Browse
Recent Submissions
- Itemการพัฒนาสมการทำนายความแข็งแรงของกล้ามเนื้อเหยียดเข่าจากการทดสอบการยืนย่อเข่าในผู้สูงอายุ(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2017) พงศ์พนัส เพิ่มการ; กนกวรรณ กันติ๊บการศึกษานี้เป็นการวิจัยเชิงวิเคราะห์ (Analytical research) ในรูปแบบสหสัมพันธ์ (Correlational Research) เพื่อศึกษาหาความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรค่าความแข็งแรงของกล้ามเนื้อเหยียดเข่ากับความสามารถในการยืน - ย่อเข่า ความสามารถในการทรงตัว และตัวแปรข้อมูลพื้นฐานทางกายภาพในผู้สูงอายุ โดยอาสาสมัครเป็นผู้สูงอายุสุขภาพดี อายุ 60 ปีขึ้นไป จำนวน 55 คน (เพศชาย 19 คน และเพศหญิง 36 คน) อาสาสมัครทั้งหมดได้รับการบันทึกค่าตัวแปรพื้นฐานทางกายภาพ ประเมินการทรงตัวขณะอยู่นิ่งด้วยการทดสอบ Single Leg Stand ขณะหลับตาและลืมตา การทรงตัวขณะเคลื่อนไหวด้วย Functional Reach Test ทดสอบความแข็งแรงของกล้ามเนื้อเหยียดเข่าด้วย Hand Held Dynamometer และทำการทดสอบการยืน - ย่อเข่า (Squat Test) ผลการทดสอบถูกวิเคราะห์ด้วยสถิติ Pearson product moment correlation coefficient เพื่อหาค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรการทดสอบ ใช้สถิติ Multiple regression analysis เพื่อหาสมการพยากรณ์ค่าความแข็งแรงของกล้ามเนื้อเหยียดเข่า โดยกำหนดระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ p < 0.05 ผลการศึกษาพบว่า ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อเหยียดเข่า (Knee extensor muscle strength) มีความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติกับ 1. ข้อมูลพื้นฐานทางกายภาพของอาสมัคร ได้แก่ เพศ อายุ น้ำหนัก และส่วนสูง (r = 0.581, -0.229, 0.338 และ 0.424 ตามลำดับ) 2. ความสามารถในการทรงตัวขณะเคลื่อนไหว (Dynamic balance) และการทรงตัวขณะอยู่นิ่ง (Static balance) (r = 0.277 และ 0.268 ตามลำดับ) และ 3. ความสามารถในการทดสอบยืน - ย่อเข่า (Squat test) จำนวน 10 ครั้ง (r = -0.664) สามารถสร้างสมการที่สามารถทำนายความแข็งแรงของกล้ามเนื้อเหยียดเข่าจากตัวแปรเพศ และเวลาที่ทำการยืน - ย่อเข่า 10 ครั้ง (time to complete 10-squat test) ซึ่งมีความสัมพันธ์ในระดับสูง (r = 0.808) โดยมีอำนาจในการทำนาย 65.3 เปอร์เซ็นต์ และมีค่าความคาดเคลื่อนในการทำนายเท่ากับ 6.082 กิโลกรัม ผลการศึกษาในครั้งนี้สรุปได้ว่าตัวแปรเพศ และการทดสอบยืน - ย่อเข่า มีอิทธิพลต่อความแข็งแรงของกล้ามเนื้อเหยียดข้อเข่า และนำมาใช้สร้างสมการในการทำนายความแข็งแรงของกล้ามเนื้อเหยียดเข่าในผู้สูงอายุได้
- Itemผลเฉียบพลันของการออกกำลังกายแบบพิลาทิสต่อค่าแรงดันสูงสุดของการหายใจเข้าและหายใจออกในกลุ่มเด็กมัธยมศึกษาตอนปลาย(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2013) เสาวลักษณ์ ทิพย์ชะ; พึงฤทัย ใจฟู; วรัญญา หาญเสนาการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาผลเฉียบพลันของการออกกำลังกายแบบพิลาทิสต่อค่าแรงดันสูงสุดของการหายใจเข้า (PImax) และหายใจออก (PEmax) และค่าระดับความมั่นคงของกระดูกสันหลังและเชิงกราน (Lumbo-pelvic stability) ในคนปกติไม่มีโรคประจำตัว กำลังศึกษาชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย อายุระหว่าง 15-18 ปี อาสาสมัคร จำนวน 15 คน เป็นผู้ชาย 8 คน ผู้หญิง 7 คน โดยให้ออกกำลังกายโปรแกรมออกกำลังกายแบบพิลาทิส เป็นเวลา 40 นาที ทำการประเมินค่าแรงดันสูงสุดของการหายใจเข้า (PImax) และหายใจออก (PEmax) ด้วยครื่องสไปโรมิเตอร์ (spirometer) และประเมินค่าระดับความมั่นคงของกระดูกสันหลังและเชิงกราน (Lumbo-pelvic stability) ด้วยเครื่องวัดระดับความมั่นคงของกระดูกสันหลังและเชิงกราน (Pressure biofeedback unit) ในอาสาสมัครทั้งก่อนและหลังการทดลองเพื่อเปรียบเทียบความแตกต่าง นำผลที่ได้จากการทดสอบมาวิเคราะห์ข้อมูล โดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูป SPSS โดยกำหนดระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ p<0.05 จากผลการทดลองพบว่าหลังการออกกำลังกายแบบพิลาทิสไม่มีความแตกต่างกันของค่าแรงดันสูงสุดของการหายใจเข้า (PImax) และค่าระดับความมั่นคงของกระดูกสันหลังและเชิงกราน (Lumbo-pelvic stability) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p>0.05) ส่วนค่าแรงดันสูงสุดในการหายใจออก (PEmax) พบว่ามีค่าเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.05) การศึกษาครั้งนี้สรุปได้ว่าหลังจากการออกกำลังกายแบบพิลาทิสจะมีการตอบสนองของค่าแรงดันสูงสุดในการหายใจออกเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.05)
- Itemผลของการรำวงย้อนยุคต่อค่าสมรรถภาพปอดในผู้สูงอายุ(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2017) ปรางทิพย์ ศรีหาภาค; รัชฎาพร อิ่นคำสัดส่วนของประชากรในประเทศไทยที่มีอายุ 60 ปี มีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากอัตราการเกิดและอัตราการตายลดลง อายุที่เพิ่มมากขึ้นมีความสัมพันธ์กับการเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยาของระบบหายใจ เช่น กล้ามเนื้อหายใจอ่อนแรง มีการจำกัดการขยายตัวของทรวงอก และการเพิ่มขึ้นของความต้านทานในทางเดินหายใจ การทำงานของระบบหายใจที่ลดลงมีความสัมพันธ์กับอายุ ซึ่งเป็นสาเหตุของความผิดปกติและการเกิดโรคร่วมในผู้สูงอายุ โปรแกรมการออกกำลังกายสำหรับผู้สูงอายุได้รับความสนใจ เนื่องจากมีบทบาทในการป้องกันอาการเจ็บป่วยและการบาดเจ็บ ลดการจำกัดการทำงานและการเกิดความพิการ การศึกษาในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาผลของการรำวงย้อนยุคต่อค่าสมรรถภาพปอดในผู้สูงอายุ ในอาสาสมัครเพศหญิงที่ผ่านเกณฑ์คัดเข้า จำนวน 36 คน ที่มีอายุระหว่าง 60-80 ปี ทำการสุ่มแบ่งกลุ่มอาสาสมัครเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มรำวงย้อนยุค จำนวน 15 คน กลุ่มควบคุม จำนวน 21 คน ทั้งสองกลุ่มได้รับการวัด Peak expiratory flow rate (PEFR) โดยใช้ Digital peak flow meter ก่อนการเริ่มโปรแกรมการออกกำลังกาย และหลังจากสิ้นสุดโปรแกรมการออกกำลังกาย โดยใช้การรำวงย้อนยุค ครั้งละ 40 นาที เป็นระยะเวลา 3 วันต่อสัปดาห์ รวมทั้งหมด 6 สัปดาห์ ผลการศึกษาพบว่า ค่า PEFR และค่า %PEFR ไม่มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติในกลุ่มรำวงย้อนยุค หลังสิ้นสุดโปรแกรมการออกกำลังกายเมื่อเปรียบเทียบค่า PEFR ระหว่างกลุ่มรำวงย้อนยุคและกลุ่มควบคุม พบว่า ไม่มีความแตกต่างกันในทั้งสองกลุ่ม ดังนั้นจึงสรุปได้ว่าการออกกำลังกายแบบรำวงย้อนยุคไม่มีผลต่อการทำงานของปอด ที่วัดด้วย Digital peak flow meter ถึงแม้ว่าการออกกำลังกายแบบรำวงย้อนยุคมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของค่า PEFR เพียงเล็กน้อย แต่โปรแกรมการออกกำลังกายในผู้สูงอายก็ยังมีความสำคัญในการเพิ่มการทำกิจวัตรประจำวัน ลดอาการเจ็บป่วย และยังช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิต
- Itemการพัฒนาสมการทำนายความแข็งแรงของกล้ามเนื้อถีบปลายเท้าจากการทดสอบยืนเขย่งปลายเท้าในผู้สูงอายุ(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2017) ฟาโรอัล สิทธิมนต์; ศิณัฐตรา จันทร์ซาการศึกษานี้เป็นการวิจัยเชิงวิเคราะห์ (Analytical Research) ในรูปแบบสหสัมพันธ์ (Correlational Research) เพื่อศึกษาหาความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรค่าความแข็งแรงของกล้ามเนื้อถีบปลายเท้ากับความสามารถในการยืนเขย่งปลายเท้า ความสามารถในการทรงตัวและตัวแปรข้อมูลพื้นฐานทางกายภาพในผู้สูงอายุ โดยอาสาสมัครเป็นผู้สูงอายุสุขภาพดี อายุ 60 ปีขึ้นไป จำนวน 56 คน (เพศชาย 19 คน และเพศหญิง 37 คน) อาสาสมัครทั้งหมดได้รับการบันทึกค่าตัวแปรพื้นฐานทางกายภาพ ประเมินการทรงตัวขณะอยู่นิ่งด้วยการทดสอบ Single leg stand ขณะหลับตาและลืมตา การทรงตัวขณะเคลื่อนไหวด้วย Functional reach test ทดสอบความแข็งแรงของกล้ามเนื้อถีบปลายเท้าด้วย Push-pull dynamometer และทำการทดสอบการยืนเขย่งปลายเท้า (Standing heel-rise test) ผลการทดสอบถูกวิเคราะห์ด้วยสถิติ Pearson product moment correlation coefficient เพื่อหาค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรการทดสอบ ใช้สถิติ Multiple regression analysis เพื่อหาสมการพยากรณ์ค่าความแข็งแรงของกล้ามเนื้อถีบปลายเท้า โดยกำหนดระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ p < 0.05 ผลการศึกษาพบว่า ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อถีบปลายเท้า (Ankle plantarflexor muscle strength) มีความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติกับ 1) ข้อมูลพื้นฐานทางกายภาพของอาสามัคร ได้แก่ เพศ อายุ น้ำหนัก และส่วนสูง (r = 0.458, -0.235, 0.390 และ 0.469 ตามลำดับ) 2) ความสามารถในการทรงตัวขณะเคลื่อนไหว (Dynamic balance) และการทรงตัวขณะอยู่นิ่ง (Static balance) (r = 0.387 และ 0.466 ตามลำดับ) และ 3) กำลังในการทดสอบยืนเขย่งปลายเท้า (Standing heel-rise test) จำนวน 5 ครั้ง (r = 0.563) สามารถสร้างสมการที่สามารถทำนายความแข็งแรงของกล้ามเนื้อถีบปลายเท้าจากตัวแปรเพศ เวลาในการทดสอบ Single leg stand ขณะลืมตา และกำลังที่ทำการยืนเขย่งปลายเท้า จำนวน 5 ครั้ง (power of standing heel rise test) ซึ่งมีความสัมพันธ์ในระดับสูง (r = 0.723) โดยมีอำนาจในการทำนาย 52.2 เปอร์เซนต์ และมีค่าความคลาดเคลื่อนในการทำนายเท่ากับ 6.156 กิโลกรัม ผลการศึกษาในครั้งนี้สรุปได้ว่าตัวแปรเพศ การทดสอบ Single leg stand และการทดสอบยืนเขย่งปลายเท้า มีอิทธิพลต่อความแข็งแรงของกล้ามเนื้อถีบปลายเท้า และนำมาใช้สร้างสมการในการทำนายความแข็งแรงของกล้ามเนื้อถีบปลายเท้าในผู้สูงอายุได้
- Itemผลของการรักษาด้วยเครื่องกระตุ้นปลายประสาทด้วยไฟฟ้าผ่านผิวหนังต่อระดับความเจ็บปวดและคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยข้อเข่าเสื่อม(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2017) ประวีณา แสนสุวรรณ; พีรวัส เดชพรมโรคข้อเข่าเสื่อม (Knee Osteoarthritis) เกิดจากการสึกหรอของกระดูกอ่อนผิวข้อ (Articular Cartilage) และเกิดการเสื่อมของกระดูกใต้กระดูกอ่อน (Subchondral Bone) ในข้อเข่า ส่งผลทำให้เกิดอาการปวดและอักเสบในข้อเข่า ทำให้ผู้ป่วยทำกิจวัตรประจำวันได้น้อยลง กำลังกล้ามเนื้อขาลดลง โดยเฉพาะกำลังกล้ามเนื้อในการเหยียดข้อเข่า ส่งผลให้องศาการเคลื่อนไหวของข้อเข่าลดลง มีภาวะซึมเศร้า และทำให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่แย่ลง การรักษาทางกายภาพบำบัดในผู้ป่วยข้อเข่าเสื่อมมีความสำคัญและช่วยให้ผู้ป่วยมีอาการที่ดีขึ้นได้ โดยเฉพาะการรักษาด้วยเครื่องกระตุ้นปลายประสาทด้วยไฟฟ้าผ่านผิวหนัง (TENS) ซึ่งสามารถลดอาการปวดข้อเข่าได้ดี แต่อย่างไรก็ตามรูปแบบการกระตุ้น จำนวนครั้งของการกระตุ้นระยะเวลาของการกระตุ้น ที่ดีที่สุดยังมีการศึกษาอยู่น้อย ดังนั้นจึงมีการศึกษานี้โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาผลของการรักษาด้วยเครื่องกระตุ้นปลายประสาทด้วยไฟฟ้าผ่านผิวหนัง (TENS) ใช้กระแสไฟฟ้ารูปแบบ High TENS ต่อระดับความเจ็บปวด ขีดกั้นความเจ็บปวดต่อแรงกด องศาการเคลื่อนไหว ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ ภาวะซึมเศร้า และคุณภาพชีวิตในผู้ป่วยข้อเข่าเสื่อม ศึกษาในกลุ่มอาสาสมัครผู้ป่วยโรคข้อเข่าเสื่อม ทั้งเพศชายและหญิง อายุ 50-75 ปี อาศัยในเขตพื้นที่อำเภอเมือง จังหวัดพะเยา จำนวนทั้งหมด 42 คน แบ่งอาสาสมัครออกเป็น 2 กลุ่มด้วยวิธีการสุ่ม กลุ่มที่ 1. ได้รับการรักษาด้วยเครื่องกระตุ้นปลายประสาทด้วยไฟฟ้าผ่านผิวหนัง (TENS) ใช้การกระตุ้นแบบ High TENS ร่วมกับการออกกำลังกาย กลุ่มที่ 2. ให้การรักษาด้วยการกระตุ้นไฟฟ้าแบบหลอก (Placebo TENS) ร่วมกับการออกกำลังกาย โดยให้การรักษา 3 ครั้งต่อสัปดาห์ เวลา 40-50 นาที เป็นระยะเวลา 4 สัปดาห์ ผลการศึกษาเมื่อเปรียบเทียบภายในกลุ่มที่ได้รับการรักษาด้วย High TENS พบว่า หลังจากให้การรักษาไปแล้ว 2 และ 4 สัปดาห์ อาสาสมัครมีระดับความเจ็บปวดลดลง การติดของข้อเข่าลดลง คุณภาพชีวิตในด้านการทำกิจกรรม อารมณ์ และอาการปวดดีขึ้น และองศาการเคลื่อนไหวในทิศเหยียดเข่าเพิ่มขึ้น ความสามารถในการทำงานของร่างกายดีขึ้นภาวะซึมเศร้าลดลง หลังให้การรักษาไปแล้ว 4 สัปดาห์ เมื่อเปรียบเทียบกับ baseline เมื่อเปรียบเทียบภายในกลุ่มที่ได้รับการรักษาด้วย Placebo TENS พบว่า หลังจากให้การรักษาไปแล้ว 2 และ 4 สัปดาห์ คุณภาพชีวิตในด้าน สุขภาพทั่วไปและสภาวะอารมณ์ดีขึ้น ภาวะซึมเศร้าลดลง และหลังให้การรักษาไปแล้ว 4 สัปดาห์องศาการเคลื่อนไหวในทิศงอและเหยียดเข่าเพิ่มขึ้น และความแข็งแรงของกล้ามเนื้อขาเพิ่มขึ้น หลังให้การรักษาไปแล้ว 2 สัปดาห์ เมื่อเปรียบเทียบกับ baseline เมื่อเปรียบเทียบระหว่างกลุ่มพบว่า กลุ่มที่ได้รับการรักษาด้วย High TENS มีระดับความเจ็บปวดที่ลดลง การทำงานของข้อเข่าดีขึ้น คุณภาพชีวิตในด้านสุขภาพทั่วไปและสภาวะอารมณ์ดีขึ้นมากกว่ากลุ่ม Placebo TENS อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ และขีดกั้นความเจ็บปวดต่อแรงกดในกลุ่มที่ได้รับการรักษาด้วย High TENS มีค่าสูงขึ้น แต่ไม่มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ การศึกษานี้สรุปได้ว่า การรักษาด้วย High TENS สามารถลดระดับความเจ็บปวด เพิ่มประสิทธิภาพการทำงางานของข้อเข่า และทำให้คุณภาพชีวิตของผู้ป่วยโรคข้อเข่าเสื่อมดีขึ้นได้