University of Phayao

Digital Collections

ฐานข้อมูลคลังปัญญา มหาวิทยาลัยพะเยา จัดทำโดยศูนย์บรรณสารและการเรียนรู้ สถาบันนวัตกรรมการเรียนรู้ มหาวิทยาลัยพะเยา เพื่อเป็นแหล่งรวบรวม จัดเก็บและเผยแพร่ผลงานของคณาจารย์ นักวิจัย และนิสิต ของมหาวิทยาลัยพะเยา

นโยบายการรับผลงานการรับผลงานเข้าสู่ฐานข้อมูลคลังปัญญา มหาวิทยาลัยพะเยา จะคัดเลือกรับผลงานประเภทต่าง ๆ ดังต่อไปนี้

  • Theses วิทยานิพนธ์
  • Dissertations ดุษฎีนิพนธ์
  • Independent Study รายงานการค้นคว้าอิสระ
  • Technical Report รายงานการวิจัย
  • Journal Paper บทความวิจัยที่ตีพิมพ์ในบทความวารสาร
  • Bachelor’s Project ปัญหาพิเศษนักศึกษาปริญญาตรี
  • Patents สิทธิบัตร
  • Local Information Phayao Province ข้อมูลท้องถิ่นจังหวัดพะเยา
  • University of Phayao Archives จดหมายเหตุ มหาวิทยาลัยพะเยา

ติดต่อสอบถามข้อมูลหรือส่งผลงานได้ที่ UPDC Support.

Photo by @inspiredimages
 

Recent Submissions

Item
การพัฒนารูปแบบการจัดการกลุ่มจักสานในจังหวัดพะเยาด้วยแนวคิดธุรกิจเพื่อสังคม
(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2023) วินิตตา ลือชัย
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสภาพปัญหาอุปสรรคและบริบทของกลุ่มผู้ผลิตสินค้าชุมชนประเภทจักสานในจังหวัดพะเยา 2) เพื่อศึกษารูปแบบการบริหารจัดการของกลุ่มฯ ตามแนวคิดธุรกิจเพื่อสังคมในประเทศไทย เป็นงานวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) ประชากรที่ใช้ในการวิจัยเป็นกลุ่มผู้ผลิตสินค้าชุมชนประเภทจักสานในจังหวัดพะเยา จำนวน 6 กลุ่ม คัดเลือกตัวอย่างวิธีแบบเจาะจง (Purposive Sampling) เก็บข้อมูลด้วยวิธีการแบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้าง (Semi-Structured Interview) จากประธานกลุ่ม กรรมการบริหารของกลุ่ม และสมาชิกกลุ่ม รวมทั้งหมด 60 คน และหน่วยงานภาครัฐที่มีภารกิจเกี่ยวกับการส่งเสริมองค์ความรู้ให้กับกลุ่ม จำนวน 2 หน่วยงาน และทำการค้นคว้าข้อมูลของกลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจเพื่อสังคมประเภทหัตถกรรมจักสาน จำนวน 2 หน่วยงาน ผลการวิจัยพบว่า ทั้ง 6 กลุ่มตัวอย่างมีจุดแข็ง คือ ด้านผู้นำกลุ่ม ด้านศักยภาพของสมาชิกในกลุ่ม และด้านวัสดุการผลิต ปัญหาและอุปสรรค 1. ขาดกำลังในการผลิต 2. ไม่มีทักษะในการใช้แพลตฟอร์มออนไลน์ 3. ผลิตภัณฑ์ไม่มีความแปลกใหม่ 4. ขาดการบริหารจัดการที่เป็นระบบและชัดเจน แนวทางบริหารจัดการของกลุ่มควรมีรูปแบบ ดังนี้ 4.1. ด้านคน ควรมีการแต่งตั้งกรรมการและระบุหน้าที่ให้ชัดเจน 4.2. ด้านการตลาด ควรส่งเสริมความรู้ด้านการตลาดออนไลน์ 4.3. ควรมีการวางระบบงานที่ชัดเจน โดยมีกำหนดแผนไปสู่การปฏิบัติจริง ประเด็นการปรับเข้าสู่แนวคิดธุรกิจเพื่อสังคม พบว่า กลุ่มส่วนใหญ่ยังมี 1. รายได้ไม่มั่นคง เกิดจาก 1.1. ไม่สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์ 1.2. ขาดการสื่อสารรับรู้เกี่ยวกับคุณค่าทางสังคมของสินค้า 1.3. ขาดการสนับสนุนจากหน่วยงานภาครัฐ 2. ยังไม่มีการนำรายได้หรือผลกำไรที่ได้ส่วนหนึ่งไปลงทุนซ้ำ 3. ยังไม่มีผลการดำเนินการอย่างโปร่งใส รูปแบบการดำเนินธุรกิจเพื่อสังคมที่เหมาะสมกับบริบทของกลุ่มผู้ผลิตสินค้าชุมชนประเภทจักสาน ควรปรับรูปแบบธุรกิจเป็นรูปแบบที่มีตลาดเป็นสื่อกลาง เนื่องจากกลุ่มส่วนใหญ่ไม่มีกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่ชัดเจนการใช้รูปแบบการบริหารจัดการที่มีตลาดเป็นสื่อกลาง จะช่วยให้ผลิตภัณฑ์ของกลุ่มไปถึงลูกค้าเป้าหมายได้ง่ายขึ้นซึ่งจังหวัดพะเยามีหน่วยงานซึ่งทำหน้าที่ให้บริการด้านการให้คำปรึกษา และการตลาดให้กับกลุ่มผู้ประกอบการชุมชนที่กลุ่มผู้ผลิตสินค้าชุมชนประเภทจักสาน ในจังหวัดพะเยาขอรับการสนับสนุนได้ คือ บริษัทประชารัฐสามัคคีพะเยา (วิสาหกิจเพื่อสังคม) จำกัด
Item
การดูดซับตะกั่วและอีมาเมกติน เบนโซเอตด้วยกากกาแฟดัดแปลงด้วยโซเดียมคาร์บอเนตและโซเดียมไบคาร์บอเนต
(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2023) รัตนาภรณ์ รัตนากรไพบูลย์
งานวิจัยนี้ เป็นการศึกษาการดัดแปลงกากกาแฟด้วยโซเดียมคาร์บอเนตและโซเดียมไบคาร์บอเนต เพื่อใช้ดูดซับตะกั่วและอีมาเมกติน เบนโซเอต มีวัตถุประสงค์ เพื่อหาประสิทธิภาพการดูดซับและสภาวะที่เหมาะสมต่อการดูดซับของกากกาแฟที่ถูกดัดแปลง (2C-SCG และ 2B-SCG) เปรียบเทียบกับกากกาแฟที่ไม่ถูกดัดแปลง (SCG) โดยมีกากกาแฟที่แช่ในน้ำปราศจากไอออน (W-SCG) เป็นชุดควบคุม การศึกษาลักษณะเชิงโครงสร้างด้วยเครื่องวิเคราะห์รูปแบบการเลี้ยวเบนของรังสีเอกซ์แบบผงและเครื่องฟูเรียร์ทรานส์ฟอร์มอินฟราเรด พบว่า โครงสร้างของกากกาแฟทั้ง 4 แบบประกอบด้วยเซลลูโลส เฮมิเซลลูโลส และลิกนิน หลังการดัดแปลงด้วยด่างทำให้พันธะระหว่างเซลลูโลสและลิกนินถูกทำลาย จึงเกิดหมู่ฟังก์ชันที่จับกับไอออนของตะกั่วได้ โดยเกิดการดูดซับทางเคมีแบบชั้นเดียวตามแบบจำลองการดูดซับแลงเมียร์ และจลนพลศาสตร์การดูดซับเป็นไปตามปฏิกิริยาอันดับสองเทียม ซึ่งตัวดูดซับ 2C-SCG สามารถดูดซับตะกั่วได้ดีที่สุด มีความสามารถในการดูดซับ 39.66 มิลลิกรัมต่อกรัม ดูดซับได้ดีที่สุดที่ pH 6 ใช้เวลาในการดูดซับ 360 นาที ขณะที่การดูดซับอีมาเมกติน เบนโซเอตเป็นการดูดซับทางกายภาพแบบหลายชั้นตามแบบจำลองการดูดซับฟรอยด์ลิช จลนพลศาสตร์การดูดซับเป็นไปตามปฏิกิริยาอันดับสองเทียม โดยตัวดูดซับ SCG สามารถดูดซับอีมาเมกติน เบนโซเอตได้ดีที่สุด มีความสามารถในการดูดซับ 3.80 มิลลิกรัมต่อกรัม ดูดซับได้ดีที่สุดที่ pH 4 ซึ่งพื้นผิวตัวดูดซับมีประจุเป็นบวก ใช้เวลาในการดูดซับ 360 นาที อย่างไรก็ตามการดัดแปลงกากกาแฟด้วยด่างทำให้เกิดหมู่ฟังก์ชันที่สามารถสร้างพันธะทางเคมีกับอีมาเมกติน เบนโซเอตได้ จึงทำให้กากกาแฟที่ถูกดัดแปลงมีความเสถียรต่อการเปลี่ยนแปลงค่า pH และเวลาในการดูดซับ
Item
การประเมินโครงการศูนย์ฝึกอาชีพชุมชนของศูนย์ส่งเสริมการเรียนรู้อำเภอยะรัง จังหวัดปัตตานี
(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2024) ธนวัฒน์ รัตนเดโช
การประเมินโครงการครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ เพื่อ 1) ประเมินกระบวนการดำเนินงานโครงการ 2) ประเมินผลลัพธ์ของโครงการ และ 3) ประเมินการบรรลุวัตถุประสงค์ของโครงการศูนย์ฝึกอาชีพชุมชน ของศูนย์ส่งเสริมการเรียนรู้อำเภอยะรัง โดยประยุกต์ใช้รูปแบบการประเมินที่ผสมผสานระหว่างรูปแบบของสตัฟเฟิลบีม ร่วมกับรูปแบบของสเตค และรูปแบบของไทเลอร์ ดำเนินการเก็บข้อมูลกับผู้ให้ข้อมูล ประกอบด้วย ผู้บริหาร ครู ผู้รับผิดชอบโครงการ ผู้เรียน และวิทยากร รวมทั้งหมดจำนวน 144 คน โดยใช้เครื่องมือเก็บข้อมูล ประกอบด้วย แบบสอบถามความเห็นการดำเนินโครงการ แบบประเมินทักษะการทำชิ้นงาน แบบวัดทัศนคติ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ และแบบสัมภาษณ์ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการคำนวณสถิติพื้นฐาน และทดสอบโดย Paired-Sample t-test ผลการประเมินโครงการ พบว่า 1) กระบวนการดำเนินงานโครงการศูนย์ฝึกอาชีพชุมชน ของศูนย์ส่งเสริมการเรียนรู้อำเภอยะรัง ประกอบด้วย ด้านบริบท ด้านปัจจัยนำเข้า ด้านกระบวนการ และด้านผลผลิต ภาพรวมมีความเหมาะสมอยู่ในระดับมาก 2) ผลลัพธ์ของโครงการศูนย์ฝึกอาชีพชุมชน ภาพรวมมีความเหมาะสมอยู่ในระดับมาก และ 3) โครงการศูนย์ฝึกอาชีพชุมชนบรรลุวัตถุประสงค์อยู่ในระดับมาก โดยทุกด้านผ่านเกณฑ์ที่กำหนดไว้
Item
ปัจจัยที่ส่งผลต่อประสิทธิผลการบริหารงานวิชาการของสถานศึกษาในอำเภอเชียงดาว สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่ เขต 3
(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2024) ว่าที่ร้อยตรีหญิง ทักษพร อรัญญา
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อ 1) ศึกษาระดับปัจจัยการบริหารงานวิชาการของสถานศึกษาในอำเภอเชียงดาว สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่ เขต 3 2) ศึกษาระดับประสิทธิผลการบริหารงานวิชาการของสถานศึกษาในอำเภอเชียงดาว สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่ เขต 3 และ 3) ศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อประสิทธิผลการบริหารงานวิชาการของสถานศึกษาในอำเภอเชียงดาว สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่ เขต 3 กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ผู้บริหารและครู รวมทั้งสิ้น 260 คน ของสถานศึกษาในอำเภอเชียงดาว สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่ เขต 3 จำนวน 39 แห่ง โดยวิธีการสุ่มตัวอย่างแบบชั้นภูมิ (Stratified Sampling) เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ แบบสอบถาม จำนวน 3 ตอน มีค่า IOC อยู่ระหว่าง 0.67-1.00 ค่าความเชื่อมั่นด้านปัจจัยการบริหารงานวิชาการของสถานศึกษาในอำเภอเชียงดาว สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่ เขต 3 มีค่าเท่ากับ 0.95 และประสิทธิผลการบริหารงานวิชาการของสถานศึกษาในอำเภอเชียงดาว สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่ เขต 3 มีค่าเท่ากับ 0.95 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูปคอมพิวเตอร์ สถิติที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติถดถอยพหุคูณ (Multiple Regression) ผลการวิจัย พบว่า 1) ระดับปัจจัยการบริหารงานวิชาการของสถานศึกษาในอำเภอเชียงดาว สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่ เขต 3 อยู่ในระดับมาก 2) ระดับประสิทธิผลการบริหารงานวิชาการของสถานศึกษาในอำเภอเชียงดาว สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่ เขต 3 อยู่ในระดับมาก และ 3) ปัจจัยที่ส่งผลต่อประสิทธิผลการบริหารงานวิชาการของสถานศึกษาในอำเภอเชียงดาว สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่ เขต 3 มี 3 ปัจจัย ได้แก่ ปัจจัยด้านอาคาร สถานที่ (Xe) ปัจจัยด้านสื่อ วัสดุอุปกรณ์ และเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา (Xf) และปัจจัยด้านครูผู้สอน (Xb) เป็นตัวแปรพยากรณ์ที่ส่งผลต่อประสิทธิผลการบริหารงานวิชาการของสถานศึกษาในอำเภอเชียงดาว สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่ เขต 3 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 สามารถเขียนเป็นสมการพยากรณ์ได้ดังนี้ สมการพยากรณ์ในรูปคะแนนดิบ = 1.106 + .311 (Xe) + .284 (Xf) + .151 (Xb) สมการพยากรณ์ในรูปคะแนนมาตรฐาน = .385 (Xe) + .366 (Xf) + .170 (Xb)
Item
แนวทางการปรับตัวของธุรกิจโรงแรมขนาดกลางในจังหวัดเชียงใหม่ช่วงภาวะวิกฤตโควิด-19
(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2023) ภูษณิศา ทิพย์วงศ์
การวิจัยเรื่อง แนวทางการปรับตัวของธุรกิจโรงแรมขนาดกลางในจังหวัดเชียงใหม่ ช่วงภาวะวิกฤตโควิด-19 มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาผลกระทบและการปรับตัวของธุรกิจโรงแรมขนาดกลางในจังหวัดใหม่ ช่วงภาวะวิกฤตโควิด-19 นำไปสู่การเสนอแนะกลยุทธ์การปรับตัวที่เหมาะสมในโรงแรมขนาดกลางในภาวะวิกฤตโรคระบาดอื่น ๆ ซึ่งการศึกษาครั้งนี้เก็บข้อมูลจากการสัมภาษณ์ผู้ประกอบการโรงแรมขนาดกลางในจังหวัดเชียงใหม่ จำนวน 6 แห่ง โดยมีผู้ให้ข้อมูลหลัก คือ ผู้ประกอบการโรงแรม หรือผู้บริหารระดับสูงของโรงแรม จากการศึกษาพบว่า ในช่วงภาวะวิกฤตโควิด-19 โรงแรมมีผลกระทบด้านเศรษฐกิจ ที่ส่งผลให้รายได้ของโรงแรมลดลงมากกว่าร้อยละ 70 และ พบว่า โรงแรมบางแห่งมีค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น โดยการซื้ออุปกรณ์ทำความสะอาดในการป้องกันเชื้อโควิด-19 ส่วนผลกระทบด้านสังคม เนื่องจากภาวะวิกฤตโควิด-19 ที่ทำให้โรงแรมมีรายได้ลดลงจึงต้องมีการจ่ายเงินเดือนพนักงานในจำนวนที่ลดลงเช่นกัน ส่งผลให้พนักงานมีเงินไม่เพียงพอต่อการใช้จ่าย จึงเป็นผลให้พนักงานลาออก จากผลกระทบดังกล่าวนำมาสู่การปรับตัวทั้งหมด 4 ด้าน ได้แก่ (1) ด้านการตลาด เพื่อเพิ่มช่องทางการหารายได้ และเพิ่มรายได้ให้กับโรงแรม เช่น การขาย Voucher ห้องพัก การขายอาหารออนไลน์ มีการเปลี่ยนโรงแรมเปิดเป็นฮอสพิเทล เป็นต้น (2) ด้านทรัพยากรมนุษย์ โดยการปรับรูปแบบการทำงานของพนักงาน และปรับการจ่ายค่าตอบแทนให้สอดคล้องกับรายได้ของโรงแรม เช่น การพัฒนาให้พนักงาน 1 คน ทำงานได้มากกว่า 1 หน้าที่ (3) ด้านการดำเนินงานภายในองค์กร เป็นการบริหารจัดการโรงแรมให้สามารถอยู่รอดและลดค่าใช้จ่ายของโรงแรมให้ได้มากที่สุด เช่น การปิดโรงแรมชั่วคราวและกลับมาเปิดในสถานการณ์ที่ดีขึ้น หรือการลดค่าใช้จ่ายสาธารณูปโภคเพื่อให้สัดส่วนของค่าใช้จ่ายสอดคล้องกับรายได้ (4) ด้านการเงิน เป็นการปรับโครงสร้างทางการเงิน โดยลดต้นทุนในการดำเนินงาน เช่น การลดต้นทุนวัตถุดิบในการทำอาหารของโรงแรม เป็นต้น