คณะสหเวชศาสตร์

Permanent URI for this collection

Browse

Recent Submissions

Now showing 1 - 5 of 78
  • Item
    ผลของการรักษาด้วยดนตรีบำบัดต่อความทนทานของระบบหัวใจและไหลเวียนโลหิตและภาวะซึมเศร้าในผู้สูงอายุ
    (มหาวิทยาลัยพะเยา, 2018) ออรียา ปัญญาอิน; เอกวิสิฐ ผ้าเจริญ
    ผู้สูงอายุเป็นวัยที่มีการเปลี่ยนแปลงในทางเสื่อมถอยลง ซึ่งเกิดขึ้นทั้งทางร่างกายและจิตใจ การเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์และจิตใจเป็นผลจากสถานภาพทางสังคมที่เปลี่ยนไป ผู้สูงอายุจำนวนไม่น้อยที่มีภาวะซึมเศร้าและวิตกกังวล อาจจะส่งผลต่อความเสื่อมทางร่างกายได้ด้วย ผู้สูงอายุที่มีภาวะซึมเศร้าจึงมักมีอาการเหนื่อยล้าง่าย ความแข็งแรงความทนทานของกล้ามเนื้อลดลง ความทนทานของระบบหายใจและไหลเวียนโลหิตลดลง มี มีการเลือกใช้การรักษาภาวะซึมเศร้าหลากหลายรูปแบบ หนึ่งในวิธีการที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ คือ การใช้ดนตรีบำบัด การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของการรักษาด้วยดนตรีบำบัดต่อความทนทานของระบบหัวใจและไหลเวียนโลหิตและภาวะซึมเศร้าในผู้สูงอายุ โดยทำการศึกษาในอาสาสมัคร จำนวน 23 คน ที่มีอายุระหว่าง 60-80 ปี ทำการสุ่มแบ่งกลุ่มอาสาสมัครเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มควบคุมจำนวน 12 คน และกลุ่มดนตรีบำบัด จำนวน 11 คน โดยในกลุ่มที่ได้รับดนตรีบำบัดจะฟังเพลงที่บันทึกไว้เป็นเวลา 40 นาทีก่อนเข้านอนทุกวัน เป็นระยะเวลา 2 สัปดาห์ ทั้งสองกลุ่มได้รับการสอบถามภาวะซึมเศร้า โดยใช้แบบประเมินภาวะซึมเศร้าในผู้สูงอายุไทย 30 ข้อ (Thai Geriatric Depression Scale; TGDS-30) และการและทดสอบความทนทานของระบบหัวใจและไหลเวียนโลหิตโดยใช้การทดสอบการยืนยกเข่าขึ้น-ลง 2 นาที (2 Minute step test) ก่อนการเริ่มการทดลองฟังดนตรีบำบัดและหลังจากสิ้นสุดการทดลองฟังดนตรีบำบัด ผลการศึกษาพบว่า คะแนน TGDS-30 ในผู้สูงอายุทั้งสองกลุ่มไม่มีความแตกต่างกัน และกลุ่มที่รักษาด้วยดนตรีบำบัดไม่มีการเปลี่ยนแปลงภาวะซึมเศร้า จำนวนครั้งในยกเข่าขึ้น-ลง 2 นาที ไม่มีความแตกต่างกันระหว่างกลุ่มควบคุมและกลุ่มทดลองทั้งก่อนและหลังการทดสอบ สรุปได้ว่ารักษาด้วยดนตรีบำบัดเป็นระยะเวลา 2 สัปดาห์ไม่มีผลต่อภาวะซึมเศร้าและความทนทานของระบบหัวใจและไหลเวียนโลหิตของผู้สูงอายุ
  • Item
    ผลของเครื่องนวัตกรรมออกกำลังกายข้อเข่าแบบไอโซเมตริกของกล้ามเนื้อควอดไดรเซบส์ต่อความแข็งแรง ระดับความเจ็บปวดและคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุที่มีภาวะข้อเข่าเสื่อม ตำบลแม่กา อำเภอเมือง จังหวัดพะเยา
    (มหาวิทยาลัยพะเยา, 2019) จิราภรณ์ อุบลวงค์; ณัฐนิชา ศิริสิทธิ์; วชิราภรณ์ คันธิยงค์
    ที่มา: อุบัติการณ์การเกิดโรคข้อเข่าเสื่อม (osteoarthritis of knee) สูงขึ้นทั่วโลกรวมทั้งในประเทศไทย จากรายงานในปี 2015 พบว่า จังหวัดพะเยาสูญเสียเงินค่าใช้จ่ายในการดูแลผู้ป่วยกลุ่มนี้เป็นจำนวนมาก อาการของโรคข้อเข่าเสื่อมมีลักษณะทางคลินิกที่สำคัญ คือ ปวดข้อ ข้อฝืด มีปุ่มกระดูกงอกบริเวณข้อ การเคลื่อนไหวลดลง กล้ามเนื้อรอบ ๆ ข้ออ่อนแรง การทำงานของข้อบกพร่องและคุณภาพชีวิตลดลง หากกระบวนการนี้ดำเนินต่อไปจะมีผลทำให้ข้อผิดรูปและพิการในที่สุด จากผลการศึกษาที่ผ่านมาพบว่า การออกกำลังกายแก่กล้ามเนื้อประกบข้อเข่าเป็นวิธีการฟื้นฟูข้อเข่าที่สำคัญและให้ผลดี แต่ยังมีการศึกษาเกี่ยวกับนวัตกรรมการออกกำลังกายในผู้ป่วยกลุ่มนี้เพียงเล็กน้อย วัตถุประสงค์: เพื่อศึกษาผลของเครื่องนวัตกรรมออกกำลังกายข้อเข่าแบบไอโซเมตริกของกล้ามเนื้อควอดไดรเซบส์ต่อระดับความแข็งแรง ความเจ็บปวด และคุณภาพชีวิตในผู้สูงอายุที่มีภาวะข้อเข่าเสื่อม โดยทำการศึกษาในอาสาสมัครที่มีอาการของโรคข้อเข่าเสื่อมอายุ 60 ปีขึ้นไป ในตำบลแม่กา อำเภอเมือง จังหวัดพะเยา วิธีการ: อาสาสมัครที่มีภาวะข้อเข่าเสื่อมที่มีคุณสมบัติผ่านเกณฑ์การคัดเข้าและคัดออก จำนวน 15 คน ถูกสุ่มแบ่งกลุ่มออกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่ 1 กลุ่มควบคุม (Control group) ได้รับการขอร้องให้ดำเนินชีวิตประจำวันตามปกติควบคู่กับการรับประทานยา NSAIDs จำนวน 8 คน และกลุ่มที่ 2 กลุ่มที่ได้รับนวัตกรรมออกกำลังกายข้อเข่าแบบไอโซเมตริกของกล้ามเนื้อควอดไดรเซบส์ (Innovative isometric exercise group) ควบคู่กับการรับประทานยา NSAIDs จำนวน 7 คน ได้รับการประเมินตัวแปรทั้งหมด 2 ครั้ง คือ ประเมินตัวแปรก่อนเริ่มการศึกษาและหลังจากการศึกษา 3 สัปดาห์ ตัวแปรที่ทำการประเมิน ได้แก่ ระดับความแข็งแรงของกล้ามเนื้อควอดไดรเซบส์ (Quadriceps strength) ระดับความเจ็บปวด (Level of pain) และคุณภาพชีวิต (Quality of Life) โดยกำหนดนัยสำคัญทางสถิติ คือ p<0.05 ผลการศึกษา: พบว่า ภายหลังจากการออกกำลังกาย 3 สัปดาห์กลุ่มที่ได้รับนวัตกรรมออกกำลังกายข้อเข่าแบบไอโซเมตริกของกล้ามเนื้อควอดไดรเซบส์ควบคู่กับการรับประทานยา NSAIDs มีความแข็งแรงของกล้ามเนื้อควอดไดรเซบส์ (Quadriceps strength) ที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (113.40±46.51 vs 85.11±55.29; p=0.001) ระดับความเจ็บปวด (Level of pain) ลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (4.86±0:90 vs 7.43±1.13; p=0.016) และคุณภาพชีวิต (Quality of Life) โดยรวมเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (51.57±26.78 vs 88.00±49.94; p=0.018) เมื่อเทียบกับก่อนการทดลองส่วนในกลุ่มควบคุมนั้นไม่พบความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติระหว่างก่อนและหลังการศึกษาแต่อย่างไร ส่วนการเปรียบเทียบระหว่างกลุ่ม พบว่า ภายหลังจากออกกำลังกายด้วยเครื่องนวัตกรรมออกกำลังกายข้อเข่าแบบไอโซเมตริกของกล้ามเนื้อควอดไดรเซบส์ควบคู่กับการรับประทานยา NSAIDs 3 สัปดาห์ มีเพียงระดับความเจ็บปวดลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มควบคุม (p=0.001) โดยตัวแปรอื่น ๆ ไม่พบการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ สรุป: การออกกำลังกายด้วยนวัตกรรมออกกำลังกายข้อเข่าแบบไอโชเมตริกของกล้ามเนื้อควอดไดรเซบส์เป็นระยะเวลา 3 สัปดาห์ สามารถลดอาการปวด เพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อควอดไดรเซบส์ และเพิ่มคุณภาพชีวิตในผู้ที่มีปัญหาข้อเข่าเสื่อมได้ แต่อย่างไรก็ตามควรมีการศึกษาเพิ่มเติมในระยะเวลาที่ยาวนานขึ้น 4-6 สัปดาห์ เพื่อให้ผลระหว่างกลุ่มที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้น
  • Item
    ผลเฉียบพลันของอุปกรณ์นวดกดจุดที่พัฒนาจากลูกเทนนิสต่อขีดกั้นระดับความเจ็บปวดด้วยแรงกดและองศาการเคลื่อนไหวของคอในบุคลากรที่มีอาการปวดกล้ามเนื้อคอและบ่าจากการทำงาน
    (มหาวิทยาลัยพะเยา, 2016) สรัญญา บุตรเต; สวลี ศศิธร
    การนั่งทำงานอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานถือเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดความตึงตัวของกล้ามเนื้อคอและบ่า ส่งผลให้เกิดอาการปวดขึ้นและนำไปสู่การลดลงขององศาการเคลื่อนไหวของคอ วัตถุประสงค์ของการศึกษานี้ คือ ศึกษาถึงผลเฉียบพลันของการนวดกล้ามเนื้อคอและบ่าด้วยอุปกรณ์นวดด้วยลูกเทนนิสที่ได้พัฒนาขึ้นใหม่ต่อระดับความเจ็บปวด (Visual analogue scale; VAS) ขีดกั้นระดับความรู้สึกเจ็บปวดด้วยแรงกด (Pressure pain threshold; PPT) และองศาการเคลื่อนไหวของคอ (Cervical ROM) ในบุคลากรวัยทำงานที่มีอาการปวดกล้ามเนื้อคอ และบ่าจากการทำงาน จำนวน 30 คน อายุ 21-43 ปี (เพศชาย 5 คน เพศหญิง 25 คน อายุเฉลี่ย 32.50±5.84 ปี) โดยอาสาสมัครมีอาการปวดกล้ามเนื้อคอและบ่าทั้งสองข้างจากการทำงานกับหน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานมากกว่า 4 ชั่วโมงต่อวัน และมีอาการมาแล้วอย่างน้อย 3 เดือน อาสาสมัครถูกวัดระดับความรู้สึกเจ็บปวดและขีดกั้นระดับความรู้สึกเจ็บปวดด้วยแรงกด โดยใช้เครื่อง Digital pressure algometer และวัดองศาการเคลื่อนไหวของคอ โดยใช้เครื่อง Fluid inclinometer ทั้งก่อนและหลังการนวดด้วยอุปกรณ์นวดที่พัฒนาจากลูกเทนนิสทันที ใช้สถิติ Pair sample t-test ในการวิเคราะห์ตัวแปรระดับขีดกั้นความรู้สึกเจ็บปวดด้วยแรงกด (Pressure pain threshold) และองศาการเคลื่อนไหวของคอ (Cervical ROM) ใช้สถิติ Wilcoxon singed rank test ในการวิเคราะห์ตัวแปรระดับความรู้สึกเจ็บปวด (Visual analogue scale) เพื่อหาความแตกต่างระหว่างก่อนและหลังการนวด ผลการศึกษาพบว่า ระดับความรู้สึกเจ็บปวดมีค่าลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < 0.01) ขีดกั้นระดับความรู้สึกเจ็บปวดด้วยแรงกดมีค่าเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < 0.01) และองศาการเคลื่อนไหวของคอในทิศทาง ก้มคอ เอียงคอไปทางซ้ายและขวา มีค่าเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < 0.05) จากการศึกษานี้สรุปได้ว่า การนวดด้วยอุปกรณ์นวดที่พัฒนาจากลูกเทนนิสสามารถช่วยลดอาการปวดและเพิ่มองศาการเคลื่อนไหวของคอในบุคลากรวัยทำงานที่มีอาการปวดกล้ามเนื้อคอและบ่าจากการทำงานได้
  • Item
    ผลของการใช้สมาร์ทโฟนต่อระยะเวลาตอบสนองในนิสิตมหาวิทยาลัยพะเยา
    (มหาวิทยาลัยพะเยา, 2018) นิษา บุญมานุช; ยุพารัตน์ นุยศ; รุ่งทิวา สมบูรณ์ใจ
    ที่มาและความสำคัญ : ในปัจจุบันชีวิตวัยรุ่นต่างก็ข้องเกี่ยวกับอินเทอร์เน็ตผ่านทางสมาร์ทโฟน และส่งผลให้เกิดการเสพติดการใช้สมาร์ทโฟน ส่งผลกระทบให้สมรรถภาพร่างกาย และชีวิตประจำวัน ในการศึกษาครั้งก่อน พบว่า มักใช้สมาร์ทโฟนขณะขับรถยนต์หรือทำกิจกรรมอื่นๆ การทำงานสองงานพร้อมกันงานที่สองจะรบกวนงานที่หนึ่ง ระยะเวลาตอบสนองประกอบไปด้วยการประมวลผลของสมองและการเคลื่อนไหวร่างกาย การใช้สมาร์ทโฟนในการสนทนา หรือพิมพ์ข้อความโต้ตอบขณะทำงานอื่นๆ อาจส่งผลกระทบต่อระยะเวลาตอบสนอง วัตถุประสงค์ : เพื่อศึกษาผลของการใช้สมาร์ทโฟนต่อระยะเวลาการตอบสนองของวัยรุ่นที่ติดสมาร์ทโฟน ขั้นตอนการศึกษา : อาสาสมัครที่มีอายุระหว่าง 18-22 ปี จำนวน 64 ราย แบ่งอาสาสมัครเป็นสองกลุ่ม คือ กลุ่มติดและไม่ติดการใช้สมาร์ทโฟนกลุ่มละ 32 ราย โดยใช้แบบประเมินการเสพติดสมาร์ทโฟน (SAS-SV) ทั้งสองกลุ่มได้รับการประเมินระยะเวลาตอบสนองของการมองเห็น (Visual reaction time) โดยทดสอบวัดระยะเวลาตอบสนอง 3 เงื่อนไข คือ ไม่ใช่สมาร์ทโฟนขณะทดสอบ ใช้สมาร์ทโฟนในการสนทนาและใช้พิมพ์ข้อความโต้ตอบ เปรียบเทียบระหว่างกลุ่มวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติ unpaired t-test เปรียบเทียบระหว่างเงื่อนไข วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติ paired t-test โดยกำหนดระดับนัยสำคัญที่ p < 0.05 ผลการศึกษา : ไม่มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติระหว่างกลุ่มที่ติดและไม่ติดสมาร์ทในทุกเงื่อนไข แต่ในแต่ละเงื่อนไขพบว่า มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ใช้สมาร์ทโฟนในการพิมพ์ข้อความโต้ตอบมีระยะเวลาตอบสนองนานที่สุด รองลงมา คือ ใช้สมาร์ทโฟนในการสนทนา และไม่ใช้สมาร์ทโฟน สรุปผลการศึกษา : การใช้สมาร์ทโฟนส่งผลต่อการเพิ่มขึ้นของระยะเวลาตอบสนอง
  • Item
    ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะเปราะบางและการกลัวการหกล้มในผู้สูงอายุ
    (มหาวิทยาลัยพะเยา, 2018) ปภาณพิศ พินิจสุวรรณ; สุพิชชา สายคำอ้าย; อรุณี บัวแดง
    ปัจจุบันจำนวนประชากรผู้สูงอายุ มีเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นวัยที่มีการเสื่อมถอยของการทำงานต่าง ๆ ในร่างกาย อีกทั้งยังมีกลุ่มอาการที่เกิดจากการสะสมของความเสื่อมที่เกิดขึ้นจะกระตุ้นโดยปัจจัยต่างๆ และทำให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพเร็วกว่าปกติ เรียกว่าภาวะเปราะบาง เป็นภาวะที่ส่งผลให้ผู้สูงอายุเสี่ยงต่อการล้ม และการกลัวการล้มในผู้สูงอายุก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ส่งผลให้เกิดความเสี่ยงต่อการล้ม การศึกษาในครั้งนี้จึงมีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการกลัวการล้มโดยการใช้แบบประเมินอาการกลัวการหกล้มสำหรับผู้สูงอายุ The Falls Efficacy Scale - International (FES-I) ฉบับภาษาไทย และภาวะเปราะบาง โดยใช้แบบสอบถาม The Frail Non-disable (FiND) ฉบับภาษาไทยในผู้สูงอายุ จำนวน 158 คน มีภาวะเปราะบาง 74 คน และไม่มีภาวะเปราะบาง 50 คน ผลการศึกษาพบว่า การกลัวการหกล้มมีความสัมพันธ์กับผู้สูงอายุที่มีภาวะเปราะบางในระดับต่ำ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (r=0.342, p<0.000) โดยภาวะเปราะบางจะเกี่ยวข้องกับการกลัวการหกล้ม ได้แก่ ภาวะกล้ามเนื้ออ่อนแรง การเดินช้าลง และการทำกิจกรรมทางกายลดลง อย่างไรก็ตามความสัมพันธ์นั้นอยู่ในระดับต่ำ ซึ่งภาวะเปราะบางยังมีสาเหตุอื่นๆ เช่น น้ำหนักลดโดยไม่ได้ตั้งใจหรือไม่ทราบสาเหตุมากกว่า 3 กิโลกรัม หรือมากกว่าร้อยละ 5 ของน้ำหนักตัวในระยะเวลา 1 ปี (weight loss) และการมีภาวะหมดแรง (exhaustion) อาจเกี่ยวข้องกับภาวะทางโภชนาการ ภาวะเปราะบางเป็นภาวะที่บุคลากรทางการแพทย์ควรให้ความสำคัญและร่วมกันหาแนวทางในการชะลอหรือป้องกันการเกิดภาวะดังกล่าวอย่างทันท่วงที