ระดับปริญญาโท (Master Degree)
Permanent URI for this collection
Browse
Recent Submissions
- Itemการศึกษาบทบาทของผู้บริหารในการบูรณาการศาสตร์พระราชา ด้านหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงในการบริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษาจังหวัดพะเยา(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2019) อรวรรณ แสงดาวการศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาบทบาทสภาพปัจจุบันของผู้บริหารในการบูรณาการศาสตร์พระราชา ด้านหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงในการบริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษาจังหวัดพะเยา และเพื่อศึกษาแนวทางการพัฒนาบทบาทผู้บริหารในการบูรณาการศาสตร์พระราชา ด้านหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงในการบริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษาจังหวัดพะเยา จำนวน 168 คน เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ และแบบสัมภาษณ์ แบบกึ่งโครงสร้าง สถิติในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ การแจกแจงความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลการศึกษาบทบาทสภาพปัจจุบันของผู้บริหารในการบูรณาการศาสตร์พระราชา ด้านหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงในการบริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษาจังหวัดพะเยา ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า บทบาทของผู้บริหารอยู่ในระดับมากที่สุด คือ ด้านการบริหารงานวิชาการ รองลงมา คือ ด้านการบริหารงบประมาณ ด้านการบริหารงานทั่วไป และด้านการบริหารงานบุคคล ตามลำดับ 2) ผลการศึกษาแนวทางพัฒนาบทบาทของผู้บริหารในการบูรณาการศาสตร์พระราชา ด้านหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงในการบริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษาจังหวัดพะเยา พบว่า ด้านการบริหารงานวิชาการกระบวนการขับเคลื่อนหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงสู่ผู้เรียนของสถานศึกษา ด้านการบริหารวิชาการถือว่าสำคัญยิ่งเพราะ คือ หัวใจของการบริหารสถานศึกษา ผู้บริหารควรมีการขับเคลื่อนผ่านห้องเรียน และการเรียนรู้ให้เหมาะสมกับวัยของผู้เรียน โดยเน้นการปลูกฝังคุณลักษณะตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ด้านการบริหารงบประมาณผู้บริหาร ควรมีการระดมทุนจากชุมชนองค์กรผู้มีส่วนเกี่ยวข้องมีการวางแผน และจัดการงบประมาณอย่างรอบคอบ โดยพิจารณาจัดสรรงบประมาณคำนึงถึงหลักความมีเหตุผล มีการกำหนดผู้รับผิดชอบการดำเนินงานทุกขั้นตอน ด้านการบริหารงานบุคคลผู้บริหาร ควรสนับสนุนครูทุกคนในการพัฒนาการศึกษาดูงาน การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ การเข้ารับฟังการบรรยายที่เกี่ยวกับการขับเคลื่อนหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้การจัดการเรียนรู้ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ด้านการบริหารงานทั่วไปผู้บริหารควรมีการมอบหมายงานให้มีผู้รับผิดชอบปรับปรุงดูแลรักษาอาคารสถานที่ และจัดการสภาพแวดล้อมสำหรับการเรียนรู้อย่างเหมาะสมให้ครอบคลุมทุกพื้นที่
- Itemสภาพและแนวทางการบริหารจัดการศูนย์พัฒนาเด็กเล็กสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในเขตอำเภอสะเมิง จังหวัดเชียงใหม่(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2021) กิตติศักดิ์ แสนอุบลการวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษา 1) สภาพปัจจุบันและสภาพที่พึงประสงค์ของการบริหารจัดการศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก สังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในเขตอำเภอสะเมิง จังหวัดเชียงใหม่ 2) แนวทางการบริหารจัดการศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก สังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในเขตอำเภอสะเมิง จังหวัดเชียงใหม่ การวิจัยแบ่งออกเป็น 2 ขั้นตอน ได้แก่ ขั้นตอนที่ 1 การศึกษาสภาพปัจจุบัน และสภาพที่พึงประสงค์ของการบริหารจัดการศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก กลุ่มประชากร ได้แก่ ผู้บริหาร ครู และบุคลากร สังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รวมทั้งสิ้น 70 คน เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถามแบบมาตรส่วน ประมาณค่า 5 ระดับ สถิติที่ใช้ คือ วิธีการแจกแจงความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์ค่าความต้องการจำเป็น (PNI Modifed) ขั้นตอนที่ 2 การศึกษาแนวทางการบริหารจัดการศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก ด้วยวิธีการสัมภาษณ์โดยกลุ่มผู้ให้ข้อมูลเป็นผู้ที่มีความเชี่ยวชาญด้านการศึกษา หรือด้านการบริหารจัดการสถานศึกษา หรือด้านการจัดการศึกษาระดับปฐมวัย หรือศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก จำนวน 5 คน ผลการวิจัยพบว่า 1) สภาพปัจจุบันของการบริหารจัดการศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก โดยภาพรวมอยู่ระดับมาก และสภาพที่พึงประสงค์ของการบริหารจัดการศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก โดยภาพรวมอยู่ระดับมากที่สุด และลำดับความต้องการจำเป็นในการพัฒนาการบริหารจัดการศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ค่าความต้องการจำเป็นมากที่สุด คือ มาตรฐานด้านการส่งเสริมเครือข่ายการพัฒนาเด็กปฐมวัย 2) แนวทางการบริหารจัดการศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก ผู้บริหาร ครู และบุคลากรสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นควรดำเนินการ ดังนี้ 1) มาตรฐานด้านส่งเสริมเครือข่ายการพัฒนาเด็กปฐมวัย ควรสร้างเครือข่ายทางการศึกษาเชิงพื้นที่ เพื่อร่วมพัฒนาการจัดการศึกษาของศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก 2) มาตรฐานด้านอาคารสถานที่ สิ่งแวดล้อมและความปลอดภัย ควรปรับปรุงอาคารสถานที่ให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งาน รวมถึงมีมาตรการป้องกันโรคติดต่อ และมาตรการป้องกันอันตราย 3) มาตรฐานด้านบุคลากร ควรวางแผนอัตรากำลังให้เพียงพอ และส่งเสริมบุคลากรให้ได้รับการพัฒนาตนเองอย่างสม่ำเสมอ 4) มาตรฐานด้านการมีส่วนร่วมและการสนับสนุน ควรพัฒนาระบบการสื่อสารให้มีประสิทธิภาพ สร้างกลไกความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อระดมทรัพยากรสนับสนุนการดำเนินงานศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก 5) มาตรฐานด้านวิชาการและกิจกรรมตามหลักสูตร ควรพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา ออกแบบแผนจัดประสบการณ์เรียนรู้ให้มีความหลากหลาย และ 6) มาตรฐานด้านการบริหารจัดการศูนย์พัฒนาเด็กเล็กควรดำเนินงานอย่างเป็นระบบ และจัดสรรงบประมาณอย่างเพียงพอ
- Itemความพึงพอใจของผู้ใช้บริการด้านสินเชื่อต่อคุณภาพบริการของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร สาขาภูกามยาว จังหวัดพะเยา(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2018) ธิปไตย ไชยองการงานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาพฤติกรรมของผู้ใช้บริการด้านสินเชื่อ และความพึงพอใจของผู้ใช้บริการด้านสินเชื่อต่อคุณภาพบริการ 5 ด้าน ของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร สาขาภูกามยาวจังหวัดพะเยา ประชากรที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ คือ ลูกค้าผู้ใช้บริการสินเชื่อของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร สาขาภูกามยาว จังหวัดพะเยา โดยสุ่มเก็บตัวอย่างแบบบังเอิญ จำนวนทั้งหมด 400 ตัวอย่าง เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยแบบสอบถาม ในช่วงเดือนเมษายน-พฤษภาคม พ.ศ. 2561 สถิติที่ใช้ คือ ค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ทดสอบความสัมพันธ์ระหว่างด้านประชากร และด้านพฤติกรรมกับความพึงพอใจของผู้ใช้บริการด้านสินเชื่อด้วยสถิติ T-test และ One-way ANOVA (F-test) ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ 0.05 ผลการวิเคราะห์ข้อมูลด้านประชากรและด้านพฤติกรรม พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เป็นเพศชาย อายุ 51-60 ปี สถานภาพสมรส จบประถมศึกษา อาชีพเกษตรกร (ทำนา) รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 2,500-5,000 บาท มาใช้บริการ 1-2 ครั้ง/ปี เลือกมาใช้บริการ เวลา 8.30-12.00 น. ใช้เวลาในการมาติดต่อธนาคาร 15-30 นาที ประเภทสินเชื่อที่ใช้ คือ สินเชื่อเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิต จำนวนเงินกู้อยู่ระหว่าง 50,000-150,000 บาท ในส่วนของความพึงพอใจของผู้ใช้บริการด้านสินเชื่อต่อคุณภาพบริการของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร สาขาภูกามยาว จังหวัดพะเยา โดยภาพรวมมีความพึงพอใจต่อคุณภาพบริการ ทั้ง 5 ด้าน อยู่ในระดับมากที่สุด (x̄ = 4.40) เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ทุกด้านมีความพึงพอใจในระดับมากที่สุด โดยเรียงลำดับจากมากไปหาน้อย ได้ดังนี้ ด้านสิ่งที่จับต้องได้หรือความเป็นรูปธรรมของบริการ (x̄ = 4.54) ด้านความน่าเชื่อถือหรือความไว้วางใจ (x̄ = 4.41) ด้านการตอบสนองความต้องการของลูกค้า (x̄= 4.37) ด้านการรับประกันหรือให้ความมั่นใจต่อลูกค้า และด้านการเข้าใจการรับรู้ความต้องการของผู้รับบริการ หรือการดูแลเอาใจใส่ลูกค้ามีค่าเฉลี่ยเท่ากัน (x̄ = 4.35) ผลการทดสอบสมมติฐานเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างด้านประชากร และด้านพฤติกรรมกับความพึงพอใจของผู้ใช้บริการด้านสินเชื่อต่อคุณภาพบริการ ทั้งหมด 11 ตัวแปร พบว่า มี 2 ตัวแปรที่มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 คือ อาชีพที่แตกต่างกัน มีความพึงพอใจของผู้ใช้บริการด้านสินเชื่อต่อคุณภาพบริการต่างกัน (p=0.003) และความถี่ในการใช้บริการที่แตกต่างกัน มีความพึงพอใจของผู้ใช้บริการด้านสินเชื่อต่อคุณภาพบริการต่างกัน (p=0.024) ทั้งนี้อีก 9 ตัวแปร ได้แก่ เพศ อายุ สถานภาพ ระดับการศึกษา รายได้ต่อเดือน ช่วงเวลาที่เลือกใช้บริการ ระยะเวลาที่มาใช้บริการ ประเภทธุรกรรมด้านสินเชื่อของผู้ใช้บริการ และจำนวนเงินกู้ของผู้ใช้บริการ ไม่มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 กล่าวคือ มีความพึงพอใจของผู้ใช้บริการด้านสินเชื่อต่อคุณภาพบริการไม่ต่างกัน
- Itemวิถีตลาดและแนวทางการพัฒนาธุรกิจโคเนื้อคุณภาพสูงอย่างยั่งยืนในเขตภาคเหนือตอนบน 2 ของประเทศไทย กรณีศึกษา สหกรณ์โคขุนดอกคำใต้ จำกัด(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2020) ปพิชญา ยอดมณีการศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ ประเด็นแรก เพื่อศึกษาสถานการณ์การผลิตโคเนื้อคุณภาพสูงในเขตภาคเหนือตอนบน 2 ของประเทศไทย ประเด็นที่สอง ศึกษาวิถีตลาดโคเนื้อคุณภาพสูงในเขตภาคเหนือตอนบน 2 ของประเทศไทย โดยใช้การวิจัยเชิงคุณภาพ ซึ่งกรณีศึกษาในการศึกษาครั้งนี้ คือ สหกรณ์โคขุนดอกคำใต้ จำกัด ประกอบด้วยสมาชิกที่อยู่ในเขตภาคเหนือตอนบน 2 ของประเทศไทย (พะเยา เชียงราย แพร่ น่าน) มีจำนวนสมาชิกทั้งสิ้น 437 คน ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ 1) เป็นผู้บริหารของสหกรณ์โคขุนดอกคำใต้ จำกัด ใช้เทคนิคสัมภาษณ์โดยวิธีเลือกแบบเจาะจง จำนวน 2 คน 2) ผู้ประกอบการขายส่งเนื้อโคคุณภาพสูง จำนวน 1 คน 3) ซูปเปอร์มาร์เก็ต จำนวน 1 คน เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาวิจัยครั้งนี้ เป็นแบบสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง โดยวิเคราะห์ข้อมูลเชิงพรรณนา ผลการศึกษาตามวัตถุประสงค์ ประเด็นแรกพบว่า จำนวนเกษตรกรที่เลี้ยงโคเนื้อคุณภาพสูงตั้งแต่ปี 2558 – 2561 ที่ผ่านมา พบว่า จำนวนเกษตรกรที่ผลิตโคเนื้อคุณภาพสูงมีจำนวนเพิ่มขึ้น ตามลำดับในปี 2561 มีจำนวนเกษตรกรเพิ่มขึ้นเป็น 437 คน เนื่องจากรัฐบาลมีนโยบายสนับสนุนการเลี้ยงโคขุนมากขึ้น และในขณะเดียวกันจำนวนโคเนื้อคุณภาพสูงในเขตภาคเหนือตอนบน 2 ของประเทศไทยมีแนวโน้ม เพิ่มขึ้นโดย ในปี 2561 มีจำนวนโคเนื้อคุณภาพสูงทั้งหมด 246 ตัว ในส่วนธุรกิจแปรรูปผลิตผลการเกษตรและการผลิตสินค้าของสหกรณ์โคขุนดอกคำใต้ จำกัด นั้น มีการเพิ่มขึ้นทุกปี เนื่องจากเป็นธุรกิจที่ดำเนินการตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ ในปี 2561 มีการลงทุนในธุรกิจอยู่ 22,856,641.98 บาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน ร้อยละ 121.04 ในส่วนของรายได้นั้น พบว่า มีรายได้อยู่ 3 ส่วน คือ ขายยกซาก ซึ่งเป็นวิธีขายที่สร้างรายได้ให้กับสหกรณ์โคขุนดอกคำใต้ จำกัด มากที่สุด เนื่องจากมีผู้ประกอบการขายส่งมีการทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือในการซื้อและจำหน่ายโคเนื้อร่วมกัน ขายเนื้อตัดแต่ง เช่น เนื้อแดงตัดแต่ง และขายผลผลิตพลอยได้ เช่น กระดูก เครื่องใน หนัง และไขมัน เป็นต้น ในปี 2561 สหกรณ์โคขุนดอกคำใต้ จำกัด มีรายได้รวมเท่ากับ 26,202,739.83 บาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 115.12 โดยผลผลิตที่สร้างรายได้ให้กับสหกรณ์โคขุนดอกคำใต้ จำกัด มากที่สุดมาจากการขายยกซาก ร้อยละ 90.75 จากการขายผลผลิตพลอยได้ ร้อยละ 8.15 และจากการขาย เนื้อตัดแต่ง ร้อยละ 1.10 ตามลำดับ ประเด็นที่สอง พบว่า เกษตรกรจำหน่ายโคขุนคุณภาพมีชีวิตให้แก่สหกรณ์โคขุนดอกคำใต้ จำกัด ต่อมาสหกรณ์ฯ ดำเนินการแปรรูปโคเนื้อและจำหน่ายโคเนื้อคุณภาพสูงได้ 3 ช่องทาง คือ ผู้ประกอบการขายส่งเนื้อโคคุณภาพ โดยคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 78.86 ของปริมาณโคเนื้อทั้งหมด ซุปเปอร์มาร์เก็ต คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 19.51 ของปริมาณโคเนื้อทั้งหมด และสหกรณ์โคขุนดอกคำใต้ จำกัด จำหน่ายให้ผู้บริโภคโดยตรง คิดเป็นสัดส่วน ร้อยละ 1.63 ของปริมาณโคเนื้อทั้งหมด
- Itemขั้นตอนวิธีจุดตรึงสำหรับการส่งนอกตัววางนัยทั่วไปไม่ขยายคล้ายแบบเชิงเส้นกำกับและการส่งไม่ขยายแบบ G(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2020) กฤษฎาภิวัตน์ วงศ์ใหญ่ทฤษฎีจุดตรึงมีการศึกษากันอย่างกว้างขวาง เนื่องจากเป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์ในการแก้ปัญหาต่าง ๆ ในหลากหลายสาขา เช่น วิศวกรรม เศรษฐศาสตร์ เคมี ทฤษฎีเกม และทฤษฎีกราฟ เป็นต้น อย่างไรก็ตามเมื่อการศึกษาเรื่องการมีจริงของจุดตรึงสำหรับบางการส่ง พบว่า การหาค่าของจุดตรึงที่มีอยู่นั้น ไม่ใช่เรื่องง่าย นั่นคือเหตุผลว่า ทำไมจึงใช้กระบวนการทำซ้ำสำหรับการคำนวณหาจุดตรึง กระบวนการทำซ้ำหลายแบบได้รับการพัฒนาขึ้นแต่ก็ไม่ครอบคลุมการส่งต่าง ๆ ทั้งหมด ที่ทราบกันเป็นอย่างดี ก็คือ ทฤษฎีการหดตัวของบานาคใช้กระบวนการทำซ้ำของปีการ์สำหรับการประมาณค่าของจุดตรึง นอกจากนี้ยังมีกระบวนการทำซ้ำที่รู้จักกันเป็นอย่างดี ได้แก่ กระบวนการทำซ้ำของ มานน์ อิชิคาวา อัลกาวอร์ นูร์ และอื่น ๆ วัตถุประสงค์แรกของวิทยานิพนธ์นี้ ได้แนะนำและศึกษาระเบียบวิธีการทำซ้ำสองขั้นตอนแบบใหม่ ซึ่งเรียกว่า ระเบียบวิธีการทำซ้ำแบบอิชิคาวา ด้วยการรบกวนสำหรับการส่งนอกตัววางนัยทั่วไปไม่ขยายคล้ายแบบเชิงเส้นกำกับในปริภูมิบานาค โดยให้เงื่อนไขที่เพียงพอสำหรับการลู่เข้าของกระบวนการทำซ้ำที่แนะนำขึ้นไปยังจุดตรึงร่วมของการส่ง ภายใต้เงื่อนไขที่กำหนดขึ้นในปริภูมิบานาคนูนเอกรูปค่าจริง ยิ่งไปกว่านั้น ได้แสดงการพิสูจน์การลู่เข้าอย่างเข้มของระเบียบวิธีการทำซ้ำแบบใหม่ด้วยการรบกวน ไปยังจุดตรึงร่วมของสองการส่งนอกตัววางนัยทั่วไปไม่ขยายคล้ายแบบเชิงเส้นกำกับบนเซตย่อยนูนปิด ที่ไม่เป็นเซตว่างของปริภูมิบานาคค่าจริง วัตถุประสงค์ที่สองได้แนะนำและศึกษาการวิเคราะห์การลู่เข้าของกระบวนการทำซ้ำสองขั้นตอนแบบใหม่ เมื่อประยุกต์ไปยังการส่งชนิดการส่งไม่ขยายแบบ G โดยให้ทฤษฎีบทการลู่เข้าอย่างอ่อน และอย่างเข้มสำหรับระเบียบวิธีการทำซ้ำสองขั้นตอนแบบใหม่ในปริภูมิบานาคนูนเอกรูปด้วยกราฟระบุทิศ ยิ่งไปกว่านั้น ได้พิสูจน์ทฤษฎีบทการลู่เข้าแบบอ่อนโดยไม่ใช้เงื่อนไขของโอเปียล และแสดงการทดลองเชิงตัวเลขเพื่อยืนยันผลลัพธ์ที่ได้และเปรียบเทียบอัตราการลู่เข้าของวิธีการทำซ้ำที่แนะนำขึ้น กับวิธีการทำซ้ำแบบอิชิคาวา และวิธีการทำซ้ำปรับปรุงแบบ S ผลลัพธ์ที่ได้ในวิทยานิพนธ์ฉบับนี้ เป็นการขยาย และวางนัยทั่วไปของบางผลลัพธ์ที่เคยมีมาก่อนหน้านี้