแรกออกกำลังกายแบบแอโรบิคมวยไทยเป็นเวลา 40 นาที และวันที่ 2 อยู่ในสภาวะควบคุม ซึ่งอาสาสมัครทั้ง 2 เงื่อนไขจะได้รับการวัดค่าการทดสอบการนั่งงอตัว และค่าการทรงตัวขณะเคลื่อนไหวก่อนและหลังการทดสอบ นำข้อมูลที่ได้วิเคราะห์ผลทางสถิติโดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูป SPSS เวอร์ชัน 21 โดยกำหนดระดับความเชื่อมั่นที่ p < 0.05 ผลการศึกษาพบว่า ภายหลังการทดสอบค่าการทดสอบการนั่งงอตัวของทั้งช่วงควบคุม และช่วงออกกำลังกายแบบแอโรบิคมวยไทยเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ เมื่อเทียบกับก่อนการทดสอบ (p < 0.05) แต่เมื่อเปรียบเทียบระหว่างช่วงไม่แตกต่างกัน ส่วนค่าการทรงตัวขณะเคลื่อนไหวภายหลังการทสอบ ในช่วงที่ออกกำลังกายแบบแอโรบิคมวยไทยมีค่าเพิ่มขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับก่อนการทดสอบ และมีค่ามากกว่าช่วงควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < 0.05 ) การศึกษาครั้งนี้จึงสรุปได้ว่า การออกกำลังกายแบบแอโรบิคมวยไทยสามารถช่วยให้การทรงตัวขณะเคลื่อนไหวดีขึ้น ส่วนความยืดหยุ่นมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น
- Itemผลเฉียบพลันของการออกกำลังกายไทชิต่อการทรงตัวกระบวนการรู้คิดและความเสี่ยงต่อการล้มในผู้สูงอายุ(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2018) จิรัชญา สวัสดิ์ดิเรกศาล; ธาริณี ชื่นชอบ; รังสิยา หมอยาเมื่ออายุเพิ่มขึ้นทำให้มีการลดลงของกระบวนการรู้คิดและการทรงตัว ส่งผลให้ผู้สูงอายุมีความเสี่ยงต่อการหกล้มมากขึ้น จากการศึกษาที่ผ่านมา พบว่า การฝึกไทชิสามารถช่วยเพิ่มกระบวนการรู้คิด และการทรงตัวทำให้ลดความเสี่ยงต่อการหกล้มได้ อย่างไรก็ตามการศึกษาผลเฉียบพลันของไทชิต่อกระบวนการรู้คิดและการทรงตัวยังไม่ทราบแน่ชัด ดังนั้น การศึกษาในครั้งนี้จึงมีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาผลเฉียบพลันของไทชิต่อกระบวนการรู้คิด การทรงตัวและความเสี่ยงต่อการล้มในผู้สูงอายุ ทำการศึกษาในผู้สูงอายุเพศหญิง ที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป จำนวน 20 คน แบ่งอาสาสมัครออกเป็นสองกลุ่มโดยการสุ่ม ได้แก่ กลุ่มควบคุม 10 คน และกลุ่มออกกำลังกายไทชิ 10 คน โดยอาสาสมัครกลุ่มออกกำลังกายไทชิจะได้รับโปรแกรมการออกกำลังกายไทชิเป็นเวลา 30 นาที ในขณะที่กลุ่มควบคุมจะได้นั่งดูวีดีทัศน์การออกกำลังกายไทชิ 30 นาที การทดสอบกระบวนการรู้คิด (Trail Making Test : TMT และ Digit Span Forward test : DSFT) และการทรงตัว (Timed Up-And-Go Test : TUG และ Functional Reach Test : FRT) จะทำการทดสอบก่อนและหลังให้โปรแกรม เมื่อเปรียบเทียบร้อยละการเปลี่ยนแปลงของคะแนน DSFT ก่อนและหลังสิ้นสุดโปรแกรมการออกกำลังกายของอาสาสมัคร ระหว่างกลุ่มออกกำลังกายไทชิและกลุ่มควบคุมพบว่า กลุ่มไทชิมีร้อยละการเปลี่ยนแปลงที่มากกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value < 0.05) สรุปผลศึกษาได้ว่า การออกกำลังกายไทชิเพียง 1 ครั้ง ส่งผลเชิงบวกต่อความจำระยะสั้น และจากผลการทดลองครั้งนี้แสดงให้เห็นว่าการออกกำลังกายไทชิอาจช่วยลดความเสี่ยงต่อการล้มในผู้สูงอายุอย่างไรก็ตามการออกกำลังกายไทชิอย่างสม่ำเสมอเป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้เกิดผลคงค้างของการออกกำลังกายไทชิ