ระดับปริญญาโท (Master Degree)
Permanent URI for this collection
Browse
Recent Submissions
Now showing 1 - 5 of 945
- Itemการบริหารสินค้าคงคลังวัสดุสำนักงานแบบ ABC กรณีศึกษาส่วนงานการเงินและพัสดุ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยพะเยา(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2013) บุษยมาส กอกน้อยการศึกษาค้นคว้าด้วยตนเองครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระบบการบริหารสินค้าคงคลังวัสดุสำนักงาน 2) เพื่อประยุกต์ใช้ระบบ ABC ในการแบ่งกลุ่มวัสดุสำนักงาน และ 3) เพื่อศึกษาหาปริมาณการสั่งซื้อที่ประหยัดที่สุด และจุดสั่งซื้อที่ต่ำที่สุดของ ของส่วนงานการเงินและพัสดุ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยพะเยา ซึ่งเป็นการศึกษาค้นคว้าเชิงปริมาณแบบการสำรวจและเชิงคุณภาพ เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ คือ แบบบันทึกข้อมูลและแบบสัมภาษณ์ ประชากรที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ คือ รายการวัสดุสำนักงาน จำนวน 81 รายการ ในปีงบประมาณ 2555 และทำการสัมภาษณ์เจ้าหน้าที่หน่วยพัสดุ ผลการศึกษาพบว่า การบริหารสินค้าคงคลังวัสดุสำนักงานเดิมใช้วิธีการจดบันทึกด้วยมือ และมีการจัดเก็บวัสดุสำนักงานตามตู้เก็บวัสดุสำนักงาน ซึ่งอาจทำให้ส่งผลต่อระบบการบริหารวัสดุสำนักงานที่มีประสิทธิภาพ การบริหารสินค้าคงคลังวัสดุสำนักงานโดยการประยุกต์ใช้ระบบ ABC classification สามารถแบ่งกลุ่มวัสดุสำนักงานออกเป็น วัสดุสำนักงานกลุ่ม A จำนวน 16 รายการ มีต้นทุนรวมการใช้ ร้อยละ 74.94 และวัสดุสำนักงานกลุ่ม B จำนวน 24 รายการ มีต้นทุนรวมการใช้ ร้อยละ 16.72 และวัสดุสำนักงานกลุ่ม C จำนวน 41 รายการมีต้นทุนรวมการใช้ ร้อยละ 8.34 และปริมาณการสั่งซื้อที่ประหยัดที่สุด ต้นทุนรวมของการบริหารคลังวัสดุสำนักงานมูลค่าทั้งสิ้น 266,902 บาท โดยต้นทุนการจัดซื้อและต้นทุนการจัดเก็บวัสดุสำนักงานเท่ากัน คือ 133,451 บาท วัสดุสำนักงานกลุ่ม A มีต้นทุนการจัดซื้อและต้นทุนการจัดเก็บวัสดุสำนักงานเท่ากัน คือ 44,320 บาท และมีต้นทุนรวมของการบริหารคลังวัสดุสำนักงาน เท่ากับ 88,640 บาท วัสดุสำนักงานกลุ่ม B มีต้นทุนการจัดซื้อและต้นทุนการจัดเก็บวัสดุสำนักงานเท่ากัน คือ 38,993 บาท และมีต้นทุนรวมของการบริหารคลังวัสดุสำนักงาน เท่ากับ 77,986 บาท วัสดุสำนักงาน กลุ่ม C มีต้นทุนการจัดซื้อและต้นทุนการจัดเก็บวัสดุสำนักงานเท่ากัน คือ 50,138 บาท และมีต้นทุนรวมของการบริหารคลังวัสดุสำนักงาน เท่ากับ 100,276 บาท
- Itemโครงการออกแบบเปรียบเทียบสะพานที่มีการป้องกันการกัดเซาะและสะพานที่ไม่มีการกัดเซาะ หมู่ที่ 9 ตำบลบ้านปิน อำเภอดอกคำใต้ จังหวัดพะเยา(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2013) มานัส ทิศสุกใสการศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ คือ เพื่อศึกษาถึงปัจจัยที่มีผลกระทบต่อการออกแบบโครงการออกแบบสะพานที่มีการป้องกันการกัดเซาะและสะพานที่ไม่มีการกัดเซาะ หมู่ที่ 9 ตำบลบ้านปิน อำเภอดอกคำใต้ จังหวัดพะเยา และเพื่อหาต้นทุนในการก่อสร้างสะพานที่มีการป้องกันการกัดเซาะ และสะพานที่ไม่มีการกัดเซาะที่ปริมาณน้ำหลากสูงสุด (Return period) ที่ 5 ปี, 10 ปี, 20 ปี และ 25 ปี จากการศึกษาพบว่า ด้านการออกแบบสะพาน ยาว 8.00 เมตร ดีที่สุดเพราะ สามารถรับปริมาณน้ำฝนในรอบ 25 ปี โดยไม่ต้องสร้างการป้องกันการกัดเซาะ ส่วนต้นทุนในการก่อสร้างพบว่า ต้นทุนรายปีของการเกิดซ้ำ 5 ปี สะพานกว้าง 5.00 เมตร ยาว 5.00 เมตร กรณีที่มีการป้องกันการกัดเซาะ 142,007.85 บาท ต่อปี กรณีที่ไม่มีการป้องกันการกัดเซาะ 129,308.22 บาท ต่อปี (A/P, i 7%, 5งวด) ต้นทุนรายปีของการเกิดซ้ำ 10 ปี สะพานกว้าง 5.00 เมตร ยาว 6.00 เมตร กรณีที่มีการป้องกันการกัดเซาะ 90,448.07 บาท ต่อปี กรณีที่ไม่มีการป้องกันการกัดเซาะ 82,910.69 บาท ต่อปี (A/P, i 7%, 10งวด) ต้นทุนรายปีของการเกิดซ้ำ 20 ปี สะพานกว้าง 5.00 เมตร ยาว 7.00 เมตร กรณีที่มีการป้องกันการกัดเซาะ 75,458.73 บาท ต่อปี กรณีที่ไม่มีการป้องกันการกัดเซาะ 68,500.82 บาท ต่อปี (A/P, i 7%, 20 งวด) ต้นทุนรายปีของการเกิดซ้ำ 25 ปี สะพานกว้าง 5.00 เมตร ยาว 8.00 เมตร กรณีที่ไม่มีการป้องกันการกัดเซาะ 53,527.96 บาท ต่อปี (A/P, i 7%, 25งวด)
- Itemความคิดเห็นของประชาชนต่อระบบบริการสุขภาพของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านต๊ำ อำเภอเมือง จังหวัดพะเยา(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2012) กาญจนา โพธิคำการค้นคว้าด้วยตนเองนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อทราบระดับความคิดเห็นของประชาชนต่อระบบบริการสุขภาพของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านต๊ำ อำเภอเมือง จังหวัดพะเยา และเพื่อทราบปัญหา และข้อเสนอแนะของประชาชนที่มีต่อระบบบริการสุขภาพของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านต๊ำ อำเภอเมือง จังหวัดพะเยา ประชากร และกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษา คือ ประชาชนที่อยู่ในความดูแลของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านต๊ำ อำเภอเมือง จังหวัดพะเยา ทั้งหมดจำนวน 7,292 คน มีกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 379 คน เครื่องมือที่ใช้ได้แก่ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน นำเสนอในรูปแบบตารางประกอบการบรรยาย ผลการวิจัย พบว่า ด้านงานส่งเสริมสุขภาพ (x̅=4.34) ความคิดเห็นของประชาชนที่อยู่ในระดับเห็นด้วยมาก และในด้านอื่น ๆ ที่เหลืออีก 5 ด้าน ประชาชนก็มีความคิดเห็นในระดับมากเช่นเดียวกัน กล่าวคือ ด้านงานรักษาพยาบาล (x̅=4.32) ด้านงานเสริมสร้างภูมิคุ้มกันโรค/คลินิกสุขภาพเด็กดี (x̅=4.23) ด้านอนามัยโรงเรียน (x̅=3.96) ด้านงานสุขาภิบาลป้องกันและควบคุมโรค (x̅=4.25) ด้านงานฟื้นฟูสภาพ (x=4.21) และได้มีข้อเสนอแนะดังนี้ ควรส่งเสริมให้มีการให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง สนับสนุนงบประมาณให้ในการจัดซื้อเครื่องมือ และอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่จำเป็น อีกทั้งควรจัดสรรกำลังคนหรือบุคลากรทางการแพทย์ที่เหมาะสม เพื่อนำมาประจำแต่ละโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล
- Itemการบริหารงานวิชาการของโรงเรียนขนาดเล็กในอำเภอวังเหนือสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาลำปาง เขต 3(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2012) ลีลาวดี จีระเสมานนท์การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาการบริหารงานวิชาการ ปัญหาและข้อเสนอแนะ ในการพัฒนาการบริหารงานวิชาการโรงเรียนขนาดเล็กในอำเภอวังเหนือ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาลำปาง เขต 3 ประชากรประกอบด้วยผู้บริหาร และครูผู้สอนในโรงเรียนขนาดเล็กอำเภอวังเหนือ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาลำปาง เขต 3 จำนวน 19 โรงเรียน ที่สอนในปีการศึกษา 2554 จำนวน 118 คน เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา เป็นแบบสอบถามแบบสำรวจรายการ แบบมาตราส่วนประมาณค่า และแบบสอบถามแบบปลายเปิดเกี่ยวกับการบริหารงานวิชาการ ทั้ง 12 งาน ได้แก่ การพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา การพัฒนากระบวนการเรียนรู้ การวัดผลประเมินผลและการเทียบโอนการเรียน การวิจัยเพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษา การพัฒนาสื่อนวัตกรรมและเทคโนโลยีทางการศึกษา การพัฒนาแหล่งเรียนรู้ การนิเทศการศึกษา การแนะแนวการศึกษา การพัฒนาระบบประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา การส่งเสริมความรู้ด้านวิชาการแก่ชุมชน การประสานความร่วมมือในการพัฒนาวิชาการกับสถานศึกษาอื่น การสนับสนุนงานวิชาการแก่ครอบครัว องค์กร หน่วยงานและสถาบันอื่นที่จัดการศึกษา นำมาวิเคราะห์ข้อมูลโดย การแจกแจงความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการศึกษาพบว่า การบริหารงานวิชาการของโรงเรียนขนาดเล็กในอำเภอวังเหนือ มีการปฏิบัติอยู่ในระดับมาก (µ=3.69) เมื่อพิจารณาในรายละเอียดแล้ว ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่ มีการปฏิบัติในด้านการพัฒนากระบวนการเรียนรู้ อยู่ในระดับมาก (µ=3.91) รองลงมา คือ ด้านการพัฒนาระบบประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา (µ=3.85) และมีการปฏิบัติน้อยสุด ในด้านการประสานความร่วมมือในการพัฒนาวิชาการกับสถานศึกษาอื่น (µ=3.33)
- Itemการศึกษาถึงความเหมาะสมการจัดตั้งหน่วยควบคุมในเขตห้ามล่าสัตว์ป่าทับพญาลอ ตำบลหงส์หิน อำเภอจุน จังหวัดพะเยา(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2013) กฤษฎางค์ สุขเกษมการศึกษานี้ต้องการนำเสนอความสำคัญของพื้นที่อนุรักษ์ ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า ซึ่งเป็นแหล่งอาศัยของสัตว์ป่าหลายชนิด และมีภูมิทัศน์ที่มีความสำคัญของป่าต้นน้ำที่กำลังสูญหายไปจากการถูกบุกรุก เนื่องจากการเติบโตและการขยายตัวของเมือง โดยในการศึกษาครั้งนี้ได้เลือกศึกษาพื้นที่เขตห้ามล่าสัตว์ป่าทับพญาลอ ตำบลหงส์หิน อำเภอจุน จังหวัดพะเยาซึ่งเป็นหนึ่งในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าที่อยู่ในพื้นที่รับผิดชอบของ ส่วนอนุรักษ์สัตว์ป่า สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 15 (จ.เชียงราย) ซึ่งครอบคลุมพื้นที่รับผิดชอบในเขตจังหวัดเชียงราย และพะเยา โดยเลือกพื้นที่ของเขตห้ามล่าสัตว์ป่าทับพญาลอเป็นกรณีศึกษา และการพัฒนาต้นแบบในการจัดวางผังเพื่อพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศ บทความนี้ศึกษาถึงความเป็นไปได้ในการสร้างยุทธศาสตร์ที่สามารถทำให้พื้นที่อนุรักษ์ทางธรรมชาติอื่น ๆ เพื่อดำรงความเป็นพื้นที่สีเขียวอย่างมีคุณภาพไว้ได้ โดยการพัฒนาและการจัดการท่องเที่ยวให้ดำเนินไปตามแนวทางการพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ เพื่อแก้ไขและป้องกันผลกระทบอันเกิดจากปัญหาจากการถูกบุกรุกพื้นที่ที่กำลังประสบอยู่ เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และเป็นแนวทางที่จะก่อให้เกิดความสมดุล ในการส่งเสริม และการพัฒนาการท่องเที่ยวในเขตพื้นที่ที่ต้องสงวนรักษาให้เป็นพื้นที่อนุรักษ์ โดยนำการท่องเที่ยวมาเป็นเครื่องมือในการพัฒนา และเน้นที่การมีส่วนร่วมของคนในพื้นที่เพื่อให้เขตพื้นที่อนุรักษ์ทางธรรมชาติ จะยังคงเอกลักษณ์อันงดงาม ทั้งทางด้านทรัพยากรธรรมชาติ และมรดกทางวัฒนธรรม