Browse
Recent Submissions
Now showing 1 - 5 of 80
- Itemผลของการเดินถอยหลังต่อการทรงตัวในวัยรุ่นเพศหญิงที่มีภาวะน้ำหนักเกินและอ้วน(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2019) คณิฏฐ์ษา ดวงปัญญา; ภัคจิรา โลหะภากร; พิชญาภา มงคลสินการศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อประเมินผลการเดินถอยหลังต่อการทรงตัวในวัยรุ่นเพศหญิงที่มีภาวะน้ำหนักเกินและอ้วน โดยศึกษาในกลุ่มวัยรุ่นหญิง อายุระหว่าง 18 - 24 ปี และมีค่าดัชนีมวลกายอยู่ระหว่าง 23.0-40.0 kg/m2 จำนวน 30 คน แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม โดยวิธีการสุ่มแบบชั้นภูมิ แบ่งเป็นกลุ่มควบคุม 15 คน กลุ่มทดลอง 15 คน ในกลุ่มทดลองจะได้รับโปรแกรมการเดินถอยหลัง 15 นาทีต่อวัน 3 วันต่อสัปดาห์ เป็นระยะเวลา 4 สัปดาห์ ขณะที่กลุ่มควบคุมจะไม่ได้รับโปรแกรมการฝึกเดินถอยหลัง และใช้ชีวิตประจำวันตามปกติเป็นระยะเวลา 4 สัปดาห์ ทั้ง 2 กลุ่มจะได้รับการประเมินการทรงตัวขณะอยู่นิ่งโดยการทดสอบการยืนบนขาข้างเดียว (Single Leg Stance) และประเมินการทรงตัวขณะเคลื่อนไหวโดยการทดสอบการก้าวเท้าหลายทิศทาง (Star Excursion Balance Test; SEBT) ในช่วงก่อนและหลังการทดลอง นำผลที่ได้มาวิเคราะห์ทางสถิติโดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูป SPSS โดยกำหนดค่าความเชื่อมั่น p < 0.05 ผลการศึกษาพบว่า การทดสอบการยืนบนขาข้างเดียวในขณะลืมตา กลุ่มทดลองมีระยะเวลาในช่วงหลังการทดลองมากกว่าช่วงก่อนการทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ส่วนการทดสอบการยืนบนขาข้างเดียวในขณะหลับตา พบว่า กลุ่มทดลองมีค่าระยะเวลาในการทดสอบช่วงหลังการทดลองเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงก่อนการทดลอง และมีค่ามากกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ การทดสอบการก้าวเท้าหลายทิศทาง พบว่า ผลในการทดสอบในช่วงหลังการทดลองของขาทั้งสองข้างในกลุ่มทดลองมีค่าเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบช่วงก่อนการทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ โดยมีการเพิ่มขึ้นทั้ง 3 ทิศทาง และเมื่อเปรียบเทียบระหว่างกลุ่ม พบว่า ในช่วงหลังการทดลอง กลุ่มทดลองมีค่าในการทดสอบของขาข้างขวามากกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ โดยมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติในทิศทางด้านหน้าและด้านหลังค่อนมาทางด้านนอก แต่ทิศทางด้านหลังค่อนมาทางด้านในไม่มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ การศึกษาครั้งนี้แสดงให้เห็นว่า การเดินถอยหลังเป็นระยะเวลา 4 สัปดาห์ สามารถเพิ่มการทรงตัวในขณะอยู่นิ่งและขณะเคลื่อนไหวในวัยรุ่นหญิงที่มีภาวะน้ำหนักเกินและอ้วนได้
- Itemผลของการออกกำลังกายด้วยตารางเก้าช่องต่อความแข็งแรงของกล้ามเนื้อขาในผู้สูงอายุ(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2019) ธนกฤต จอมภา; พรรณผกา หน่อทอง; สิริวรินทร์ ปาอ้ายสังคมไทยในปัจจุบันนี้กำลังอยู่ในช่วงการเปลี่ยนผ่านเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ มีการเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย เนื่องจากความชราภาพปฏิกิริยาการตอบสนองต่อสิ่งต่างๆ ลดลง การเคลื่อนไหวลดลง ความบกพร่องของระบบกระดูกและข้อต่อต่างๆ การสูญเสียมวลกล้ามเนื้อเมื่ออายุมากขึ้นอาจทำให้เคลื่อนไหวได้น้อยลง และมีความแข็งแรงของกล้ามเนื้อที่ลดลงเช่นกัน ซึ่งมีความสำคัญต่อการเคลื่อนไหวในชีวิตประจำวัน ดังนั้นการออกกำลังกายจะเป็นวิธีการที่สามารถช่วยเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อได้ การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อประเมินผลของการออกกำลังกายด้วยตารางเก้าช่องต่อความแข็งแรงของกล้ามเนื้อขา โดยทำการศึกษาในผู้สูงอายุเพศหญิง อายุระหว่าง 60 - 80 ปี จำนวน 18 คน แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม โดยสุ่มตัวอย่างแบบชั้นภูมิ (Stratified random sampling) แบ่งเป็นกลุ่มทดลอง 9 คน (n=9) และกลุ่มควบคุม 9 คน (ก=9) โดยในกลุ่มทดลองจะได้รับโปรแกรมการออกกำลังกายด้วยตารางเก้าช่องเป็นเวลา 40 นาที 3 ครั้งต่อสัปดาห์ เป็นเวลาทั้งสิ้น 4 สัปดาห์ ทั้งสองกลุ่มจะได้รับการประเมินกำลังกล้ามเนื้อขาด้วยการทดสอบ 30 seconds chair stand test (30 CTS) และการทดสอบโดยใช้เครื่อง Hand held dynamometer (HHD) ในช่วงก่อนการทดลองและหลังการทดลอง ผลการศึกษาพบว่า ในการทดสอบกำลังกล้ามเนื้อขาโดยใช้เครื่อง HHD ในกลุ่มที่ได้รับการออกกำลังกายด้วยตารางเก้าช่องมีความแข็งแรงของกล้ามเนื้อขามากกว่ากลุ่มที่ไม่ได้รับการออกกำลังกายด้วยตารางเก้าช่องอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ในกลุ่มกล้ามเนื้องอสะโพก งอเข่า และเหยียดเข่า ส่วนการทดสอบ 30 CTS ไม่มีความแตกต่างกัน (p>0.05) สรุปได้ว่าการออกกำลังกายด้วยตารางเก้าช่องมีผลเพิ่มกำลังกลังกล้ามเนื้อขาในผู้สูงอายุ
- Itemผลของการรักษาด้วยดนตรีบำบัดต่อความทนทานของระบบหัวใจและไหลเวียนโลหิตและภาวะซึมเศร้าในผู้สูงอายุ(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2018) ออรียา ปัญญาอิน; เอกวิสิฐ ผ้าเจริญผู้สูงอายุเป็นวัยที่มีการเปลี่ยนแปลงในทางเสื่อมถอยลง ซึ่งเกิดขึ้นทั้งทางร่างกายและจิตใจ การเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์และจิตใจเป็นผลจากสถานภาพทางสังคมที่เปลี่ยนไป ผู้สูงอายุจำนวนไม่น้อยที่มีภาวะซึมเศร้าและวิตกกังวล อาจจะส่งผลต่อความเสื่อมทางร่างกายได้ด้วย ผู้สูงอายุที่มีภาวะซึมเศร้าจึงมักมีอาการเหนื่อยล้าง่าย ความแข็งแรงความทนทานของกล้ามเนื้อลดลง ความทนทานของระบบหายใจและไหลเวียนโลหิตลดลง มี มีการเลือกใช้การรักษาภาวะซึมเศร้าหลากหลายรูปแบบ หนึ่งในวิธีการที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ คือ การใช้ดนตรีบำบัด การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของการรักษาด้วยดนตรีบำบัดต่อความทนทานของระบบหัวใจและไหลเวียนโลหิตและภาวะซึมเศร้าในผู้สูงอายุ โดยทำการศึกษาในอาสาสมัคร จำนวน 23 คน ที่มีอายุระหว่าง 60-80 ปี ทำการสุ่มแบ่งกลุ่มอาสาสมัครเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มควบคุมจำนวน 12 คน และกลุ่มดนตรีบำบัด จำนวน 11 คน โดยในกลุ่มที่ได้รับดนตรีบำบัดจะฟังเพลงที่บันทึกไว้เป็นเวลา 40 นาทีก่อนเข้านอนทุกวัน เป็นระยะเวลา 2 สัปดาห์ ทั้งสองกลุ่มได้รับการสอบถามภาวะซึมเศร้า โดยใช้แบบประเมินภาวะซึมเศร้าในผู้สูงอายุไทย 30 ข้อ (Thai Geriatric Depression Scale; TGDS-30) และการและทดสอบความทนทานของระบบหัวใจและไหลเวียนโลหิตโดยใช้การทดสอบการยืนยกเข่าขึ้น-ลง 2 นาที (2 Minute step test) ก่อนการเริ่มการทดลองฟังดนตรีบำบัดและหลังจากสิ้นสุดการทดลองฟังดนตรีบำบัด ผลการศึกษาพบว่า คะแนน TGDS-30 ในผู้สูงอายุทั้งสองกลุ่มไม่มีความแตกต่างกัน และกลุ่มที่รักษาด้วยดนตรีบำบัดไม่มีการเปลี่ยนแปลงภาวะซึมเศร้า จำนวนครั้งในยกเข่าขึ้น-ลง 2 นาที ไม่มีความแตกต่างกันระหว่างกลุ่มควบคุมและกลุ่มทดลองทั้งก่อนและหลังการทดสอบ สรุปได้ว่ารักษาด้วยดนตรีบำบัดเป็นระยะเวลา 2 สัปดาห์ไม่มีผลต่อภาวะซึมเศร้าและความทนทานของระบบหัวใจและไหลเวียนโลหิตของผู้สูงอายุ
- Itemผลของเครื่องนวัตกรรมออกกำลังกายข้อเข่าแบบไอโซเมตริกของกล้ามเนื้อควอดไดรเซบส์ต่อความแข็งแรง ระดับความเจ็บปวดและคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุที่มีภาวะข้อเข่าเสื่อม ตำบลแม่กา อำเภอเมือง จังหวัดพะเยา(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2019) จิราภรณ์ อุบลวงค์; ณัฐนิชา ศิริสิทธิ์; วชิราภรณ์ คันธิยงค์ที่มา: อุบัติการณ์การเกิดโรคข้อเข่าเสื่อม (osteoarthritis of knee) สูงขึ้นทั่วโลกรวมทั้งในประเทศไทย จากรายงานในปี 2015 พบว่า จังหวัดพะเยาสูญเสียเงินค่าใช้จ่ายในการดูแลผู้ป่วยกลุ่มนี้เป็นจำนวนมาก อาการของโรคข้อเข่าเสื่อมมีลักษณะทางคลินิกที่สำคัญ คือ ปวดข้อ ข้อฝืด มีปุ่มกระดูกงอกบริเวณข้อ การเคลื่อนไหวลดลง กล้ามเนื้อรอบ ๆ ข้ออ่อนแรง การทำงานของข้อบกพร่องและคุณภาพชีวิตลดลง หากกระบวนการนี้ดำเนินต่อไปจะมีผลทำให้ข้อผิดรูปและพิการในที่สุด จากผลการศึกษาที่ผ่านมาพบว่า การออกกำลังกายแก่กล้ามเนื้อประกบข้อเข่าเป็นวิธีการฟื้นฟูข้อเข่าที่สำคัญและให้ผลดี แต่ยังมีการศึกษาเกี่ยวกับนวัตกรรมการออกกำลังกายในผู้ป่วยกลุ่มนี้เพียงเล็กน้อย วัตถุประสงค์: เพื่อศึกษาผลของเครื่องนวัตกรรมออกกำลังกายข้อเข่าแบบไอโซเมตริกของกล้ามเนื้อควอดไดรเซบส์ต่อระดับความแข็งแรง ความเจ็บปวด และคุณภาพชีวิตในผู้สูงอายุที่มีภาวะข้อเข่าเสื่อม โดยทำการศึกษาในอาสาสมัครที่มีอาการของโรคข้อเข่าเสื่อมอายุ 60 ปีขึ้นไป ในตำบลแม่กา อำเภอเมือง จังหวัดพะเยา วิธีการ: อาสาสมัครที่มีภาวะข้อเข่าเสื่อมที่มีคุณสมบัติผ่านเกณฑ์การคัดเข้าและคัดออก จำนวน 15 คน ถูกสุ่มแบ่งกลุ่มออกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่ 1 กลุ่มควบคุม (Control group) ได้รับการขอร้องให้ดำเนินชีวิตประจำวันตามปกติควบคู่กับการรับประทานยา NSAIDs จำนวน 8 คน และกลุ่มที่ 2 กลุ่มที่ได้รับนวัตกรรมออกกำลังกายข้อเข่าแบบไอโซเมตริกของกล้ามเนื้อควอดไดรเซบส์ (Innovative isometric exercise group) ควบคู่กับการรับประทานยา NSAIDs จำนวน 7 คน ได้รับการประเมินตัวแปรทั้งหมด 2 ครั้ง คือ ประเมินตัวแปรก่อนเริ่มการศึกษาและหลังจากการศึกษา 3 สัปดาห์ ตัวแปรที่ทำการประเมิน ได้แก่ ระดับความแข็งแรงของกล้ามเนื้อควอดไดรเซบส์ (Quadriceps strength) ระดับความเจ็บปวด (Level of pain) และคุณภาพชีวิต (Quality of Life) โดยกำหนดนัยสำคัญทางสถิติ คือ p<0.05 ผลการศึกษา: พบว่า ภายหลังจากการออกกำลังกาย 3 สัปดาห์กลุ่มที่ได้รับนวัตกรรมออกกำลังกายข้อเข่าแบบไอโซเมตริกของกล้ามเนื้อควอดไดรเซบส์ควบคู่กับการรับประทานยา NSAIDs มีความแข็งแรงของกล้ามเนื้อควอดไดรเซบส์ (Quadriceps strength) ที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (113.40±46.51 vs 85.11±55.29; p=0.001) ระดับความเจ็บปวด (Level of pain) ลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (4.86±0:90 vs 7.43±1.13; p=0.016) และคุณภาพชีวิต (Quality of Life) โดยรวมเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (51.57±26.78 vs 88.00±49.94; p=0.018) เมื่อเทียบกับก่อนการทดลองส่วนในกลุ่มควบคุมนั้นไม่พบความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติระหว่างก่อนและหลังการศึกษาแต่อย่างไร ส่วนการเปรียบเทียบระหว่างกลุ่ม พบว่า ภายหลังจากออกกำลังกายด้วยเครื่องนวัตกรรมออกกำลังกายข้อเข่าแบบไอโซเมตริกของกล้ามเนื้อควอดไดรเซบส์ควบคู่กับการรับประทานยา NSAIDs 3 สัปดาห์ มีเพียงระดับความเจ็บปวดลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มควบคุม (p=0.001) โดยตัวแปรอื่น ๆ ไม่พบการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ สรุป: การออกกำลังกายด้วยนวัตกรรมออกกำลังกายข้อเข่าแบบไอโชเมตริกของกล้ามเนื้อควอดไดรเซบส์เป็นระยะเวลา 3 สัปดาห์ สามารถลดอาการปวด เพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อควอดไดรเซบส์ และเพิ่มคุณภาพชีวิตในผู้ที่มีปัญหาข้อเข่าเสื่อมได้ แต่อย่างไรก็ตามควรมีการศึกษาเพิ่มเติมในระยะเวลาที่ยาวนานขึ้น 4-6 สัปดาห์ เพื่อให้ผลระหว่างกลุ่มที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้น
- Itemผลเฉียบพลันของอุปกรณ์นวดกดจุดที่พัฒนาจากลูกเทนนิสต่อขีดกั้นระดับความเจ็บปวดด้วยแรงกดและองศาการเคลื่อนไหวของคอในบุคลากรที่มีอาการปวดกล้ามเนื้อคอและบ่าจากการทำงาน(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2016) สรัญญา บุตรเต; สวลี ศศิธรการนั่งทำงานอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานถือเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดความตึงตัวของกล้ามเนื้อคอและบ่า ส่งผลให้เกิดอาการปวดขึ้นและนำไปสู่การลดลงขององศาการเคลื่อนไหวของคอ วัตถุประสงค์ของการศึกษานี้ คือ ศึกษาถึงผลเฉียบพลันของการนวดกล้ามเนื้อคอและบ่าด้วยอุปกรณ์นวดด้วยลูกเทนนิสที่ได้พัฒนาขึ้นใหม่ต่อระดับความเจ็บปวด (Visual analogue scale; VAS) ขีดกั้นระดับความรู้สึกเจ็บปวดด้วยแรงกด (Pressure pain threshold; PPT) และองศาการเคลื่อนไหวของคอ (Cervical ROM) ในบุคลากรวัยทำงานที่มีอาการปวดกล้ามเนื้อคอ และบ่าจากการทำงาน จำนวน 30 คน อายุ 21-43 ปี (เพศชาย 5 คน เพศหญิง 25 คน อายุเฉลี่ย 32.50±5.84 ปี) โดยอาสาสมัครมีอาการปวดกล้ามเนื้อคอและบ่าทั้งสองข้างจากการทำงานกับหน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานมากกว่า 4 ชั่วโมงต่อวัน และมีอาการมาแล้วอย่างน้อย 3 เดือน อาสาสมัครถูกวัดระดับความรู้สึกเจ็บปวดและขีดกั้นระดับความรู้สึกเจ็บปวดด้วยแรงกด โดยใช้เครื่อง Digital pressure algometer และวัดองศาการเคลื่อนไหวของคอ โดยใช้เครื่อง Fluid inclinometer ทั้งก่อนและหลังการนวดด้วยอุปกรณ์นวดที่พัฒนาจากลูกเทนนิสทันที ใช้สถิติ Pair sample t-test ในการวิเคราะห์ตัวแปรระดับขีดกั้นความรู้สึกเจ็บปวดด้วยแรงกด (Pressure pain threshold) และองศาการเคลื่อนไหวของคอ (Cervical ROM) ใช้สถิติ Wilcoxon singed rank test ในการวิเคราะห์ตัวแปรระดับความรู้สึกเจ็บปวด (Visual analogue scale) เพื่อหาความแตกต่างระหว่างก่อนและหลังการนวด ผลการศึกษาพบว่า ระดับความรู้สึกเจ็บปวดมีค่าลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < 0.01) ขีดกั้นระดับความรู้สึกเจ็บปวดด้วยแรงกดมีค่าเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < 0.01) และองศาการเคลื่อนไหวของคอในทิศทาง ก้มคอ เอียงคอไปทางซ้ายและขวา มีค่าเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < 0.05) จากการศึกษานี้สรุปได้ว่า การนวดด้วยอุปกรณ์นวดที่พัฒนาจากลูกเทนนิสสามารถช่วยลดอาการปวดและเพิ่มองศาการเคลื่อนไหวของคอในบุคลากรวัยทำงานที่มีอาการปวดกล้ามเนื้อคอและบ่าจากการทำงานได้