ระดับปริญญาโท (Master Degree)
Permanent URI for this collection
Browse
Recent Submissions
Now showing 1 - 5 of 863
- Itemความสัมพันธ์ระหว่างทักษะดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษากับประสิทธิผลของการบริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเชียงราย(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2023) ธนกฤต จักรสุวรรณ์การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ ดังนี้ 1) เพื่อศึกษาทักษะดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา 2) เพื่อศึกษาประสิทธิผลของการบริหารสถานศึกษาของผู้บริหารสถานศึกษา และ 3) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างทักษะดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา กับประสิทธิผลของการบริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเชียงราย กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยในครั้งนี้ ได้แก่ ผู้บริหารและครู ในโรงเรียนมัธยมศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเชียงราย สหวิทยาเขตริมกก จำนวน 320 คน ได้มาจากการกำหนดกลุ่มตัวอย่างจากตารางของเครจซี่และมอร์แกน จากนั้นใช้วิธีการสุ่มแบบหลายขั้นตอน (Multi-Stage Random Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ โดยมีค่าดัชนีความสอดคล้องของเครื่องมือ (IOC) ระหว่าง 0.33-1.00 และมีค่าความเชื่อมั่นสัมประสิทธิ์แอลฟาที่ระดับ 0.99 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ การแจกแจงความถี่ การหาค่าร้อยละ การหาค่าเฉลี่ย การหาส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน (Pearson Product Moment Correlation) ผลการวิจัย พบว่า 1) ทักษะดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา โดยรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก โดยทักษะที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ทักษะการสืบค้น รองลงมา คือ ทักษะการปฏิบัติงานอย่างเป็นระบบ และทักษะความเข้าใจและใช้เทคโนโลยีดิจิทัล ตามลำดับ ส่วนทักษะที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือ ทักษะการสร้างนวัตกรรม 2) ประสิทธิผลของสถานศึกษา โดยรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก โดยประสิทธิผลของสถานศึกษาที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ด้านคุณภาพครู รองลงมา คือ ด้านคุณภาพสถานศึกษา และด้านคุณภาพการบริหาร ตามลำดับ ส่วนประสิทธิผลของการบริหารสถานศึกษาที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือ ด้านคุณภาพผู้เรียน 3) ความสัมพันธ์ระหว่างทักษะดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา กับประสิทธิผลของการบริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเชียงราย มีความสัมพันธ์ทางบวกระดับสูงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01
- Itemภาวะผู้นำเชิงจริยธรรมของผู้บริหารสถานศึกษากลุ่มเครือข่ายส่งเสริมประสิทธิภาพการจัดการศึกษาศูนย์การศึกษาพิเศษ เขตการศึกษา 8 สำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2024) หทัยชนก วงศ์วิเศษการวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาภาวะผู้นำเชิงจริยธรรมของผู้บริหารสถานศึกษากลุ่มเครือข่ายส่งเสริมประสิทธิภาพการจัดการศึกษาศูนย์การศึกษาพิเศษ เขตการศึกษา 8 สำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ 2) เพื่อเปรียบเทียบภาวะผู้นำเชิงจริยธรรมของผู้บริหารสถานศึกษากลุ่มเครือข่ายส่งเสริมประสิทธิภาพการจัดการศึกษาศูนย์การศึกษาพิเศษ เขตการศึกษา 8 สำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ จำแนกตามวุฒิการศึกษา และประสบการณ์ทำงาน กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา ครูผู้สอนของกลุ่มเครือข่ายส่งเสริมประสิทธิภาพการจัดการศึกษาศูนย์การศึกษาพิเศษ เขตการศึกษา 8 สำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ ผู้วิจัยทำการสุ่มตัวอย่างโดยวิธีการเปิดตารางเครซี่และมอร์แกน ได้จำนวนกลุ่มตัวอย่าง 248 คน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที (t-test independent) และการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว (One-way Analysis of Variance: ANOVA) จากผลการวิจัยพบว่า 1) ภาวะผู้นำเชิงจริยธรรมของผู้บริหารสถานศึกษากลุ่มเครือข่ายส่งเสริมประสิทธิภาพการจัดการศึกษาศูนย์การศึกษาพิเศษ เขตการศึกษา 8 สำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ ภาพรวมอยู่ในระดับมาก ทั้ง 5 ด้าน ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด ได้แก่ ด้านความน่าเคารพ รองลงมา ได้แก่ ด้านความรับผิดชอบ รองลงมา ได้แก่ ด้านความไว้วางใจ รองลงมา ได้แก่ ด้านความซื่อสัตย์ ส่วนด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด ได้แก่ ด้านความยุติธรรม ตามลำดับ 2) แสดงผลการเปรียบเทียบภาวะผู้นำเชิงจริยธรรมของผู้บริหารสถานศึกษากลุ่มเครือข่ายส่งเสริมประสิทธิภาพการจัดการศึกษาศูนย์การศึกษาพิเศษ เขตการศึกษา 8 สำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ จำแนกตามวุฒิการศึกษา ด้านความยุติธรรม ความซื่อสัตย์ ความไว้วางใจ ความรับผิดชอบ และความน่าเคารพ พบว่า ไม่มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ทั้งภาพรวมและรายด้าน ซึ่งไม่สอดคล้องกับสมมติฐานที่ตั้งไว้ ส่วนการเปรียบเทียบจำแนกตามประสบการณ์การทำงาน พบว่า ไม่มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ทั้งภาพรวมและรายด้าน ซึ่งไม่สอดคล้องกับสมมติฐานที่ตั้งไว้
- Itemปัจจัยทำนายพฤติกรรมการป้องกันวัณโรคของผู้สัมผัสผู้ป่วยวัณโรคในอำเภอวังเหนือ จังหวัดลำปาง(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2024) พลอยไพลิน จินตนาการวิจัยแบบภาคตัดขวางครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาปัจจัยทำนายพฤติกรรมการป้องกันวัณโรคของผู้สัมผัสผู้ป่วยวัณโรคในอำเภอวังเหนือ จังหวัดลำปาง กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 212 คน เก็บข้อมูล โดยใช้แบบสอบถามระหว่างเดือนมีนาคมถึงพฤษภาคม พ.ศ. 2565 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนาการวิเคราะห์สหสัมพันธ์ และการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน ผลการวิจัยพบว่า คะแนนเฉลี่ยพฤติกรรมการป้องกันวัณโรคของผู้สัมผัสผู้ป่วยวัณโรคอยู่ในระดับสูง (mean = 4.52, S.D. = 0.32) ปัจจัยที่สามารถร่วมทำนายพฤติกรรมการป้องกันวัณโรคได้ จำนวน 3 ปัจจัย ได้แก่ ความรอบรู้ด้านสุขภาพ คือ 1) ด้านทักษะการตัดสินใจ 2) ด้านความรู้ความเข้าใจ และ 3) สิ่งแวดล้อมด้านลักษณะที่อยู่อาศัย/ที่ทำงาน ซึ่งสามารถทำนายพฤติกรรมการป้องกันวัณโรคของผู้สัมผัสผู้ป่วยวัณโรคได้คิดเป็นร้อยละ 25 (Adj. R2 = 0.250, F = 24.505, p-value <0.001) โดยทักษะการตัดสินใจมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมการป้องกันวัณโรคของผู้สัมผัสผู้ป่วยวัณโรคมากที่สุด รองลงมา คือ ความรู้และความเข้าใจ ส่วนลักษณะที่อยู่อาศัยนั้นมีความสัมพันธ์ทางลบกับพฤติกรรมการป้องกันวัณโรคของผู้สัมผัสผู้ป่วยวัณโรค ผลการศึกษาในครั้งนี้ สามารถนำไปประยุกต์สำหรับใช้ในการวางแผนและพัฒนาการดำเนินงานป้องกันและควบคุมวัณโรค โดยการส่งเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพให้กับประชาชนเพื่อให้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการป้องกันวัณโรค
- Itemปัจจัยการสัมผัสฝุ่นละอองขนาดเล็กที่ทำให้เกิดโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังในพื้นที่ตำบลเมืองมาย อำเภอแจ้ห่ม จังหวัดลำปาง(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2024) พิชญานิน ชมภูใบโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (COPD) เกิดจากการสะสมการรับสัมผัสฝุ่นละอองขนาดเล็ก ซึ่งในพื้นที่ตำบลเมืองมาย มีอัตราการป่วยสูงเป็นอันดับ 1 ของอำเภอแจ้ห่ม จังหวัดลำปาง สอดคล้องกับระดับฝุ่นละอองขนาดเล็กกว่า 2.5 ไมครอน (PM2.5) ที่เกินมาตรฐานรายปีอย่างต่อเนื่อง งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อการสัมผัส PM 2.5 ที่ทำให้เกิดโรค COPD ในกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 20 คน เก็บข้อมูลด้วยแบบสอบถามประเมินความรู้ และพฤติกรรมการเฝ้าระวังและป้องกัน และใช้ข้อมูลระดับ PM2.5 จากกรมควบคุมมลพิษ สถานี 39T และข้อมูลสมรรถภาพของปอดจากโรงพยาบาลแจ้ห่ม ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2562-2565 วิเคราะห์ร่วมกันโดยใช้สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ พบว่า ระดับความรู้ของผู้ป่วยอยู่ในระดับปานกลาง มีระดับพฤติกรรมการเฝ้าระวังและการป้องกัน PM2.5 ในระดับต่ำ โดยส่วนมากกลุ่มตัวอย่างมีกิจวัตรประจำวันอยู่ในที่โล่ง และมักไม่สวมหน้ากากป้องกันฝุ่น เมื่อวิเคราะห์สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ พบว่า พฤติกรรมการเฝ้าระวังและการป้องกัน PM2.5 ที่ดีจะส่งผลต่อสมรรถภาพของปอดดีอย่างมีนัยสำคัญ (r = -0.489, P value < 0.05) นอกจากนั้นยังพบว่า ระดับ PM2.5 ที่สูงก็จะส่งผลเสียต่อสมรรถภาพของปอดอย่างมีนัยสำคัญ (r= 0.518, P value < 0.05) ดังนั้นจึงควรส่งเสริมพฤติกรรมการป้องกันตนเอง และสื่อสารสุขภาพแจ้งเตือนภัยระดับ PM2.5 ให้มีประสิทธิภาพจะช่วยลดผลกระทบกับการเกิด COPD ได้อย่างชัดเจน
- Itemผลของไนโตรเจนและฟอสฟอรัสต่อลักษณะทางสัณฐานการเจริญเติบโต โปรตีนและพฤกษเคมีของสาหร่าย Spirulina platensis(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2022) พิทักษ์พงษ์ หอมนานการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาผลของไนโตรเจนและฟอสฟอรัสต่อลักษณะทางสัณฐาน การเจริญเติบโต ปริมาณโปรตีนรวม และพฤกษเคมีของสาหร่าย Spirulina platensis ในสูตรอาหารเพาะเลี้ยงดัดแปลง 6 กรรมวิธี ได้แก่ กรรมวิธี ORG1, กรรมวิธี ORG2, กรรมวิธี ORG3, กรรมวิธี ORG4, กรรมวิธี ORG5, กรรมวิธี ORG6 เปรียบเทียบกับสูตรอาหารเพาะเลี้ยงมาตรฐานปรับปรุง (MZ และ MJU) ปริมาตร 1,000 มิลลิลิตร ภายใต้สภาวะค่า pH 10 ที่อุณหภูมิห้อง ทำการเก็บผลโดยการนับจำนวนเส้นสาย วัดค่าการดูดกลืนแสงที่ 560 นาโนเมตร วัดปริมาณน้ำหนักแห้งชีวมวลและศึกษาการเปลี่ยนแปลงทางสัณฐานภายใต้กล้องจุลทรรศน์ ทุก ๆ 3 วัน เป็นระยะเวลา 30 วัน พบว่า สูตรอาหารเพาะเลี้ยงดัดแปลง กรรมวิธี ORG3 และกรรมวิธี ORG5 มีศักยภาพเพียงพอในการส่งเสริมการเจริญเติบโตของสาหร่าย S. platensis โดยไม่ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสัณฐานของเส้นสายในระยะเวลาการเพาะเลี้ยง 12 วัน และกรรมวิธี ORG5 มีความเหมาะสมสำหรับการเพาะเลี้ยงสาหร่าย S. platensis เพื่อผลิตสารพฤกษเคมี เนื่องจากสามารถผลิตแคโรทีนอยด์รวม และคลอโรฟิลล์เอ ได้เทียบเท่ากับสูตรอาหารมาตรฐาน แต่อาจต้องใช้ชีวมวล 2 เท่า และ 3 เท่า สำหรับการผลิตสารไฟโคบิลิโปรตีน และปริมาณโปรตีนรวม ตามลำดับ ทั้งนี้ ถือว่ามีความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจเนื่องจากสูตรอาหารดัดแปลงมีต้นทุนที่ต่ำกว่าสูตรอาหารมาตรฐานอยู่มาก และยังสามารถลดการใช้สารเคมี ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมได้