คณะสหเวชศาสตร์
Permanent URI for this collection
Browse
Browsing คณะสหเวชศาสตร์ by Title
Now showing 1 - 20 of 80
Results Per Page
Sort Options
- Itemการคาดการณ์การล้มในผู้สูงอายุโดยใช้การทดสอบมาตรฐานและการทดสอบแบบใหม่(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2014) ขวัญฤทัย อิ่นคำ; ฐิตาพร เผ่าศรีไชย; ธิดารัตน์ สายเขียวที่มา: จำนวนผู้สูงอายุในประเทศไทย มีจำนวนเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้เกิดปัญหาความเสื่อมถอยของร่างกาย และเสี่ยงต่อการล้มตามมาได้ ซึ่งพบว่าปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อการล้มคือ ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อขา การทรงตัว และความสามารถในการเดิน วัตถุประสงค์: การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อเปรียบเทียบความสามารถในการทำนายการล้มของการทดสอบ ในผู้สูงอายุในชุมชนโดยพิจารณาจากคำความไว ค่าความจำเพาะ และพื้นที่ใต้กราฟ วิธีการ : ผู้เข้าร่วมวิจัยมีทั้งหมด 70 คน ถูกแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ตามประวัติของการล้มย้อนหลัง 6 เดือน อาสาสมัครทั้ง 2 กลุ่มได้รับการทดสอบลุกยืน 3 ครั้ง แล้วเดินไปกลับ 6 เมตร และการทดสอบเดินไปกลับ 6 เมตร ผลการทดสอบถูกวิเคราะห์ด้วยสถิติ Receiver-operating characteristic (ROC) curve และ: Independent t-test โดยกำหนดระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ p <0.05 ผลการศึกษา: ในกลุ่มที่ไม่ล้ม ใช้เวลาในการทดสอบลุกยืน 3 ครั้ง และเดินไปกลับ 6 เมตร และทดสอบเดินไปกลับ 6 เมตร น้อยกว่ากลุ่มที่ล้มอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < 0.01 และ p < 0.05 ตามลำดับ) และพบว่า อาสาสมัครที่ใช้เวลาในการทดสอบ 12.22 วินาทีขึ้นไป มีความเสี่ยงต่อการล้ม (ค่าความไวและความจำเพาะของ TTSWT = ร้อยละ 80.00 และ 85.71 ตามลำดับ และค่าความจำเพาะของ TUGT = ร้อยละ 60.00 และ 74.29 ตามลำดับ) สรุปผลการศึกษา: ผลการศึกษาช่วยให้ได้ข้อมูลสำคัญที่สามารถใช้เป็นเกณฑ์ ในการพัฒนาความสามารถทางกายของผู้สูงอายุเพื่อป้องกันการล้มได้
- Itemการทำนายการล้มในผู้สูงอายุโดยใช้การทดสอบลุกนั่ง 5 ครั้งและการทดสอบแบบใหม่(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2014) กานดาภรณ์ เจริญเรือง; จุฬารัตน์ รวมจิต; สุนิสา มงคลดีที่มา: จำนวนผู้สูงอายุในประเทศไทย มีจำนวนเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้เกิดปัญหาความเสื่อมถอยของร่างกาย และเสี่ยงต่อการล้มตามมาได้ ซึ่งพบว่า ปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อการล้ม คือ ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อขา การทรงตัว และคุณภาพการเดิน วัตถุประสงค์: การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อทดสอบความสามารถของการทดสอบ TTSWT เปรียบเทียบกับการทดสอบมาตรฐาน คือ การทดสอบ FTSST ในการทำนายความเสี่ยงต่อการล้มในผู้สูงอายุ โดยใช้คำตัดแบ่งค่าความไว ค่าความจำเพาะ และพื้นที่ใต้กราฟ (AUC) วิธีการ: ผู้เข้าร่วมวิจัยมีทั้งหมด 70 คน ถูกแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มล้ม 35 คน และกลุ่มไม่ล้ม 35 คน จากวิธีการสัมภาษณ์ประวัติการล้มย้อนหลัง 6 เดือน หลังจากนั้นอาสาสมัครทั้ง 2 กลุ่ม จะได้รับการทดสอบ TTSWT และ FTSST ผลการทดสอบถูกวิเคราะห์ด้วยสถิติ Receiver-operating characteristic (ROC) curve โดยกำหนดระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ p<0.05 ผลการศึกษา: อาสาสมัครที่ใช้เวลาในการทดสอบ TTSWT ตั้งแต่ 12.22 วินาทีขึ้นไป (ความไวและความจำเพาะ = 80.00% และ 85.71% ตามลำดับ) และ FTSST ตั้งแต่ 9.01 วินาทีขึ้นไป (ความไวและความจำเพาะ = 71.43% และ 77.14% ตามลำดับ) มีความเสี่ยงต่อการล้ม และพบว่า การทดสอบ TTSWT มีความสามารถในการทำนายการล้มได้ดีกว่า FTSST สรุปผลการศึกษา: ในกลุ่มที่ล้มมีความสามารถทางกายที่ต่ำกว่ากลุ่มไม่ล้ม (p<0.01) และผู้สูงอายุที่ใช้เวลาในการทดสอบ TTSWT ตั้งแต่ 12.22 วินาทีขึ้นไป บ่งชี้ถึง การมีความเสี่ยงต่อการล้ม
- Itemการประเมินการยศาสตร์และความเจ็บปวดของวัยรุ่นที่เสี่ยงต่อการติดสมาร์ทโฟน(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2017) ฐาปนี สุวรรณรังษี; วีรภา กระเทศการใช้สมาร์ทโฟนพบมากในกลุ่มวัยรุ่น ความต่อเนื่องของการใช้งานสมาร์ทโฟน และระยะเวลาที่ใช้อย่างยาวนานอาจทำให้เกิดท่าทางที่ไม่เหมาะสม และส่งผลเสียต่อกล้ามเนื้อได้ การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาการยศาสตร์ของการใช้สมาร์ทโฟนและขีดกลั้นระดับความรู้สึกเจ็บปวด (Pressure Pain Thresholds , PPT) ในกลุ่มวัยรุ่น อาสาสมัคร จำนวน 39 ราย อายุระหว่าง 12-18 ปี แบ่งอาสาสมัครเป็นสองกลุ่ม โดยใช้แบบประเมินพฤติกรรมการติดสมาร์ทโฟน แบ่งเข้ากลุ่มเสี่ยง (n=18) และกลุ่มที่ไม่เสี่ยงต่อการติดการใช้สมาร์ทโฟน (n=21) อาสาสมัครทั้งสองกลุ่มได้รับคำแนะนำให้นั่งเล่นสมาร์ทโฟนนาน 30 นาที อาสาสมัครทั้งสองกลุ่มได้รับการประเมิน RULA และ PPT ทั้งก่อนและหลังการใช้สมาร์ทโฟน ใช้สถิติ Independent t-test และ Mann-whitney and u-test ในการวิเคราะห์สถิติของ RULA และ PPT ตามลำดับ ผลการศึกษาพบว่า ก่อนและหลังนั่งเล่นสมาร์ทโฟน 30 นาที กลุ่มที่เสี่ยงต่อการติดสมาร์ทโฟนมี PPT ลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p=0.009) และเมื่อเปรียบเทียบระหว่างกลุ่ม พบว่า ไม่มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติทั้ง PPT และ RULA (p=0.54,0.238) สรุปผลการศึกษา การใช้สมาร์ทโฟนในท่านั่งอย่างต่อเนื่องนาน 30 นาที ส่งผลให้เกิดอาการปวดบริเวณกล้ามเนื้อมากขึ้นในกลุ่มวัยรุ่นตอนต้นที่เสี่ยงต่อการติดสมาร์ทโฟน และเมื่อพิจารณาท่าทางการใช้สมาร์ทโฟนของกลุ่มวัยรุ่นตอนต้น พบว่า ไม่มีการเปลี่ยนแปลงทางการยศาสตร์ อย่างไรก็ตาม ท่าทางการใช้สมาร์ทโฟนของวัยรุ่นอยู่ในระดับ 2 ดังนั้นกลุ่มวัยรุ่นตอนต้นจึงควรได้รับคำแนะนำที่เหมาะสมสำหรับท่าทางการใช้สมาร์ทโฟนเพื่อป้องกันความเสี่ยงทางการยศาสตร์และความเจ็บปวดบริเวณกล้ามเนื้อตามมา
- Itemการประเมินความแข็งแรงและความทนทานของกล้ามเนื้อขาในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2014) ชไมพร สงวนชื่อ; นิตยา สุทธเขตต์; ภานุวัฒน์ สุขมีที่มา ภาวะตื้ออินซูลิน ความบกพร่องของการเผาผลาญพลังงานในร่างกาย ความผิดปกติของระบบประสาทและกล้ามเนื้อ ทำให้ความแข็งแรงและความทนทานของกล้ามเนื้อในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ลดลง โดยเฉพาะกล้ามเนื้อรยางค์ส่วนล่าง วัตถุประสงค์ เพื่อประเมินความแข็งแรงและความทนทานของกล้ามเนื้อขาในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 วิธีการ อาสาสมัครทั้งหมด จำนวน 60 คน แบ่งเป็นผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 จำนวน 30 คน และกลุ่มคนปกติ จำนวน 30 คน อาสาสมัครทั้งหมดได้รับการทดสอบโดยใช้การจับเวลาในการลุกยืน 10 ครั้ง (sit-to-stand-to-sit test for 10 repetitions; STS10) เพื่อประเมินความแข็งแรงของกล้ามเนื้อขา การทดสอบจำนวนครั้งในการลุกขึ้นยืนภายในเวลา 60 วินาที (sit-to-stand-to-sit test for 60 seconds; STS60) เพื่อประเมินความทนทานของกล้ามเนื้อขา ผลการศึกษา พบว่า กลุ่มผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 มีความแข็งแรงของกล้ามเนื้อขาน้อยกว่ากลุ่มคนปกติอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p=0.04) นอกจากนี้ยัง พบว่า ความทนทานของกล้ามเนื้อขาของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 น้อยกว่ากลุ่มคนปกติอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p=0.02) สรุปผลการศึกษา ผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 มีความแข็งแรงและความทนทานของกล้ามเนื้อขาน้อยกว่ากลุ่มคนปกติ ดังนั้น ควรแนะนำโปรแกรมการออกกำลังกายที่เพิ่มความแข็งแรงและความทนทานให้กับผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2
- Itemการประเมินประสิทธิภาพการทำงานของร่างกายในกลุ่มนักกีฬาและกลุ่มคนปกติ โดยใช้ระยะทางในการเดินทดสอบ 6 นาที(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2014) กรรณิการ์ สมทราย; ณัฐสินี สิโรจน์สกุล; ธวัชชัย มาสุขการเดินทดสอบ 6 นาที (Six-Minute Walk Test , 6MWWT) เป็นวิธีที่นิยมนำมาใช้ เพื่อทดสอบประสิทธิภาพการทำงานของร่างกาย ซึ่งเป็นการทดสอบที่มีความหนักระดับเดียวกับการทำกิจวัตรประจำวัน การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อประเมินประสิทธิภาพการทำงานของร่างกายระหว่างกลุ่มนักกีฬาและกลุ่มคนปกติ ในมหาวิทยาลัยพะเยา โดยใช้ระยะทางในการเดินทดสอบ 6 นาที จำนวน 60 คน เพศชาย อายุ 18-24 ปี อาสาสมัครที่มีคุณสมบัติตามเกณฑ์การคัดเข้าจะได้รับการจำแนกเข้ากลุ่ม แบ่งออกเป็นกลุ่มนักกีฬา (n=30) และกลุ่มคนปกติ (n=30) อาสาสมัครทั้งสองกลุ่มจะได้รับการประเมินประสิทธิภาพการทำงานของร่างกายโดยการเดินทดสอบ 6 นาที โดยประเมินชีพจร และความดันโลหิตทั้งก่อนและหลังการทดสอบ ระยะทางในการเดิน 6 นาที ค่าการใช้พลังงาน และค่าการใช้ออกซิเจนสูงสุด แล้วนำผลที่ได้มาวิเคราะห์ทางสถิติโดยใช้ สถิติ Independent sample t-test ผลการศึกษาพบว่า กลุ่มนักกีฬาและกลุ่มคนปกติไม่มีความแตกต่างกันของชีพจร ความดันโลหิตสูงสุดขณะหัวใจบีบตัวและคลายตัวทั้งก่อนและหลังการทดสอบอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ในขณะที่กลุ่มนักกีฬามีระยะทางในการเดิน 6 นาที ค่าการใช้พลังงาน และค่าการใช้ออกซิเจนสูงสุดมากกว่ากลุ่มคนปกติอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-0.05) สรุปได้ว่านักกีฬามีประสิทธิภาพการทำงานของร่างกายที่ดีกว่ากลุ่มคนปกติเมื่อทำการประเมินโดยใช้ระยะทางในการเดินทดสอบ 6 นาที
- Itemการประเมินประสิทธิภาพในการทำงานของร่างกายในผู้ป่วยเบาหวาน โดยการใช้ระยะทางในการเดินทดสอบ 6 นาที(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2014) อริสรา ไชยคำภา; อสมา พัฒนคูหะ; อุษา สาริมาการวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อประเมินประสิทธิภาพการทำงานของร่างกายในกลุ่มคนที่เป็นโรคเบาหวานประเภทที่ 2 เทียบกับกลุ่มคนที่มีสุขภาพดี โดยการใช้ระยะทางในการเดินทดสอบ 6 นาที (Six-Minute Walk Test; 6MWT) ในอาสาสมัครตำบลศรีถ้อย อำเภอแม่ใจ จังหวัดพะเยา จำนวน 60 คน ซึ่งมีช่วงอายุระหว่าง 50-70 ปี อาสาสมัครที่มีคุณสมบัติตามเกณฑ์การคัดเข้าจะได้รับการจำแนกเข้ากลุ่มคนที่เป็นโรคเบาหวาน (n=30) และกลุ่มคนที่มีสุขภาพดี (n=30) อาสาสมัครจะได้ทำการเดินทดสอบ 6 นาที โดยมีการประเมินชีพจรและความดันโลหิตทั้งก่อนและหลังการทดสอบ ระยะทางในการเดิน 6 นาที ค่าการใช้พลังงาน และค่าการใช้ออกซิเจนสุด แล้วนำผลที่ได้มาวิเคราะห์ทางสถิติโดยใช้สถิติ Mann-Whitney U Test ผลการวิจัยพบว่า ในการเดินทดสอบ 6 นาที กลุ่มคนที่เป็นโรคเบาหวาน มีการเปลี่ยนแปลงของชีพจรน้อยกว่ากลุ่มคนที่มีสุขภาพดีอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.05) และมีความดันโลหิตสูงสุดขณะหัวใจบีบตัวก่อนการทดสอบมากกว่ากลุ่มคนที่มีสุขภาพดีอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.05) ในขณะที่ค่าความดันโลหิตสูงสุดขณะหัวใจคลายตัว ทั้งก่อนและหลังการทดสอบของทั้ง 2 กลุ่มไม่มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ นอกจากนี้กลุ่มคนที่เป็นโรคเบาหวาน มีระยะทางในการเดิน 6 นาที ค่าการใช้พลังงาน และค่าการใช้ออกซิเจนสูงสุดน้อยกว่ากลุ่มคนที่มีสุขภาพดีอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.05) สรุปได้ว่าประสิทธิภาพการทำงานของร่างกายของกลุ่มคนที่เป็นโรคเบาหวานประเภทที่ 2 น้อยกว่ากลุ่มคนที่มีสุขภาพดีเมื่อทำการประเมินโดยการใช้ระยะทางในการเดินทดสอบ 6 นาที
- Itemการประเมินภาวะมวลกล้ามเนื้อน้อยโดยแบบสอบถาม A Simple Questionnaire to Rapidly Diagnose Sarcopenia (SARC-F scores) และสมรรถภาพทางกายภาพในผู้สูงอายุในชุมชน(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2019) กิตติวรา ศิริมาตย์; ฐิติมา สุวรรณรัฐภูมิ; ธนานันท์ วงค์ธิมาความเป็นมาหรือภูมิหลัง: ภาวะมวลกล้ามเนื้อน้อย เป็นกลุ่มอาการของโรคผู้สูงอายุที่เกิดขึ้น โดยมีการสูญเสียมวลกล้ามเนื้อ ความแข็งแรงและสมรรถภาพทางร่างกายลดลง วัตถุประสงค์: เพื่อนำแบบสอบถาม A Simple Questionnaire to Rapidly Diagnose Sarcopenia (SARC-F scores) คัดกรองผู้สูงอายุในชุมชนที่มีความเสี่ยงต่อภาวะมวลกล้ามเนื้อน้อย และเปรียบเทียบสมรรถภาพทางกายและสมรรถภาพปอดระหว่างผู้ที่มีภาวะมวลกล้ามเนื้อน้อยและผู้ที่มีภาวะมวลกล้ามเนื้อปกติ วิธีการ: คัดกรองภาวะมวลกล้ามเนื้อน้อยโดยใช้แบบสอบถาม SARC-F scores จากนั้นประเมินมวลกล้ามเนื้อด้วยวิธี Mid-arm muscles circumference (MAMC) ประเมินความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ โดยการทดสอบ Handgrip strength (HGS) และ Leg dynamometer ประเมินสมรรถภาพทางกายเพื่อบ่งบอกถึงการทรงตัวและการเคลื่อนไหว โดยการทดสอบ Short physical performance battery (SPPB), Time up and go test (TUG), 4-meter gait speed (4MGS) และ Five time sit to stand (5TSTS) การทดสอบสมรรถภาพปอด โดยการทดสอบ Peak Expiratory Flow Rate (PEFR) ผลการศึกษา: ผู้สูงอายุทั้งหมด จำนวน 100 คน มีอายุเฉลี่ยระหว่าง 70.22 ± 6.23 ปี พบความชุกของผู้ที่มีภาวะมวลกล้ามเนื้อน้อยร้อยละ 38 (38 คน) และผู้สูงอายุที่มีมวลกล้ามเนื้อปกติร้อยละ 62 (62 คน) ผู้ที่มีภาวะมวลกล้ามเนื้อน้อย มีอายุที่เพิ่มมากขึ้น มีประวัติโรคความดันโลหิตสูง ดัชนีมวลกายและมวลกล้ามเนื้อลดลง ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ สมรรถภาพทางกายและสมรรถภาพปอดต่ำกว่าผู้ที่มีภาวะมวลกล้ามเนื้อปกติ สรุปผลการศึกษา: แบบสอบถามคัดกรองภาวะมวลกล้ามเนื้อน้อยชนิด SARC-F scores มีความสัมพันธ์กับความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ มวลกล้ามเนื้อ สมรรถภาพทางกาย และสมรรถภาพปอด ดังนั้นแบบสอบถาม SARC-F scores จึงเป็นแนวทางในการประเมินผู้สูงอายุในชุมชนที่มีความเสี่ยงต่อภาวะมวลกล้ามเนื้อน้อยและมีความบกพร่องในการทำกิจวัตรประจำวัน
- Itemการพัฒนาสมการทำนายความแข็งแรงของกล้ามเนื้อถีบปลายเท้าจากการทดสอบยืนเขย่งปลายเท้าในผู้สูงอายุ(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2017) ฟาโรอัล สิทธิมนต์; ศิณัฐตรา จันทร์ซาการศึกษานี้เป็นการวิจัยเชิงวิเคราะห์ (Analytical Research) ในรูปแบบสหสัมพันธ์ (Correlational Research) เพื่อศึกษาหาความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรค่าความแข็งแรงของกล้ามเนื้อถีบปลายเท้ากับความสามารถในการยืนเขย่งปลายเท้า ความสามารถในการทรงตัวและตัวแปรข้อมูลพื้นฐานทางกายภาพในผู้สูงอายุ โดยอาสาสมัครเป็นผู้สูงอายุสุขภาพดี อายุ 60 ปีขึ้นไป จำนวน 56 คน (เพศชาย 19 คน และเพศหญิง 37 คน) อาสาสมัครทั้งหมดได้รับการบันทึกค่าตัวแปรพื้นฐานทางกายภาพ ประเมินการทรงตัวขณะอยู่นิ่งด้วยการทดสอบ Single leg stand ขณะหลับตาและลืมตา การทรงตัวขณะเคลื่อนไหวด้วย Functional reach test ทดสอบความแข็งแรงของกล้ามเนื้อถีบปลายเท้าด้วย Push-pull dynamometer และทำการทดสอบการยืนเขย่งปลายเท้า (Standing heel-rise test) ผลการทดสอบถูกวิเคราะห์ด้วยสถิติ Pearson product moment correlation coefficient เพื่อหาค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรการทดสอบ ใช้สถิติ Multiple regression analysis เพื่อหาสมการพยากรณ์ค่าความแข็งแรงของกล้ามเนื้อถีบปลายเท้า โดยกำหนดระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ p < 0.05 ผลการศึกษาพบว่า ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อถีบปลายเท้า (Ankle plantarflexor muscle strength) มีความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติกับ 1) ข้อมูลพื้นฐานทางกายภาพของอาสามัคร ได้แก่ เพศ อายุ น้ำหนัก และส่วนสูง (r = 0.458, -0.235, 0.390 และ 0.469 ตามลำดับ) 2) ความสามารถในการทรงตัวขณะเคลื่อนไหว (Dynamic balance) และการทรงตัวขณะอยู่นิ่ง (Static balance) (r = 0.387 และ 0.466 ตามลำดับ) และ 3) กำลังในการทดสอบยืนเขย่งปลายเท้า (Standing heel-rise test) จำนวน 5 ครั้ง (r = 0.563) สามารถสร้างสมการที่สามารถทำนายความแข็งแรงของกล้ามเนื้อถีบปลายเท้าจากตัวแปรเพศ เวลาในการทดสอบ Single leg stand ขณะลืมตา และกำลังที่ทำการยืนเขย่งปลายเท้า จำนวน 5 ครั้ง (power of standing heel rise test) ซึ่งมีความสัมพันธ์ในระดับสูง (r = 0.723) โดยมีอำนาจในการทำนาย 52.2 เปอร์เซนต์ และมีค่าความคลาดเคลื่อนในการทำนายเท่ากับ 6.156 กิโลกรัม ผลการศึกษาในครั้งนี้สรุปได้ว่าตัวแปรเพศ การทดสอบ Single leg stand และการทดสอบยืนเขย่งปลายเท้า มีอิทธิพลต่อความแข็งแรงของกล้ามเนื้อถีบปลายเท้า และนำมาใช้สร้างสมการในการทำนายความแข็งแรงของกล้ามเนื้อถีบปลายเท้าในผู้สูงอายุได้
- Itemการพัฒนาสมการทำนายความแข็งแรงของกล้ามเนื้อเหยียดเข่าจากการทดสอบการยืนย่อเข่าในผู้สูงอายุ(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2017) พงศ์พนัส เพิ่มการ; กนกวรรณ กันติ๊บการศึกษานี้เป็นการวิจัยเชิงวิเคราะห์ (Analytical research) ในรูปแบบสหสัมพันธ์ (Correlational Research) เพื่อศึกษาหาความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรค่าความแข็งแรงของกล้ามเนื้อเหยียดเข่ากับความสามารถในการยืน - ย่อเข่า ความสามารถในการทรงตัว และตัวแปรข้อมูลพื้นฐานทางกายภาพในผู้สูงอายุ โดยอาสาสมัครเป็นผู้สูงอายุสุขภาพดี อายุ 60 ปีขึ้นไป จำนวน 55 คน (เพศชาย 19 คน และเพศหญิง 36 คน) อาสาสมัครทั้งหมดได้รับการบันทึกค่าตัวแปรพื้นฐานทางกายภาพ ประเมินการทรงตัวขณะอยู่นิ่งด้วยการทดสอบ Single Leg Stand ขณะหลับตาและลืมตา การทรงตัวขณะเคลื่อนไหวด้วย Functional Reach Test ทดสอบความแข็งแรงของกล้ามเนื้อเหยียดเข่าด้วย Hand Held Dynamometer และทำการทดสอบการยืน - ย่อเข่า (Squat Test) ผลการทดสอบถูกวิเคราะห์ด้วยสถิติ Pearson product moment correlation coefficient เพื่อหาค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรการทดสอบ ใช้สถิติ Multiple regression analysis เพื่อหาสมการพยากรณ์ค่าความแข็งแรงของกล้ามเนื้อเหยียดเข่า โดยกำหนดระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ p < 0.05 ผลการศึกษาพบว่า ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อเหยียดเข่า (Knee extensor muscle strength) มีความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติกับ 1. ข้อมูลพื้นฐานทางกายภาพของอาสมัคร ได้แก่ เพศ อายุ น้ำหนัก และส่วนสูง (r = 0.581, -0.229, 0.338 และ 0.424 ตามลำดับ) 2. ความสามารถในการทรงตัวขณะเคลื่อนไหว (Dynamic balance) และการทรงตัวขณะอยู่นิ่ง (Static balance) (r = 0.277 และ 0.268 ตามลำดับ) และ 3. ความสามารถในการทดสอบยืน - ย่อเข่า (Squat test) จำนวน 10 ครั้ง (r = -0.664) สามารถสร้างสมการที่สามารถทำนายความแข็งแรงของกล้ามเนื้อเหยียดเข่าจากตัวแปรเพศ และเวลาที่ทำการยืน - ย่อเข่า 10 ครั้ง (time to complete 10-squat test) ซึ่งมีความสัมพันธ์ในระดับสูง (r = 0.808) โดยมีอำนาจในการทำนาย 65.3 เปอร์เซ็นต์ และมีค่าความคาดเคลื่อนในการทำนายเท่ากับ 6.082 กิโลกรัม ผลการศึกษาในครั้งนี้สรุปได้ว่าตัวแปรเพศ และการทดสอบยืน - ย่อเข่า มีอิทธิพลต่อความแข็งแรงของกล้ามเนื้อเหยียดข้อเข่า และนำมาใช้สร้างสมการในการทำนายความแข็งแรงของกล้ามเนื้อเหยียดเข่าในผู้สูงอายุได้
- Itemการวิเคราะห์ไคเนมาติคส์ของรยางค์ส่วนบนในผู้ที่เริ่มและผู้ที่มีประสบการณ์ในการปั่นจักรยาน(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2016) ฐิตาภรณ์ หงษ์ทอง; บงกช เอื้อทวีสัมพันธ์ที่มา: การออกกำลังกายเป็นกิจกรรมที่ทำให้ร่างกายเกิดการเคลื่อนไหวส่งเสริมพัฒนาการด้านต่างๆ และช่วยเพิ่มสมรรถภาพทางกายที่ส่งผลให้ระบบต่างๆ ในร่างกายดีขึ้นซึ่งการปั่นจักรยานเป็นออกกำลังกายในระบบแอโรบิกระดับปานกลางอย่างต่อเนื่องซึ่งลักษณะของการปั่นจักรยานต้องก้มตัวและเงยศีรษะเพื่อลดแรงต้านของอากาศตามหลักแอโรไดนามิคส์ ในขณะปั่นจะมีการปรับท่าทางช่วงการเคลื่อนไหวในการวางของข้อไหล่ ข้อศอก และข้อมือ ซึ่งส่งผลต่อความเร็วในการปั่นจักรยาน วัตถุประสงค์: เพื่อศึกษาความแตกต่างของไดเนมาติคส์ของรยางค์ส่วนบนในผู้ที่เริ่มและผู้ที่มีประสบการณ์ในการปั่นจักจักรยาน วิธีการศึกษา: อาสาสมัคร จำนวน 30 คน แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม โดยอาสาสมัครกลุ่มที่เริ่มปั่นจักรยาน จำนวน 15 คน และกลุ่มที่มีประสบการณ์ในการปั่นจักรยาน จำนวน 15 คน ทำการบันทึกวิดีโอขณะอาสาสมัครทำการปั่นจักรยานด้วยความเร็วสูงสุด 1 นาที แล้วนำวิดีโอที่ได้เข้าโปรแกรม KINOVEA เพื่อทำการวัดช่วงการเคลื่อนไหวของข้อไหล่ ข้อศอก ข้อมือ และความเร็วสูงสุดในการปั่นจักรยาน 1 รอบ โดยใช้ Mann-Whitney U test ในการเปรียบเทียบความแตกต่างของไคเนมาติคส์ของรยางค์ส่วนบนของทั้งสองกลุ่ม ผลการศึกษา: พบว่า ในกลุ่มผู้ที่เริ่มและผู้ที่มีประสบการณ์ในการปั่นจักรยานมีช่วงการเคลื่อนไหวที่มากที่สุดของข้อศอกเท่ากับ 150.40±22.37 และ 131.73±17.02 องศา ตามลำดับ ซึ่งมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p=0.03) และช่วงการเคลื่อนไหวที่น้อยที่สุดของข้อมือเท่ากับ 159.00±14.68 และ 170.00±10.98 องศา ตามลำดับ ซึ่งมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-0.02) ส่วนความเร็วสูงสุดในการปั่นจักรยาน 1 รอบ ของทั้งสองกลุ่มไม่มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p=0.45) สรุปผลการศึกษา: ไคเนมาติคส์ของรยางค์ส่วนบนของทั้งสองกลุ่มมีความแตกต่างกัน คือ ช่วงการเคลื่อนไหวที่มากที่สุดของข้อศอก และช่วงการเคลื่อนไหวที่น้อยที่สุดของข้อมือ ผลของการศึกษาครั้งนี้สามารถนำไปปรับท่าทาง ให้เหมาะสมและถูกต้องกับสรีรวิทยาของแต่ละบุคคลพร้อมทั้งสามารถเพิ่มความเร็วตามหลักแอร์โรไดนามิคส์ในนักกีฬาที่ต้องการความเร็ว
- Itemการวิเคราะห์ไคเนมาติคส์ของรยางค์ส่วนล่างในผู้ที่เริ่มและผู้ที่มีประสบการณ์ในการปั่นจักรยาน(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2016) เจษฎาพงษ์ ปัญญา; สุทัตตา ไตรศรในปัจจุบันการปั่นจักรยานเป็นการออกกำลังกายและกีฬาที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย อีกทั้งยังเป็นกีฬาที่ตื่นเต้นและท้าทายความสามารถของผู้เล่น จะสังเกตเห็นได้ว่ารูปแบบการเคลื่อนไหวของข้อต่อ ระดับความหนัก จังหวะและระดับความสูงของที่นั่งของจักรยานมีความสัมพันธ์ต่อการปั่นจักรยาน และไคเนมาติดส์ของการปั่นจักรยานซึ่งเป็นผลที่เกิดจากลักษณะของการปั่นจักรยาน อัตราการปั่นจักรยาน รูปแบบการเคลื่อนไหวของข้อสะโพก ข้อเข่า และข้อเท้า มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาความแตกต่างของไคเนมาติคส์ของรยางค์ส่วนล่างในผู้ที่เริ่มและผู้ที่มีประสบการณ์ในการปั่นจักรยาน โดยอาสาสมัคร จำนวน 30 คน แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มผู้ที่เริ่มปั่นจักรยาน จำนวน 15 คน และกลุ่มผู้ที่มีประสบการณ์ในการปั่นจักรยาน จำนวน 15 คน ทำการบันทึกวิดีโอขณะอาสาสมัครปั่นจักรยานด้วยความเร็วสูงสุด 1 นาที จากนั้นนำวิดีโอเข้าโปรแกรม Kinovea เพื่อทำการวัดช่วงการเคลื่อนไหวของรยางค์ส่วนล่าง และความเร็วสูงสุดในการปั่นจักรยาน 1 รอบ ผลการศึกษาพบว่า กลุ่มผู้ที่เริ่มและกลุ่มผู้ที่มีประสบการณ์มีช่วงการเคลื่อนไหวที่น้อยที่สุดของข้อเท้าเฉลี่ยเท่ากับ 101.13 ± 16.93 และ 117.13 ± 14.58 องศา ตามลำดับ ซึ่งมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p = 0.01) ส่วนช่วงการเคลื่อนไหวที่มากที่สุดของข้อสะโพกและความเร็วสูงสุดในการปั่นจักรยาน 1 รอบ ของทั้งสองกลุ่มไม่มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p = 0.11 และ p = 0.45 ตามลำดับ) สรุปผลการศึกษาในครั้งนี้ คือ ไคเนมาติคส์ของรยางค์ส่วนล่างในกลุ่มผู้ที่เริ่มและกลุ่มผู้ที่มีประสบการณ์ในการปั่นจักรยานมีความแตกต่างกัน คือ ช่วงการเคลื่อนไหวที่น้อยที่สุดของข้อเท้า ซึ่งสามารถนำผลการศึกษานี้ไปรับใช้ให้มีช่วงการเคลื่อนไหวที่ถูกต้องและเพิ่มความเร็วในการปั่นจักรยานให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น และยังนำไปปรับใช้เป็นส่วนหนึ่งของการฝึกซ้อมเตรียมแข่งขันและหลังการแข่งกันได้
- Itemการศึกษาความรู้ของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านเกี่ยวกับโรคหลอดเลือดสมองในจังหวัดพะเยา(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2013) วิกานดา ศรีคำ; สุดารัตน์ ศรีวิชัย; อภิญญา ใจหล้าที่มา: โรคหลอดเลือดสมอง เป็นกลุ่มอาการที่เกิดจากความบกพร่องของระบบประสาทซึ่งทำให้เกิดอาการอัมพาตและพิการตามมาได้ วิธีที่ดีที่สุดในการจัดการกับโรคหลอดเลือดสมอง คือ การป้องกันด้วยการให้ความรู้ โดยอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ถือเป็นผู้ที่มีบทบาทในการเผยแพร่ข้อมูลให้แก่ประชาชนเป็นอย่างมาก อย่างไรก็ตาม การศึกษาเกี่ยวกับความรู้ของ อสม. เกี่ยวกับโรคหลอดเลือดสมองยังมีอยู่อย่างจำกัด วัตถุประสงค์: เพื่อศึกษาระดับความรู้เกี่ยวกับโรคหลอดเลือดสมองของ อสม. ในเขต ตำบลแม่กา จังหวัดพะเยา วิธีการ: อาสาสมัคร จำนวน 114 คน ซึ่งได้ตอบแบบสอบถามความรู้เกี่ยวกับเรื่องโรคหลอดเลือดสมองและการปฏิบัติตัวในชีวิตประจำวัน ผลการศึกษาและสรุปผลการศึกษา: ผลการศึกษาพบว่า อสม. ส่วนใหญ่มีความรู้เกี่ยวกับโรคหลอดเลือดสมองอยู่ในระดับสูง รวมทั้งมีพฤติกรรมและการปฏิบัติตัวในชีวิตประจำวันที่จะนำไปสู่การป้องกันการเกิดโรคหลอดเลือดสมอง อย่างไรก็ตาม ยังมี อสม. จำนวนหนึ่งที่มีความรู้ในประเด็นสำคัญไม่ถูกต้อง การศึกษานี้ทำให้ได้ข้อมูลเบื้องต้นที่น่าจะเป็นประโยชน์แก่หน่วยงานด้านสาธารณสุขที่เกี่ยวข้องเพื่อใช้เป็นแนวทางในการส่งเสริมบทบาทหน้าที่ของ อสม. ในการป้องกันโรคหลอดเลือดสมอง
- Itemการศึกษาความเที่ยงตรงของการทดสอบลุกยืน 3 ครั้งและเดินในผู้สูงอายุ(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2014) กุลจิรา เจิมเฉลิม; ฐิติมา กันทา; ณัฐพัชร์ จันทร์แก้วที่มา: การทดสอบการลุกขึ้นยืน 5 ครั้ง และการทดสอบเดินไปกลับ 6 เมตร เป็นการทดสอบเพื่อประเมินความสามารถในการทรงตัวของผู้สูงอายุ แต่การทดสอบดังกล่าวยังไม่ครอบคลุมในการตรวจประเมิน ดังนั้นการทดสอบลุกยืน 3 ครั้งและเดิน จึงถูกพัฒนาการขึ้นมา เพื่อให้การประเมินการทรงตัวมีประสิทธิภาพมากขึ้น วัตถุประสงค์: เพื่อศึกษาความเที่ยงตรงของการทดสอบ TTSW วิธีการศึกษา:ผู้สูงอายุที่มีอายุมากกว่า 60 ปี จำนวน 87 คน ได้รับการทดสอบ 3 การทดสอบ ได้แก่ FTSST TUGT และ TTSW โดยทำการทดสอบแต่ละชนิดเป็นจำนวน 3 ครั้ง นำผลที่ได้นำไปวิเคราะห์โดยใช้สถิติสหสัมพันธ์ของเพียร์สันเพื่อหาความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปร FTSST TUGT และ TTSW ผลการศึกษา: พบความสัมพันธ์เชิงบวกในระดับสูงระหว่าง FTSST และ TTSW มีค่าความสัมพันธ์เท่ากับ 0.883 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < 0.001) และพบความสัมพันธ์เชิงบวกในระดับสูงระหว่าง TUGT และ TTSW มีค่าความสัมพันธ์เท่ากับ 0.905 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < 0.001) สรุปผลการศึกษา: การทดสอบ TTSW เป็นเครื่องมือที่มีความเที่ยงตรงและสามารถนำไปใช้เพื่อประเมินความเสี่ยงในการล้มของผู้สูงอายุได้
- Itemการศึกษาคุณธรรมจริยธรรมในนิสิตกายภาพบำบัด(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2013) ยลนภา มะโนวรรณา; วราภรณ์ โคนพันธ์; วิภาดา ฉัตรพันธ์การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อสำรวจความคิดเห็นด้านคุณธรรมจริยธรรมของนิสิตกายภาพบำบัด มหาวิทยาลัยพะเยา ที่กำลังศึกษาในภาคการศึกษาที่ 1 ปีการศึกษา 2556 โดยนิสิตกายภาพบำบัด ชั้นปีที่ 1-4 (187 คน) ถูกขอให้ตอบแบบสอบถามเกี่ยวกับความเห็นด้านคุณธรรมจริยธรรม ได้แก่ 1) คุณธรรมจริยธรรม-พื้นฐาน 2) คุณธรรมจริยธรรม-ก้าวหน้า 3) คุณธรรมจริยธรรม-เชิงรุก และ 4 ) คุณธรรมจริยธรรม-เป็นเลิศ ข้อมูลคุณธรรมจริยธรรมถูกวิเคราะห์และแสดงผลเป็น 5 ระดับ ได้แก่ น้อยที่สุด น้อย ปานกลาง มาก และมากที่สุด ผลการศึกษา พบว่า ค่าเฉลี่ยคุณธรรมจริยธรรมทุกประเภทของนิสิตกายภาพบำบัดอยู่ในระดับปานกลางถึงดี ซึ่งผลการศึกษานี้เป็นประโยชน์ในการวางแผนหรือเป็นแนวทางในการสอนนิสิตกายภาพบำบัดให้เป็นผู้มีความรู้และคุณธรรม อย่างไรก็ตาม ผลการศึกษานี้เป็นเพียงข้อมูลที่ได้จากนิสิตเท่านั้น ดังนั้น การศึกษาครั้งต่อไปควรมีการศึกษาในบุคคลอื่นที่เกี่ยวข้องกับนิสิตเหล่านี้ (การประเมินแบบ 360 องศา หรือ การประเมินจากหลายแหล่ง) เช่น อาจารย์ เจ้าหน้าที่ หรือเพื่อนร่วมชั้น
- Itemการศึกษาคุณสมบัติของเครื่องมือประเมินความเสี่ยงต่อการล้มในผู้สูงอายุในชุมชน(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2016) ณัฐพร จันทร์ฝาย; สุทธิชัย บัวติ๊บที่มา การทดสอบลุกยืน 3 ครั้งแล้วเดิน เป็นการทดสอบความสามสามารถทางกายที่ใช้ในการทำนายความเสี่ยงต่อการล้มในผู้สูงอายุไทยในชุมชน อย่างไรก็ตาม การทดสอบนี้ยังขาดคุณสมบัติเกี่ยวกับความน่าเชื่อถือด้านต่างๆ เช่น ความเที่ยงตรง ความน่าเชื่อถือระหว่างบุคคล เป็นต้น วัตถุประสงค์ เพื่อประเมินความนำเชื่อถือระหว่างบุคคล ของการทดสอบลุกยืน 5 ครั้งแล้วเดินในผู้สูงอายุในชุมชน ประเมินความเที่ยงตรงตามสภาพ และความเที่ยงตรงด้านการจำแนก เพื่อนำไปพัฒนาโปรแกรมสำเร็จรูปในการคัดกรอง และป้องกันการล้มในผู้สูงอายุ วิธีการผู้เข้าร่วมวิจัยทั้งหมด 97 คน ถูกซักประวัติการล้มย้อนหลัง 6 เดือน พบว่า มีคนที่เคยล้ม 9 คน และกลุ่มไม่ล้ม 88 คน หลังจากนั้นอาสาสมัครได้รับตรวจประเมินข้อมูลพื้นฐาน และการทดสอบ The Thai fall risk assessment tool (Thai-FRAT) กับการทดสอบลุกยืน 5 ครั้งแล้วเดิน ผลการศึกษา พบว่า การทดสอบลุกยืน 5 ครั้งแล้วเดิน มีความน่าเชื่อถือระหว่างบุคคล (อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) นิสิตกายภาพบำบัด และนักกายภาพบำบัด) อยู่ในระดับที่ดีเยี่ยม (ICCs = 0.985, 95%C : 0.962-0.994) นอกเหนือจากนั้น พบว่า การทดสอบลุกยืน 3 ครั้งแล้วเดินมีความเที่ยงตรงด้านการจำแนก (p < 0.05) สำหรับแยกกลุ่มที่ล้มและไม่ล้มออกจากกัน อย่างไรก็ตามพบว่า มีความเที่ยงตรงตามสภาพอยู่ในระดับต่ำมาก (D = 0.230, p < 0.05) สรุปผลการศึกษา การทดสอบลุกยืน 3 ครั้งแล้วเดินมีความน่าเชื่อถือและความเที่ยงตรง สามารถนำไปใช้ในผู้สูงอายุได้ โดยเฉพาะ อสม. สามารถนำไปใช้ในการคัดกรองความเสี่ยงต่อการล้มในผู้สูงอายุในชุมชนและประเมินความสามารถทางกายได้อย่างมีประสิทธิภาพหลังจากได้รับการฝึกการใช้การทดสอบจากผู้เชี่ยวชาญ
- Itemการศึกษาระดับความหนักของการออกกำลังกายแบบแอโรบิกต่อความรู้ความเข้าใจในอาสาสมัครวัยรุ่นสุขภาพดี(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2018) ปภัชญา ศรีทอง; ลายขวัญ เลิศเชวงกุล; วรรณนิศา นุ่มนวลที่มา : จากการศึกษาที่ผ่านมา พบว่า การออกกำลังกายมีผลเพิ่มความรู้ความเข้าใจได้ในเด็กและวัยรุ่น อย่างไรก็ตามระดับความหนักของการออกกำลังกายที่มีผลต่อการเพิ่มความรู้ความเข้าใจยังไม่มีข้อมูลที่ชัดเจน วัตถุประสงค์ : เพื่อเปรียบเทียบผลของการออกกำลังกายแบบแอโรบิกในระยะเฉียบพลันด้วยความหนักระดับเบา และระดับปานกลางที่มีผลต่อความรู้ความเข้าใจในวัยรุ่นสุขภาพดี วิธีการ : อาสาสมัครจำนวน 30 คน (อายุ 21.08 + 0.41 ปี) แบ่งกลุ่มด้วยวิธีการสุ่มเป็นกลุ่มควบคุม จำนวน 10 คน กลุ่มที่ออกกำลังกายด้วยความหนักระดับเบา (ร้อยละ 57-63 ของอัตราการเต้นหัวใจสูงสุด) จำนวน 10 คน และกลุ่มที่ออกกำลังกายด้วยความหนักระดับปานกลาง (ร้อยละ 64-76 ของอัตราการเต้นหัวใจสูงสุด) จำนวน 10 คน อาสาสมัครทุกคนจะได้รับการทดสอบด้วย stroop color word test digit span forward และ digit span backward test ทั้งก่อน และหลังการออกกำลังกายหรือดูวีดิทัศน์ในกลุ่มควบคุม ผลการศึกษา : หลังการออกกำลังกายหรือดูวีดิทัศน์ พบว่า ในการทดสอบ stoop color word test ทั้ง 3 ชุด มีคะแนนเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.05) ในอาสาสมัครทั้ง 5 กลุ่ม ในขณะที่มีเพียงกลุ่มออกกำลังกายด้วยความหนักระดับปานกลาง เพียงกลุ่มเดียวที่มีคะแนน digit span forward test เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.05) การทดสอบ stoop color word test ชุดที่ 1 ชุดที่ 3 และ digit span forward test เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติในกลุ่มที่ออกกำลังกายด้วยความหนักระดับปานกลาง เมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุม (p<0.05) สรุปผลการศึกษา : ผลการศึกษาครั้งนี้พบว่า การออกกำลังกายแบบแอโรบิกด้วยระดับปานกลาง มีผลในเชิงบวกต่อการเลือกสนใจ (attention) และความจำระยะสั้น (short-term memory) ในวัยรุ่น อย่างไรก็ตามควรมีการศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับความหนักระดับหนักของการออกกำลังกายแบบแอโรบิกเพื่อยืนยันระดับความหนักที่เหมาะสมในการออกกำลังกายเพื่อเพิ่มความรู้ความเข้าใจในวัยรุ่น
- Itemการศึกษารูปแบบการคิดในนิสิตกายภาพบำบัด(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2013) ชื่นนภา กิ่งสละ; ทาริกา เครือวัลย์; อรัญวา ทาเหล็กรูปแบบการคิด (Cognitive style หรือ Thinking style) เป็นคำที่ใช้ในด้านจิตวิทยาการรู้คิด (Cognitive psychology) ที่อธิบายถึงวิธีการที่บุคคลคิดรับรู้และจดจำข้อมูล โดยรูปแบบการคิดแตกต่างจากความสามารถ หรือระดับทางสติปัญญา (Cognitive ability/level) ซึ่งการวัดรูปแบบการคิดไม่ใช่การวัดความฉลาด (Intelligence test) การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อวัดระดับการคิดของนิสิตกายภาพบำบัดมหาวิทยาลัยพะเยา ที่กำลังศึกษาในภาคการศึกษาที่ 1 ปีการศึกษา 2556 นิสิตการภาพบำบัดชั้นปีที่ 1-4 (188 คน) ถูกขอให้ตอบของแบบวัดการคิดโดยข้อมูลแบบการคิดถูกวิเคราะห์และแสดงเป็น 3 ระดับ ได้แก่ ระดับการคิดแบบพึ่งพา ระดับการคิดแบบอิสระ และระดับการคิดแบบร่วมพัฒนา ผลการศึกษา พบว่า นิสิตส่วนใหญ่ของชั้นปีที่ 1-4 มีระดับการคิดแบบร่วมพัฒนา (ร้อยละ 68.29. 77.55, 79.11 และ 66.00 ตามลำดับ) รองลงมาเป็นระดับการคิดแบบอิสระ (ร้อยละ 31.71 , 22.45 20.83 และ 34.00 ตามลำดับ) และไม่มีนิสิตคนใดมีระดับการคิดแบบพึ่งพาข้อมูลจากการศึกษานี้สามารถนำไปประยุกต์ใช้กับการสอนนิสิตกายภาพบำบัดเพื่อพัฒนาทักษะการคิดและการปฏิบัติของนิสิตได้
- Itemการศึกษารูปแบบการเรียนรู้ของนิสิตกายภาพบำบัด(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2013) กฤษณา สอนศิริ; คัลธียา จันอ้น; นงค์นุช ไชยดรุณการวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษารูปแบบการเรียนรู้ของนิสิตกายภาพบำบัด มหาวิทยาลัยพะเยา ที่กำลังศึกษาในภาคการศึกษาที่ 1 ปีการศึกษา 2556 นิสิตชั้นปีที่ 1-4 (195 คน) ถูกขอให้ตอบแบบวัดรูปแบบการเรียนรู้ ซึ่งแบ่งรูปแบบการเรียนรู้ออกเป็น 7 ประเภท ได้แก่ 1) แบบพึ่งตนเอง 2) แบบแลกเปลี่ยน 3) แบบหลบหลีก 4) แบบผู้นำ 5) แบบกำหนดความคิด 6) แบบสร้างโอกาส และ 7) แบบเพิ่มพูนปัญญา ผลการศึกษา พบว่า นิสิตชั้นปีที่ 1, 3 และ 4 ส่วนใหญ่มีรูปแบบการเรียนรู้แบบแลกเปลี่ยนมากที่สุด (ร้อยละ 34.78, 35.42 และ 44.00 ตามลำดับ) และนิสิตชั้นปีที่ 2 ส่วนใหญ่มีรูปแบบการเรียนรู้แบบกำหนดความคิดมากที่สุด (ร้อยละ 28.57) แม้ว่ารูปแบบการเรียนรู้ของนิสิตกายภาพบำบัดมีความหลากหลาย แต่ผลการศึกษานี้มีประโยชน์สำหรับการเรียนการสอนตามแนวคิดการเรียนรู้โดยเน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง
- Itemการออกกำลังกายที่บ้านเพื่อเพิ่มคุณภาพชีวิตและกิจวัตรประจำวันในผู้สูงอายุที่มีภาวะเปราะบาง(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2019) ปริฉัตร คัฒมาตย์; สุพาวรรณ วงษ์กาวิน; อาทิตยา พรมวงค์บทนำ: อายุที่มากขึ้นยังเป็นปัจจัยสำคัญที่มีความสัมพันธ์กับการเกิดภาวะเปราะบาง ผู้สูงอายุที่มีภาวะเปราะบาง (Vulnerable elderly) หมายถึง ผู้สูงอายุที่มีภาวะเสี่ยงต่อการบาดเจ็บของร่างกาย หรือการเจ็บป่วยได้ง่ายทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจ การออกกำลังกายในผู้สูงอายุอาจเป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการป้องกันภาวะเสื่อมถอยของร่างกาย เพิ่มความสามารถการทำกิจวัตรประจำวันและคุณภาพชีวิต วัตถุประสงค์: เพื่อศึกษาผลการออกกำลังกายที่บ้านต่อคุณภาพชีวิตและกิจวัตรประจำวันในผู้สูงอายุที่มีภาวะเปราะบาง โดยใช้แบบสอบถามคุณภาพชีวิต (SF-36) ฉบับภาษาไทย และแบบประเมินความสามารถในการทำกิจวัตรประจำวัน (Barthel index) ฉบับภาษาไทย วิธีการศึกษา: ผู้สูงอายุที่มีภาวะเปราะบาง จำนวน 14 คนอายุ 60 ปีขึ้นไป แบ่งเป็นกลุ่มควบคุม 7 คน และกลุ่มออกกำลังกายที่บ้าน 7 คน โดยกลุ่มควบคุมจะไม่ได้รับโปรแกรมการออกกำลังกาย และให้ทำกิจวัตรประจำวันของตนเองตามปกติ กลุ่มออกกำลังกายให้ออกกำลังกายตามโปรแกรมการออกกำลังกายที่ได้รับ 4 วันต่อสัปดาห์ เป็นระยะเวลาทั้งหมด 6 สัปดาห์ อาสาสมัครจะทำแบบสอบถามคุณภาพชีวิต (SF-36) และแบบสอบถามการทำกิจวัตรประจำวัน (Barthel Index) ทั้งก่อนและหลังโปรแกรมการออกกำลังกายที่บ้าน ผลการศึกษา: แบบสอบถามคุณภาพชีวิต (SF-36) มิติที่ 2 ภายในกลุ่มควบคุมและกลุ่มออกกำลังกายมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p = 0.026, 0.042 ตามลำดับ) และมิติที่ 3 ของกลุ่มควบคุมมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p = 0.024) อีกทั้งแบบประเมินความสามารถในการทำกิจวัตรประจำวัน (Barthel index) ไม่มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติระหว่างกลุ่มควบคุม และกลุ่มออกกำลังกาย สรุป: ไม่พบการเปลี่ยนแปลงของคุณภาพชีวิตระหว่างกลุ่มควบคุมและกลุ่มออกกำลังกายแต่อย่างไรก็ตาม พบว่า ภายในกลุ่มออกกำลังกายมีการเปลี่ยนแปลงคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น โดยเฉพาะมิติด้านข้อจำกัดทางร่างกายเนื่องมาจากปัญหาสุขภาพ
- Itemการเก็บและการนำความร้อนของแผ่นประคบร้อนสมุนไพรไทยด้วยคลื่นไมโครเวฟ(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2014) ฉัตรทิพย์ เพ็ชรชลาลัย; รุ่งนภา อินทรักษ์; สุภาวิดา เรืองศรีวัตถุประสงค์ของการศึกษานี้ เพื่อทดสอบการเก็บและการนำความร้อนของแผ่นประคบร้อนสมุนไพรไทยด้วยคลื่นไมโครเวฟ แบ่งการศึกษาเป็น 2 ระยะ ระยะที่ 1 เปรียบเทียบคุณสมบัติการเก็บความร้อนระหว่างแผ่นประคบร้อนมาตรฐาน และแผ่นประคบร้อนสมุนไพรไทยที่ให้ความร้อนด้วยการอบในเตาไมโครเวฟไทยเป็นเวลา 3, 4 และ 5 นาที ทำการวัดอุณหภูมิทุกๆ 2 นาทีจนครบ 50 นาที นำข้อมูลมาวิเคราะห์ด้วยสถิติ One-way ANOVA พบว่า มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติระหว่างแผ่นประคบร้อนมาตรฐาน และแผ่นประคบร้อนสมุนไพรไทยที่อบด้วยเตาไมโครเวฟในนาทีที่ 3, 4 และ 5 นาที (p=0.000, 0.000 และ 0.032 ตามลำดับ) ระยะที่ 2 เปรียบเทียบคุณสมบัติการนำความร้อนระหว่างแผ่นประคบร้อนมาตรฐาน และแผ่นประคบร้อนสมุนไพรไทย อาสาสมัครสุขภาพดี อายุ 20-40 ปี ทั้งหมด 20 คน ได้รับการสุ่มเข้ากลุ่มทดลอง (n=10) และกลุ่มควบคุม (n=10) อาสาสมัครกลุ่มทดลองได้รับการวางแผ่นประคบร้อนสมุนไพรไทยบริเวณกล้ามเนื้อทราปิเซียสเป็นระยะเวลา 40 นาที ในขณะที่กลุ่มควบคุมได้รับการวางแผ่นประคบร้อนมาตรฐานวัดอุณหภูมิผิวหนังทุกๆ 2 นาทีจนครบ 40 นาที และนำข้อมูลมาวิเคราะห์ด้วยสถิติ Mann-Whistney U Test พบว่า มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติระหว่าง 2 กลุ่มที่นาทีที่ 2-14 อย่างไรก็ตามคุณสมบัติในการนำความร้อนของแผ่นประคบร้อนสมุนไพรไทยมีค่าใกล้เคียงกับความร้อนที่ใช้ในการรักษา การศึกษานี้สรุปได้ว่าคุณสมบัติด้านนำความร้อนของแผ่นประคบร้อนสมุนไพรไทยมีประสิทธิภาพเพียงพอสำหรับการนำไปใช้รักษาทางคลินิก แต่คุณสณสมบัติด้านการเก็บความร้อนยังไม่แน่ชัด