University of Phayao

Digital Collections

ฐานข้อมูลคลังปัญญา มหาวิทยาลัยพะเยา จัดทำโดยศูนย์บรรณสารและการเรียนรู้ สถาบันนวัตกรรมการเรียนรู้ มหาวิทยาลัยพะเยา เพื่อเป็นแหล่งรวบรวม จัดเก็บและเผยแพร่ผลงานของคณาจารย์ นักวิจัย และนิสิต ของมหาวิทยาลัยพะเยา

นโยบายการรับผลงานการรับผลงานเข้าสู่ฐานข้อมูลคลังปัญญา มหาวิทยาลัยพะเยา จะคัดเลือกรับผลงานประเภทต่าง ๆ ดังต่อไปนี้

  • Theses วิทยานิพนธ์
  • Dissertations ดุษฎีนิพนธ์
  • Independent Study รายงานการค้นคว้าอิสระ
  • Technical Report รายงานการวิจัย
  • Journal Paper บทความวิจัยที่ตีพิมพ์ในบทความวารสาร
  • Bachelor’s Project ปัญหาพิเศษนักศึกษาปริญญาตรี
  • Patents สิทธิบัตร
  • Local Information Phayao Province ข้อมูลท้องถิ่นจังหวัดพะเยา
  • University of Phayao Archives จดหมายเหตุ มหาวิทยาลัยพะเยา

ติดต่อสอบถามข้อมูลหรือส่งผลงานได้ที่ UPDC Support.

Photo by @inspiredimages
 

Recent Submissions

Item
ปัญหาและแนวทางการทำงานบริการสังคมหรือทำงานสาธารณประโยชน์แทนค่าปรับในคดีอาญา
(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2024) สุภาวดี อินแถลง
บทความวิจัยฉบับนี้ ศึกษาปัญหาและแนวทางการทำงานบริการสังคมหรือทำงานสาธารณประโยชน์แทนค่าปรับในคดีอาญา โดยศึกษาแนวความคิด ทฤษฎีของการลงโทษในคดีอาญาโดยเฉพาะโทษปรับ ศึกษาการทำงานบริการสังคมหรือสาธารณประโยชน์ของต่างประเทศ รวมถึงสัมภาษณ์ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง จากการศึกษาวิจัย พบว่า ปัญหาประการแรก ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 30/1 ให้ผู้ต้องโทษปรับ ซึ่งมิใช่นิติบุคคลและไม่มีเงินชำระค่าปรับเท่านั้น ที่จะมีสิทธิยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้น เพื่อทำงานบริการสังคมหรือสาธารณประโยชน์แทนค่าปรับแต่ศาลจะมีคำสั่งจะยกคำร้องหากพบว่าจำเลยสามารถชำระค่าปรับได้ ปัญหาประการที่สอง ตามมาตรา 30/2 ถ้าผู้ต้องโทษฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามคำสั่งหรือเงื่อนไขที่ศาลกำหนด ถือว่าผู้นั้นไม่เห็นความสำคัญของมาตรการทำงานบริการสังคมแทนค่าปรับ มีผลให้ศาลจะเพิกถอนคำสั่งอนุญาตดังกล่าวและปรับหรือกักขังแทนค่าปรับ โดยศาลจะมิได้มีคำสั่งบังคับให้ริบทรัพย์สินตามมาตรา 29 และ 29/1 ก่อน ปัญหาประการที่สาม ศาลพึงสอบถามผู้ต้องโทษปรับ ซึ่งบางรายมิได้รู้ว่ามีมาตรการเฉพาะผู้ที่ไม่สามารถชำระค่าปรับได้ ถือว่าเป็นการเลือกปฏิบัติ ผู้วิจัยจึงขอเสนอแนวทางในการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญาหรือมาตรการทางกฎหมาย ดังนี้ 1) ผู้ต้องโทษปรับสามารถยื่นคำร้องขอทำงานบริการสังคมแทนค่าปรับได้แม้บุคคลนั้นจะสามารถจ่ายค่าปรับได้ก็ตาม 2) เมื่อศาลพิจารณาถึงฐานความผิดที่ได้กระทำและประวัติการกระทำความผิดครั้งก่อนแล้ว หากผู้ที่ต้องโทษปรับฝ่าฝืนไม่ทำงานบริการสังคมหรือสาธารธณประโยชน์แทนค่าปรับโดยไม่มีเหตุสมควร ควรกลับมาดำเนินการบังคับโทษปรับตามประมวลกฎหมายอาญาตามลำดับ มิใช่ผู้ต้องโทษปรับถูกบังคับให้กักขังทันที 3) ศาลต้องแจ้งสิทธิให้ผู้ต้องโทษปรับเกี่ยวกับการยื่นคำร้องขอทำงานบริการสังคมหรือทำงานสาธารณประโยชน์แทนค่าปรับทราบในขณะพิพากษาคดี ไม่ว่าคดีนั้นจะเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญาหรือความผิดในคดีนโยบาย เช่น คดีเกี่ยวกับภาษี คดีเช็ค คดีเกี่ยวกับการรับคนต่างด้าวเข้าทำงาน เป็นต้น หรือแม้ว่าผู้ต้องโทษจะสามารถชำระค่าปรับได้ก็ตาม เพื่อให้เป็นการลงโทษโดยทั่วไป มิได้เป็นการเจาะจงเฉพาะผู้ต้องโทษปรับที่ไม่สามรถชำระค่าปรับได้ และเพื่อให้ผู้ต้องโทษปรับในคดีนโยบายบางประเภทดังกล่าวได้รับการแก้ไขฟื้นฟูมากกว่าต้องถูกบังคับการลงโทษ อันเป็นการสอดคล้องกับหลักการลงโทษสากล
Item
ทฤษฎีบทการลู่เข้าสำหรับการแก้ปัญหาค่าต่ำสุด
(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2019) กุลดา ขันคำ
ปัญหาจริงมากมายทางด้านวิทยาศาสตร์ประยุกต์ วิศวกรรมศาสตร์ และเศรษฐศาสตร์ สามารถแปลงให้อยู่ในรูปแบบของปัญหาค่าต่ำสุดเชิงคอนเวกซ์ของผลรวมของสองฟังก์ชันวัตถุประสงค์ เพื่อที่จะแก้ปัญหานี้วิธีการแยกข้างหน้า-ข้างหลังได้ถูกนำมาใช้สำหรับการวิเคราะห์การลู่เข้า อย่างไรก็ตามโดยทั่วไปเงื่อนไขความต่อเนื่องลิพชิทซ์ของเกรเดียนต์ของฟังก์ชั่นมักจะถูกกำหนดขึ้นซึ่งเป็นสิ่งที่ยากในการคำนวณ นอกจากนี้ข้อสมมติฐานนี้ยังทำให้เกิดการลู่เข้าที่ช้าของอัลกอริทึม วัตถุประสงค์หลักของวิทยานิพนธ์นี้ คือ การปรับปรุงและพัฒนาวิธีการแยกแบบใหม่สำหรับการแก้ปัญหาค่าต่ำสุดเชิงคอนเวกซ์ อันดับแรกจะทำการพิสูจน์ทฤษฎีบทการลู่เข้าแบบเข้มของลำดับที่ก่อกำเนิดโดยวิธีการข้างหน้า-ข้างหลังโดยระเบียบวิธีการภาพฉายลูกผสมและวิธีการฉายภาพหดตัวภายใต้ปริภูมิฮิลเบิร์ต อันดับต่อมาจะทำการพิสูจน์ทฤษฎีบทการลู่เข้าแบบเข้มของลำดับที่ก่อกำเนิดโดยวิธีการข้างหน้า-ข้างหลังโดยระเบียบวิธีการประมาณแบบยืดหยุ่นภายใต้ปริภูมิฮิลเบิร์ต ในงานวิจัยนี้จะศึกษาขนาดขั้นแบบใหม่ของไลน์เสิร์ชสองรูปแบบที่แตกต่างกัน ข้อได้เปรียบหลักของอัลกอริทึมที่ได้พัฒนาขึ้นมา คือ ค่าคงที่ลิพชิทซ์ของเกรเดียนต์ของฟังก์ชันไม่จำเป็นต้องใช้ในการคำนวณ อันดับสุดท้ายการทดลองเชิงตัวเลขแสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพของวิธีการที่ได้นำเสนอในรูปแบบของการกู้คืนสัญญาณ ผลลัพธ์เชิงตัวเลขแสดงให้เห็นว่าวิธีการที่ได้ถูกนำเสนอมีอัตราการลู่เข้าที่ดีกว่าวิธีการอื่นที่เกี่ยวข้อง
Item
ความสัมพันธ์ระหว่างพฤติกรรมผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษากับแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของครูในโรงเรียนสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จังหวัดน่าน
(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2023) กมลทิพย์ ดีปินตา
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษา 1) ระดับพฤติกรรมผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษาโรงเรียนในสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จังหวัดน่าน 2) ระดับแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของครูในโรงเรียนสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จังหวัดน่าน และ 3) ความสัมพันธ์ระหว่างพฤติกรรมผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษากับแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของครู กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ ครูผู้สอนในโรงเรียนสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จังหวัดน่าน จำนวน 130 คน ได้มาจากการสุ่มแบบแบบแบ่งชั้นภูมิ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถามเกี่ยวกับพฤติกรรมผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษาและแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของครู สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เพียร์สัน ผลการวิจัยพบว่า 1) ระดับพฤติกรรมผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษาในโรงเรียนสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จังหวัดน่าน ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า พฤติกรรมผู้นำแบบกิจสัมพันธ์ และพฤติกรรมผู้นำแบบมิตรสัมพันธ์อยู่ในระดับมากทั้งสองด้าน 2) ระดับแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของครู ในภาพรวมอยู่ในระดับมากเมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า แรงจูงใจในการปฏิบัติงานของครูทั้งด้านปัจจัยจูงใจและปัจจัยเกื้อหนุน อยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านเกี่ยวกับปัจจัยจูงใจ โดยเรียงลำดับค่าเฉลี่ยจากมากไปน้อย ได้แก่ ด้านความสำเร็จของงาน ด้านความรับผิดชอบ ด้านลักษณะของงานที่ปฏิบัติ ด้านการยอมรับนับถือ และด้านความก้าวหน้าในการทำงาน ตามลำดับ และพิจารณาเป็นรายด้านเกี่ยวกับปัจจัยเกื้อหนุน โดยเรียงลำดับค่าเฉลี่ยจากมากไปน้อย ได้แก่ ด้านความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล ด้านการปกครองบังคับบัญชา ด้านนโยบายการบริหาร ด้านสภาพการทำงาน และด้านผลประโยชน์ตอบแทน ตามลำดับ และ 3) พฤติกรรมผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษามีความสัมพันธ์เชิงบวกกับแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของครูในระดับสูง (r = 0.751) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.01
Item
ภาวะผู้นำทางวิชาการในยุคดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษาในกลุ่มยกกระบัตรอำเภอสามเงา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาตาก เขต 1
(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2022) กนิษฐิกา พรหมวาทย์
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาภาวะผู้นำทางวิชาการในยุคดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษาในกลุ่มยกกระบัตร อำเภอสามเงา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาตาก เขต 1 และ 2) เพื่อศึกษาแนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำทางวิชาการในยุคดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษาในกลุ่มยกกระบัตร อำเภอสามเงา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาตาก เขต 1 กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการศึกษา ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา และครูผู้สอนในสถานศึกษา ในกลุ่มยกกระบัตร อำเภอสามเงา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาตาก เขต 1 จำนวน 126 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถามและแบบสัมภาษณ์การวิเคราะห์ข้อมูลใช้ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์เนื้อหาจากผลการวิจัย พบว่า 1) ภาวะผู้นำทางวิชาการในยุคดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา ในกลุ่มยกกระบัตร อำเภอสามเงา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาตาก เขต 1 พบว่า ในภาพรวมภาวะผู้นำทางวิชาการในยุคดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา 5 ด้าน อยู่ในระดับมากทั้ง 5 ด้าน ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ด้านการพัฒนาและการส่งเสริมความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีของบุคลากร ด้านการเป็นพลเมืองในยุคดิจิทัล ด้านความเป็นเลิศในการใช้เทคโนโลยีเพื่อการเรียนรู้ ด้านการสร้างเครือข่ายการเรียนรู้ในยุคดิจิทัล และด้านการมีวิสัยทัศน์เป็นผู้นำด้านดิจิทัล ตามลำดับ 2) แนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำทางวิชาการในยุคดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษาในกลุ่มยกกระบัตร อำเภอสามเงา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาตาก เขต 1 โดยแยกเป็นรายด้าน 5 ด้าน พบว่า 2.1) ด้านการมีวิสัยทัศน์เป็นผู้นำด้านดิจิทัล ผู้บริหารสถานศึกษาควรพัฒนาตนเองให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี เป็นต้นแบบที่ดี 2.2) ด้านการสร้างเครือข่ายการเรียนรู้ในยุคดิจิทัล ผู้บริหารสถานศึกษาควรวางแผนการดำเนินงาน เพิ่มศักยภาพและโอกาสการเรียนรู้ในรูปแบบการเรียนรู้แบบออนไลน์ผ่านการใช้เทคโนโลยีของครูและผู้เรียน 2.3) ด้านความเป็นเลิศในการใช้เทคโนโลยีเพื่อการเรียนรู้ ผู้บริหารสถานศึกษาควรกระตุ้นให้บุคลากรในสถานศึกษา เพิ่มพูนศักยภาพ พัฒนานวัตกรรมสูตรการจัดการเรียนรู้ โดยใช้เทคโนโลยีเป็นฐาน 2.4) ด้านการพัฒนาและการส่งเสริมความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีของบุคลากร ผู้บริหารสถานศึกษาควรส่งเสริมสนับสนุนการจัดกิจกรรมสร้างแรงจูงใจ แลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกัน และ 2.5) ด้านการเป็นพลเมืองในยุคดิจิทัล ผู้บริหารสถานศึกษาควรสร้างความตระหนักให้ผู้เรียนได้เห็นถึงประโยชน์และโทษ ผลักดันให้มีการใช้กฎหมายและจริยธรรมในการใช้เทคโนโลยีด้วยความรับผิดชอบ
Item
มาตรการบังคับทางปกครองในการยึด อายัด และขายทอดตลาดทรัพย์สินขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กรณีศึกษาพระราชบัญญัติภาษีป้าย พ.ศ. 2510
(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2023) จิรายุทธ คิดงาม
การศึกษาวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาหลักการ แนวคิด ทฤษฎี และกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการใช้มาตรการบังคับทางปกครอง วิเคราะห์ปัญหาการใช้มาตรการยึด อายัด และขายทอดตลาดทรัพย์สินขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และเสนอแนะแนวทางการพัฒนา แก้ไขกฎหมาย และระเบียบวิธีปฏิบัติเกี่ยวกับการใช้มาตรการทางปกครองในการยึด อายัด ทรัพย์สินขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้เหมาะสม และมีประสิทธิภาพเป็นการศึกษาวิจัยเชิงคุณภาพ โดยศึกษาข้อมูลจากพระราชบัญญัติภาษีป้าย พ.ศ. 2510 พระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 และกฎหมายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งศึกษาจากเอกสาร และบทความต่างๆ โดยนำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์เชิงพรรณนาจากการศึกษาวิจัย พบว่า เมื่อมีภาษีป้ายค้างชำระองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นสามารถดำเนินการตามที่กฎหมายให้อำนาจไว้โดยวิธีการนั้น คือ การใช้มาตรการบังคับทางปกครองโดยแบ่งออกเป็น 2 วิธี คือ 1) วิธีการบังคับชำระหนี้โดยการใช้สิทธิตามระบบกฎหมายของเอกชน โดยการฟ้องร้องดำเนินคดีต่อศาลภาษีอากรกลาง และ 2) การบังคับคดีโดยใช้วิธีการยึด อายัด และขายทอดตลาดทรัพย์สินขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ซึ่งในขั้นตอนการสืบหาทรัพย์สินของผู้ค้างชำระภาษีเพื่อเตรียมใช้มาตรการยึด อายัด และขายทอดตลาดทรัพย์สินนั้น พบว่า มีปัญหาในทางกฎหมายและในทางปฏิบัติอยู่หลายประการ เช่น ปัญหาการสืบทรัพย์สินของเจ้าพนักงานบังคับภาษีปัญหาการยึด อายัดทรัพย์สินที่ไม่มีทะเบียน ปัญหาการนำวิธีการตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาบังคับใช้โดยอนุโลม และปัญหาการดำเนินการยึด อายัดทรัพย์สินของเจ้าพนักงานบังคับภาษี ซึ่งปัญหาเหล่านี้ส่วนหนึ่งมาจากความไม่ชัดเจนของกฎหมายที่นำมาใช้บังคับ ผู้วิจัยจึงได้วิเคราะห์ปัญหาและเสนอแนะแนวทางการแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับการบังคับภาษีป้าย เสนอแนะให้มีการแก้ไขพระราชบัญญัติภาษีป้าย พ.ศ. 2510 โดยมีการกำหนดหลักเกณฑ์การดำเนินการใช้มาตรการบังคับทางปกครอง นำไปสู่การใช้มาตรการบังคับทางปกครองได้อย่างมีประสิทธิภาพและเป็นไปตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย