University of Phayao
Digital Collections
ฐานข้อมูลคลังปัญญา มหาวิทยาลัยพะเยา จัดทำโดยศูนย์บรรณสารและการเรียนรู้ สถาบันนวัตกรรมการเรียนรู้ มหาวิทยาลัยพะเยา เพื่อเป็นแหล่งรวบรวม จัดเก็บและเผยแพร่ผลงานของคณาจารย์ นักวิจัย และนิสิต ของมหาวิทยาลัยพะเยา
นโยบายการรับผลงานการรับผลงานเข้าสู่ฐานข้อมูลคลังปัญญา มหาวิทยาลัยพะเยา จะคัดเลือกรับผลงานประเภทต่าง ๆ ดังต่อไปนี้
- Theses วิทยานิพนธ์
- Dissertations ดุษฎีนิพนธ์
- Independent Study รายงานการค้นคว้าอิสระ
- Technical Report รายงานการวิจัย
- Journal Paper บทความวิจัยที่ตีพิมพ์ในบทความวารสาร
- Bachelor’s Project ปัญหาพิเศษนักศึกษาปริญญาตรี
- Patents สิทธิบัตร
- Local Information Phayao Province ข้อมูลท้องถิ่นจังหวัดพะเยา
- University of Phayao Archives จดหมายเหตุ มหาวิทยาลัยพะเยา
ติดต่อสอบถามข้อมูลหรือส่งผลงานได้ที่ UPDC Support.

Communities in DSpace
Select a community to browse its collections.
Recent Submissions
Item
ผลของโปรแกรมการเต้นคัฟเวอร์ต่อสมรรถภาพทางกายในนิสิตหญิงระดับปริญญาตรี
(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2013) ภาคภูมิ สิงห์แก้ว; วิภาดา สุตะวงค์; อัจจิมา แสนศิริ
การออกกำลังกายและการทำกิจกรรมทางกายเป็นความจำเป็นขั้นพื้นฐานของมนุษย์ซึ่งการออกกำลังกายและกิจกรรมทางกายมีหลากหลายประเภทและกิจกรรมอย่างหนึ่งที่ได้รับความสนใจในกลุ่มวัยรุ่นปัจจุบัน คือ การเต้นคัฟเวอร์ (Cover dance) อย่างไรก็ตามยังไม่มีการศึกษาใดที่ทำการศึกษาเกี่ยวกับผลของการเต้นคัฟเวอร์ต่อสมรรถภาพทางกาย ดังนั้นทางคณะผู้วิจัยจึงมีความสนใจศึกษาผลของการเต้นคัฟเวอร์ที่มีผลต่อสมรรถภาพทางกายทั้ง 5 ด้าน คือ ด้านองค์ประกอบของร่างกาย ความยึดหยุ่นของกล้ามเนื้อ ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ ความทนทานของกล้ามเนื้อ และความทนทานของการหายใจและหัวใจ โดยการศึกษานี้ได้ทำการทดสอบในนิสิตหญิงสุขภาพดีที่เป็นสมาชิกชมรมเต้นคัฟเวอร์มหาวิทยาลัยพะเยา จำนวน 39 คน แบ่งอาสาสมัครออกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มควบคุม จำนวน 17 คน และกลุ่มทดลอง จำนวน 22 คน โดยกลุ่มทดลองได้รับโปรแกรมการเต้นคัฟเวอร์วันละ 1 ชั่วโมง 3 วันต่อสัปดาห์ เป็นระยะเวลา 4 สัปดาห์ โดยอาสาสมัครทั้ง 2 กลุ่มได้รับการวัดสมรรถภาพทางกายทั้ง 5 ด้านก่อนและหลังการฝึก ผลการศึกษาพบว่า หลังจาก 4 สัปดาห์กลุ่มทดลองมีการเปลี่ยนแปลงของตัวแปรเปอร์เซ็นต์ไขมันในร่างกาย ความยึดหยุ่นของกล้ามเนื้อ ความทนทานของกล้ามเนื้อและความสามารถในการใช้ออกซิเจนสูงสุดในทิศทางที่ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value < 0.05) จึงสรุปได้ว่าการเข้าร่วมโปรแกรมการเต้นคัฟเวอร์อย่างน้อย 4 สัปดาห์ สามารถเพิ่มสมรรถภาพทางกายในด้านองค์ประกอบของร่างกาย ความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อ ความทนทานของกล้ามเนื้อ และความทนทานของการหายใจและหัวใจได้
Item
ผลของระยะเวลาในการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชต่ออาการแสดงทางระบบประสาทในเกษตรกร
(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2013) ณฐพร ฝึกฝน; นิตยา ศิริจุ่ม; พัชรินทร์ พรหมเผ่า
ปัจจุบันมีการนำสารเคมีกำจัดศัตรูพืชมาใช้ในการเกษตรอย่างแพร่หลายและมีหลักฐาน พบว่า พิษสะสมของสารเคมีกำจัดศัตรูพืชมีความสัมพันธ์กับความบกพร่องทางระบบประสาท อย่างไรก็ตามยังไม่มีการศึกษาเกี่ยวกับผลของระยะเวลาในการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชต่ออาการแสดงทางระบบประสาทในเกษตรกร การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ เปรียบเทียบอาการแสดงทางระบบประสาทของกลุ่มที่มีระยะเวลาการใช้สารกำจัดศัตรูพืชแตกต่างกันสองกลุ่ม ดำเนินการเลือกผู้เข้าร่วมการวิจัยโดยวิธีการเลือกแบบเฉพาะเจาะจง มีผู้เข้าร่วมงานวิจัยทั้งหมด 60 คน อายุระหว่าง 30-70 ปี แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ตามระยะเวลาการใช้สารกำจัดศัตรูพืชในเกษตรกร กลุ่มที่ 1 คือ กลุ่มที่ใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชอย่างต่อเนื่องน้อยกว่า 10 ปี (n=29) และกลุ่มที่ 2 คือ กลุ่มที่ใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชอย่างต่อเนื่องนานกว่า 10 ปี (n=31) โดยผู้เข้าร่วมการวิจัยทั้ง 2 กลุ่ม จะได้รับการทดสอบการประสานสัมพันธ์ การทดสอบการทรงตัวขณะยื่น การทดสอบแรงบีบมือ การทดสอบความแข็งแรงของกล้ามเนื้อเหยียดเข่า และการทดสอบสภาพสมองเบื้องต้น ผลการศึกษาพบว่า ไม่มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติของอาการทางระบบประสาทระหว่างทั้งสองกลุ่ม (p-value > 0.05) ยกเว้น ผลการทดสอบความแข็งแรงของกล้ามเนื้อเหยียดเข่าข้างซ้ายในเพศหญิง (p-value = 0.04) อย่างไรก็ตามจากการศึกษานี้พบว่า แนวโน้มความรุนแรงของอาการแสดงทางระบบประสาทในกลุ่มที่ 2 มากกว่ากลุ่มที่ 1 และสรุปได้ว่า อาการแสดงทางระบบประสาทมีความสัมพันธ์กับระยะเวลาของการใช้สารกำจัดศัตรูพืช
Item
ผลของการออกกำลังกายแบบฤาษีดัดตนต่อความจำ
(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2013) จิราวรรณ จันทร์ต๊ะยศ; ธิดารัตน์ ช้างปัด; นลินี ติ๊บประสาร
การออกกำลังกายฤๅษีดัดตนจัดเป็นภูมิปัญญาไทยที่มีผลในการส่งเสริมสุขภาพ อย่างไรก็ตามที่ผ่านมาการศึกษาผลการออกกำลังกายแบบฤๅษีดัดตนต่อความจำยังไม่เป็นที่แพร่หลาย ดังนั้น การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาผลของการออกกำลังกายแบบฤๅษีดัดตนต่อความจำ อาสาสมัครนิสิตเพศหญิงอายุระหว่าง 18-22 ปี จำนวน 30 คน ถูกแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่ออกกำลังกาย จำนวน 15 คน และกลุ่มควบคุม จำนวน 15 คน โดยอาสาสมัครกลุ่มออกกำลังกายจะได้รับการออกกำลังกายแบบฤๅษีดัดตน 3 วันต่อสัปดาห์ เป็นระยะเวลา 4 สัปดาห์ ในขณะที่กลุ่มควบคุมไม่ได้รับการออกกกำลังกายใด ๆ โดยก่อนและหลังการทดลอง อาสาสมัครทั้ง 2 กลุ่ม จะได้รับการประเมินความจำระยะสั้น ความจำขณะคิด และการเลือกสนใจ ด้วยการทดสอบ digit span forward test, digit span backward test และ stroop color and word test ตามลำดับ ผลการศึกษาพบว่า ไม่มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติระหว่างกลุ่มในทุกการทดสอบ (p-value > 0.05) อย่างไรก็ตามในกลุ่มออกกำลังกายพบว่า มีคะแนน stroop color and word test 1 และ 2 เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติเมื่อเทียบกับก่อนออกกำลังกาย (stroop color and word test 1: ก่อน = 101.33 ± 12.19, หลัง = 113.40 ± 14.51, p-value = 0.00; stroop color and word test 2: ก่อน = 83.13 ± 11.89, หลัง = 87.60 ± 11.48, p-value = 0.03) ในขณะที่ digit span forward test, digit span backward test แaะ stroop color and word test 3 มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นแต่ไม่พบนัยสำคัญทางสถิติ (digit span forward test: ก่อน = 11.40 ± 1.84, หลัง = 11.60 ± 2.13, p-volue = 0.71; digit span backward test: ก่อน = 8.73 ± 3.28, หลัง = 10.20 ± 2.70, p-value = 0.05; stroop color and word test 3: ก่อน = 49.60 ± 7.46, หลัง = 51.60 ± 13.58, p-value = 0.53) การศึกษาครั้งนี้แสดงให้เห็นว่าการออกกำลังกายแบบฤๅษีดัดตนเป็นเวลา 4 สัปดาห์ยังไม่เห็นผลชัดเจนต่อการเปลี่ยนแปลงความสามารถในการจำ
Item
การทำนายการล้มในผู้สูงอายุโดยใช้การทดสอบลุกนั่ง 5 ครั้งและการทดสอบแบบใหม่
(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2014) กานดาภรณ์ เจริญเรือง; จุฬารัตน์ รวมจิต; สุนิสา มงคลดี
ที่มา: จำนวนผู้สูงอายุในประเทศไทย มีจำนวนเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้เกิดปัญหาความเสื่อมถอยของร่างกาย และเสี่ยงต่อการล้มตามมาได้ ซึ่งพบว่า ปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อการล้ม คือ ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อขา การทรงตัว และคุณภาพการเดิน วัตถุประสงค์: การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อทดสอบความสามารถของการทดสอบ TTSWT เปรียบเทียบกับการทดสอบมาตรฐาน คือ การทดสอบ FTSST ในการทำนายความเสี่ยงต่อการล้มในผู้สูงอายุ โดยใช้คำตัดแบ่งค่าความไว ค่าความจำเพาะ และพื้นที่ใต้กราฟ (AUC) วิธีการ: ผู้เข้าร่วมวิจัยมีทั้งหมด 70 คน ถูกแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มล้ม 35 คน และกลุ่มไม่ล้ม 35 คน จากวิธีการสัมภาษณ์ประวัติการล้มย้อนหลัง 6 เดือน หลังจากนั้นอาสาสมัครทั้ง 2 กลุ่ม จะได้รับการทดสอบ TTSWT และ FTSST ผลการทดสอบถูกวิเคราะห์ด้วยสถิติ Receiver-operating characteristic (ROC) curve โดยกำหนดระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ p<0.05 ผลการศึกษา: อาสาสมัครที่ใช้เวลาในการทดสอบ TTSWT ตั้งแต่ 12.22 วินาทีขึ้นไป (ความไวและความจำเพาะ = 80.00% และ 85.71% ตามลำดับ) และ FTSST ตั้งแต่ 9.01 วินาทีขึ้นไป (ความไวและความจำเพาะ = 71.43% และ 77.14% ตามลำดับ) มีความเสี่ยงต่อการล้ม และพบว่า การทดสอบ TTSWT มีความสามารถในการทำนายการล้มได้ดีกว่า FTSST สรุปผลการศึกษา: ในกลุ่มที่ล้มมีความสามารถทางกายที่ต่ำกว่ากลุ่มไม่ล้ม (p<0.01) และผู้สูงอายุที่ใช้เวลาในการทดสอบ TTSWT ตั้งแต่ 12.22 วินาทีขึ้นไป บ่งชี้ถึง การมีความเสี่ยงต่อการล้ม
Item
การประเมินประสิทธิภาพในการทำงานของร่างกายในผู้ป่วยเบาหวาน โดยการใช้ระยะทางในการเดินทดสอบ 6 นาที
(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2014) อริสรา ไชยคำภา; อสมา พัฒนคูหะ; อุษา สาริมา
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อประเมินประสิทธิภาพการทำงานของร่างกายในกลุ่มคนที่เป็นโรคเบาหวานประเภทที่ 2 เทียบกับกลุ่มคนที่มีสุขภาพดี โดยการใช้ระยะทางในการเดินทดสอบ 6 นาที (Six-Minute Walk Test; 6MWT) ในอาสาสมัครตำบลศรีถ้อย อำเภอแม่ใจ จังหวัดพะเยา จำนวน 60 คน ซึ่งมีช่วงอายุระหว่าง 50-70 ปี อาสาสมัครที่มีคุณสมบัติตามเกณฑ์การคัดเข้าจะได้รับการจำแนกเข้ากลุ่มคนที่เป็นโรคเบาหวาน (n=30) และกลุ่มคนที่มีสุขภาพดี (n=30) อาสาสมัครจะได้ทำการเดินทดสอบ 6 นาที โดยมีการประเมินชีพจรและความดันโลหิตทั้งก่อนและหลังการทดสอบ ระยะทางในการเดิน 6 นาที ค่าการใช้พลังงาน และค่าการใช้ออกซิเจนสุด แล้วนำผลที่ได้มาวิเคราะห์ทางสถิติโดยใช้สถิติ Mann-Whitney U Test ผลการวิจัยพบว่า ในการเดินทดสอบ 6 นาที กลุ่มคนที่เป็นโรคเบาหวาน มีการเปลี่ยนแปลงของชีพจรน้อยกว่ากลุ่มคนที่มีสุขภาพดีอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.05) และมีความดันโลหิตสูงสุดขณะหัวใจบีบตัวก่อนการทดสอบมากกว่ากลุ่มคนที่มีสุขภาพดีอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.05) ในขณะที่ค่าความดันโลหิตสูงสุดขณะหัวใจคลายตัว ทั้งก่อนและหลังการทดสอบของทั้ง 2 กลุ่มไม่มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ นอกจากนี้กลุ่มคนที่เป็นโรคเบาหวาน มีระยะทางในการเดิน 6 นาที ค่าการใช้พลังงาน และค่าการใช้ออกซิเจนสูงสุดน้อยกว่ากลุ่มคนที่มีสุขภาพดีอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.05) สรุปได้ว่าประสิทธิภาพการทำงานของร่างกายของกลุ่มคนที่เป็นโรคเบาหวานประเภทที่ 2 น้อยกว่ากลุ่มคนที่มีสุขภาพดีเมื่อทำการประเมินโดยการใช้ระยะทางในการเดินทดสอบ 6 นาที