University of Phayao

Digital Collections

ฐานข้อมูลคลังปัญญา มหาวิทยาลัยพะเยา จัดทำโดยศูนย์บรรณสารและการเรียนรู้ สถาบันนวัตกรรมการเรียนรู้ มหาวิทยาลัยพะเยา เพื่อเป็นแหล่งรวบรวม จัดเก็บและเผยแพร่ผลงานของคณาจารย์ นักวิจัย และนิสิต ของมหาวิทยาลัยพะเยา

นโยบายการรับผลงานการรับผลงานเข้าสู่ฐานข้อมูลคลังปัญญา มหาวิทยาลัยพะเยา จะคัดเลือกรับผลงานประเภทต่าง ๆ ดังต่อไปนี้

  • Theses วิทยานิพนธ์
  • Dissertations ดุษฎีนิพนธ์
  • Independent Study รายงานการค้นคว้าอิสระ
  • Technical Report รายงานการวิจัย
  • Journal Paper บทความวิจัยที่ตีพิมพ์ในบทความวารสาร
  • Bachelor’s Project ปัญหาพิเศษนักศึกษาปริญญาตรี
  • Patents สิทธิบัตร
  • Local Information Phayao Province ข้อมูลท้องถิ่นจังหวัดพะเยา
  • University of Phayao Archives จดหมายเหตุ มหาวิทยาลัยพะเยา

ติดต่อสอบถามข้อมูลหรือส่งผลงานได้ที่ UPDC Support.

Photo by @inspiredimages
 

Recent Submissions

Item
ผลของโปรแกรมปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการจัดการมูลฝอย ตำบลม่วงยาย อำเภอเวียงแก่น จังหวัดเชียงราย
(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2022) พรหทัย เทพไหว
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมปรับเปลี่ยนพฤติกรรมต่อการจัดการมูลฝอยของประชาชนในตำบลม่วงยาย อำเภอเวียงแก่น จังหวัดเชียงราย เป็นวิจัยแบบกึ่งทดลอง (Quasi–Experimental Research) เปรียบเทียบสองกลุ่มประชากรและวัดผลก่อนและหลังทำกิจกรรม โดยกลุ่มตัวอย่างเป็นประชาชนที่สมัครใจเข้าร่วมกิจกรรม ได้แก่ ประชาชนบ้านไทยสมบูรณ์ อำเภอเวียงแก่น และกลุ่มเปรียบเทียบอาศัยในบ้านม่วง อำเภอเวียงแก่น จำนวนกลุ่มละ 31 คน โดยเข้าร่วมโปรแกรมปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการจัดการมูลฝอยตามหลักวิธีการคัดแยกมูลฝอย 5Rs จำนวน 8 สัปดาห์ แล้วรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม จากนั้นวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา paired T-test และ independent T-test ผลการศึกษาพบว่าค่าเฉลี่ยความรู้เรื่องการจัดการมูลฝอยครัวเรือนของกลุ่มทดลองมีระดับสูงกว่าก่อนการรับโปรแกรม และสูงกว่าคะแนนเฉลี่ยหลังการทดลองของกลุ่มเปรียบเทียบ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (t = 16.036, p-value = 0.001) ด้านทัศนคติต่อการควบคุมพฤติกรรมการจัดการมูลฝอยครัวเรือน ของกลุ่มทดลอง มีระดับคะแนนเฉลี่ยหลังการทดลองสูงกว่าก่อนการเข้าร่วมโปรแกรม และสูงกว่าหลังการทดลองของกลุ่มเปรียบเทียบ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (t = 34.286, p-value <0.001) ด้านการรับรู้การป้องกันพฤติกรรมการจัดการมูลฝอยครัวเรือน ของกลุ่มทดลอง มีระดับคะแนนเฉลี่ยหลังการทดลองสูงกว่าก่อนการทดลอง และสูงกว่าหลังการทดลองของกลุ่มเปรียบเทียบ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (t = 31.817, p-value <0.001) ด้านการควบคุมพฤติกรรมการจัดการมูลฝอยครัวเรือน ของกลุ่มทดลองมีระดับคะแนนเฉลี่ยหลังการทดลองสูงกว่าก่อนการทดลอง และสูงกว่าหลังการทดลองของกลุ่มเปรียบเทียบอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (t = 31.601, p-value <0.001) ด้านความเพียงพอของทรัพยากรต่าง ๆ ในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการจัดการมูลฝอยในครัวเรือน มีระดับคะแนนเฉลี่ยหลังการทดลองสูงกว่าก่อนการทดลอง และสูงกว่าหลังการทดลองในกลุ่มเปรียบเทียบอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (t = 24.463, p-value <0.001) ซึ่งแสดงให้เห็นว่าโปรแกรมปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการจัดการมูลฝอย สามารถนำมาพัฒนาเพื่อเป็นแนวทางในปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการจัดการมูลฝอยในชุมชนให้ไปในทิศทางที่ดีขึ้นต่อไป
Item
การเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับสถานการณ์ภัยคุกคามรูปแบบใหม่ของกรมทหารราบที่ 17 จังหวัดพะเยา
(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2019) สิริชัย ดวงจันทร์
การศึกษา เรื่อง “การเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับสถานการณ์ภัยคุกคามรูปแบบใหม่กรมทหารราบ ที่ 17 จังหวัดพะเยา” มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาความพร้อมของกรมทหารราบที่ 17 จังหวัดพะเยา เพื่อปฏิบัติภารกิจ ในสถานการณ์ภัยคุกคามรูปแบบใหม่ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ทหารสังกัดกรมทหารราบที่ 17 จำนวน 216 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัย พบว่า ความพร้อมของกรมทหารราบที่ 17 จังหวัดพะเยา เพื่อปฏิบัติภารกิจในสถานการณ์ ภัยคุกคามรูปแบบใหม่ โดยรวมมีความพร้อมอยู่ในระดับปานกลาง เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน ทั้ง 4 ด้าน พบว่า ด้านทรัพยากรบุคคล (กำลังพล) มีความพร้อมอยู่ในระดับมาก ส่วนด้านการบริหารจัดการ ด้านงบประมาณ และด้านวัสดุอุปกรณ์ มีความพร้อมอยู่ในระดับปานกลาง ข้อเสนอแนะและแนวทางการเตรียมความพร้อม ของกรมทหารราบที่ 17 จังหวัดพะเยา เพื่อปฏิบัติภารกิจในสถานการณ์ภัยคุกคามรูปแบบใหม่ พบว่า 1) ด้านทรัพยากรบุคคล พบว่า ควรจัดหลักสูตรอบรมเชิงปฏิบัติการให้ความรู้ และสร้างความเข้าใจ เพื่อเตรียมความพร้อมในการรองรับภัยคุกคามรูปแบบใหม่ ให้แก่กำลังพล และประชาชนทั่วไป 2) ด้านงบประมาณ พบว่า ควรจัดสรรงบประมาณให้เพียงพอ และครอบคลุมทุกพันธกิจ 3) ด้านวัสดุอุปกรณ์ พบว่า ควรจัดหา วัสดุอุปกรณ์ที่เหมาะสม ทันสมัย และมีสภาพใช้ได้จริง และ 4) ด้านการบริหารจัดการ พบว่า ควรมีการวางแผน การปฏิบัติงานให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน เน้นการดำเนินการตามแผนให้ดำเนินไปในทิศทางเดียวกัน มีการกำกับ ดูแล และติดตามประเมินผลการปฏิบัติงานอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ และควรเปิดโอกาส ให้กำลังพล และประชาชน มีส่วนร่วม
Item
การมีส่วนร่วมของประชาชนในการบริหารงานขององค์การบริหารส่วนตำบลร่มเย็น อำเภอเชียงคำ จังหวัดพะเยา
(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2022) ดลฤดี มังสุไร
การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับการมีส่วนร่วมของประชาชนในการบริหารงานขององค์การบริหารส่วนตำบลร่มเย็น และ 2) เปรียบเทียบการมีส่วนร่วมของประชาชนในการบริหารงานขององค์การบริหารส่วนตำบลร่มเย็น จำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ โดยใช้แบบสอบถามในการเก็บข้อมูลโดยกำหนดกลุ่มประชากร คือ ประชาชนในเขตตำบลร่มเย็น ที่เป็นหัวหน้าครัวเรือน จำนวน 4,190 ครัวเรือน และกลุ่มตัวอย่าง คือ ประชาชนในเขตตำบลร่มเย็น ที่เป็นหัวหน้าครัวเรือนละ 1 คน จำนวน 352 คน เครื่องมือในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที และการทดสอบค่าเอฟด้วยวิธีการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว เมื่อพบว่า มีความแตกต่างจะทำการเปรียบเทียบความแตกต่างค่าเฉลี่ยเป็นรายคู่ด้วยวิธีผลต่างนัยสำคัญน้อยที่สุด ผลการศึกษาพบว่า การมีส่วนร่วมของประชาชนในการบริหารงานขององค์การบริหารส่วนตำบลร่มเย็น อำเภอเชียงคำ จังหวัดพะเยา โดยภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับปานกลางทั้งหมด ได้แก่ ด้านการมีส่วนร่วมในการวางแผน ด้านการมีส่วนร่วมในการดำเนินงาน ด้านการมีส่วนร่วมรับผลประโยชน์ และด้านการมีส่วนร่วมในการประเมินผล และเมื่อเปรียบเทียบการมีส่วนร่วมของประชาชนในการบริหารงานขององค์การบริหารส่วนตำบลร่มเย็น จำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล พบว่า ประชากรที่มีอายุ รายได้เฉลี่ยต่อเดือน และระยะเวลาที่อาศัยอยู่ในพื้นที่แตกต่างกัน มีส่วนร่วมในบริหารงานแตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05
Item
การศึกษาการบริหารสถานศึกษาตามหลักธรรมาภิบาลของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษาจังหวัดเชียงราย
(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2022) พุทธิพัชร์ ธนพัทธ์ปัญญา
การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาการบริหารสถานศึกษาตามหลักธรรมาภิบาลของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา จังหวัดเชียงราย เพื่อเปรียบเทียบการบริหารสถานศึกษาตามหลักธรรมาภิบาลของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษาจังหวัดเชียงราย ศึกษาประชากร ครูผู้สอน จำนวน 443 คน และกำหนดกลุ่มตัวอย่างโดยใช้ตารางของเครจซี่และมอร์แกนได้จำนวนกลุ่มตัวอย่าง 210 คน เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ ค่าดัชนีความสอดคล้องอยู่ที่ 1.00 และค่าความเชื่อมั่นอยู่ที่ 0.98 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที (T-test) และการทดสอบค่าเอฟ (F-test) วิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว (One–way ANOVA) และตรวจสอบความแตกต่างเป็นรายคู่โดยวิธีตรวจสอบความแตกต่างของเชฟเฟ่ (Scheffe’s) ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลการศึกษาความคิดเห็นของครูที่มีต่อการบริหารสถานศึกษาโดยใช้หลักธรรมาภิบาลของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษาจังหวัดเชียงราย ภาพรวมอยู่ในระดับมาก ค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ หลักประสิทธิภาพ รองลงมา คือ หลักประสิทธิผล และด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือ หลักการตอบสนอง 2) ผลการเปรียบเทียบความคิดเห็นของครูที่มีต่อการบริหารสถานศึกษาโดยใช้หลักธรรมาภิบาล ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษาจังหวัดเชียงราย จำแนกตามเพศ พบว่า ครูที่มีเพศต่างกันมีความคิดเห็นไม่แตกต่างกัน ยกเว้นหลักความโปร่งใส เมื่อจำแนกตามอายุ พบว่า ครูที่ปฏิบัติงานในสถานศึกษาที่มีอายุต่างกัน มีความคิดเห็นแตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 และเมื่อจำแนกตามประสบการณ์ พบว่า ครูที่ปฏิบัติงานในสถานศึกษาที่มีประสบการณ์ต่างกันมีความคิดเห็นแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05
Item
ผลกระทบของมาตรการแก้ไขสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ของรัฐบาลต่อการบริหารทรัพยากรมนุษย์ของผู้ประกอบการ SMEs อำเภอเมืองพะเยา จังหวัดพะเยา
(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2020) ภกรณ์ ไชยวัง
การศึกษาในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาผลกระทบของมาตรการแก้ไขสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธ์ุใหม่ 2019 ของรัฐบาลต่อการบริหารทรัพยากรมนุษย์ของผู้ประกอบการ SMEs อำเภอเมือง จังหวัดพะเยา และเพื่อศึกษาแนวทางการแก้ไขปัญหา และข้อเสนอแนะในการบริหารทรัพยากรมนุษย์ ของผู้ประกอบการ SME อำเภอเมือง จังหวัดพะเยา ประชากรที่ใช้ในการศึกษา คือ ผู้ประกอบการ SMEs ภาคการผลิต ภาคการค้า และการบริการ ในอำเภอเมืองพะเยา มีวิธีการคัดเลือกกลุ่มตัวอย่างผู้ให้ข้อมูลสำคัญแบบเจาะจง (Purposive Selection) โดยกำหนดคุณสมบัติ 2 ประการ คือ เป็นผู้บริหาร หรือฝ่ายทรัพยากรมนุษย์ของสถานประกอบการ ที่อาศัยในเขตอำเภอเมือง จังหวัดพะเยา และดำเนินกิจการมาแล้ว ไม่ต่ำกว่า 2 ปี จำนวน 30 คน เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ เครื่องมือที่ใช้ คือ แบบสัมภาษณ์แบบเจาะลึก ผลการศึกษาพบว่า ผลกระทบจากมาตรการแก้ไขสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ของรัฐบาล ต่อการบริหารทรัพยากรมนุษย์ของผู้ประกอบการ SMEs อำเภอเมือง จังหวัดพะเยา 3 ด้าน ได้แก่ ด้านการวางแผนทรัพยากรมนุษย์ คือ มีการวางแผนปรับลดขนาดธุรกิจ ด้านการบริหารค่าตอบแทน คือ การปรับฐานเงินเดือนและจ่ายเงินเดือนน้อยลง ด้านการให้สวัสดิการ มีการเพิ่มประกันสุขภาพพนักงานและการให้หยุดงานได้โดยไม่นับเป็นวันลา ไม่ได้รับค่าตอบแทน เป็นต้น สำหรับแนวทางแก้ไข ได้แก่ การทำงานแบบ Work From Home และข้อเสนอจากการวิจัย คือ ควรศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับบริบทของธุรกิจแต่ละประเภท และมาตรการต่าง ๆ ของภาครัฐและภาคเอกชนที่ส่งผลต่อธุรกิจ ควรมีการอบรมและพัฒนาความรู้ และทักษะของพนักงาน และปรับเปลี่ยนรูปแบบหรือสถานที่ทำงาน แล้วนำเทคโนโลยีที่ใช้ในการทำงานยุคใหม่มาประยุกต์ใช้ ให้การทำงานสามารถทำได้อย่างมีประสิทธิภาพภายใต้สถานการณ์ที่ไม่ปกติ