ระดับปริญญาโท (Master Degree)
Permanent URI for this collection
Browse
Recent Submissions
- Itemปัจจัยที่ส่งผลต่อประสิทธิผลการบริหารงานวิชาการของสถานศึกษาในอำเภอเชียงดาว สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่ เขต 3(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2024) ว่าที่ร้อยตรีหญิง ทักษพร อรัญญาการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อ 1) ศึกษาระดับปัจจัยการบริหารงานวิชาการของสถานศึกษาในอำเภอเชียงดาว สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่ เขต 3 2) ศึกษาระดับประสิทธิผลการบริหารงานวิชาการของสถานศึกษาในอำเภอเชียงดาว สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่ เขต 3 และ 3) ศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อประสิทธิผลการบริหารงานวิชาการของสถานศึกษาในอำเภอเชียงดาว สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่ เขต 3 กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ผู้บริหารและครู รวมทั้งสิ้น 260 คน ของสถานศึกษาในอำเภอเชียงดาว สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่ เขต 3 จำนวน 39 แห่ง โดยวิธีการสุ่มตัวอย่างแบบชั้นภูมิ (Stratified Sampling) เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ แบบสอบถาม จำนวน 3 ตอน มีค่า IOC อยู่ระหว่าง 0.67-1.00 ค่าความเชื่อมั่นด้านปัจจัยการบริหารงานวิชาการของสถานศึกษาในอำเภอเชียงดาว สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่ เขต 3 มีค่าเท่ากับ 0.95 และประสิทธิผลการบริหารงานวิชาการของสถานศึกษาในอำเภอเชียงดาว สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่ เขต 3 มีค่าเท่ากับ 0.95 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูปคอมพิวเตอร์ สถิติที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติถดถอยพหุคูณ (Multiple Regression) ผลการวิจัย พบว่า 1) ระดับปัจจัยการบริหารงานวิชาการของสถานศึกษาในอำเภอเชียงดาว สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่ เขต 3 อยู่ในระดับมาก 2) ระดับประสิทธิผลการบริหารงานวิชาการของสถานศึกษาในอำเภอเชียงดาว สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่ เขต 3 อยู่ในระดับมาก และ 3) ปัจจัยที่ส่งผลต่อประสิทธิผลการบริหารงานวิชาการของสถานศึกษาในอำเภอเชียงดาว สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่ เขต 3 มี 3 ปัจจัย ได้แก่ ปัจจัยด้านอาคาร สถานที่ (Xe) ปัจจัยด้านสื่อ วัสดุอุปกรณ์ และเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา (Xf) และปัจจัยด้านครูผู้สอน (Xb) เป็นตัวแปรพยากรณ์ที่ส่งผลต่อประสิทธิผลการบริหารงานวิชาการของสถานศึกษาในอำเภอเชียงดาว สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่ เขต 3 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 สามารถเขียนเป็นสมการพยากรณ์ได้ดังนี้ สมการพยากรณ์ในรูปคะแนนดิบ = 1.106 + .311 (Xe) + .284 (Xf) + .151 (Xb) สมการพยากรณ์ในรูปคะแนนมาตรฐาน = .385 (Xe) + .366 (Xf) + .170 (Xb)
- Itemแนวทางการปรับตัวของธุรกิจโรงแรมขนาดกลางในจังหวัดเชียงใหม่ช่วงภาวะวิกฤตโควิด-19(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2023) ภูษณิศา ทิพย์วงศ์การวิจัยเรื่อง แนวทางการปรับตัวของธุรกิจโรงแรมขนาดกลางในจังหวัดเชียงใหม่ ช่วงภาวะวิกฤตโควิด-19 มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาผลกระทบและการปรับตัวของธุรกิจโรงแรมขนาดกลางในจังหวัดใหม่ ช่วงภาวะวิกฤตโควิด-19 นำไปสู่การเสนอแนะกลยุทธ์การปรับตัวที่เหมาะสมในโรงแรมขนาดกลางในภาวะวิกฤตโรคระบาดอื่น ๆ ซึ่งการศึกษาครั้งนี้เก็บข้อมูลจากการสัมภาษณ์ผู้ประกอบการโรงแรมขนาดกลางในจังหวัดเชียงใหม่ จำนวน 6 แห่ง โดยมีผู้ให้ข้อมูลหลัก คือ ผู้ประกอบการโรงแรม หรือผู้บริหารระดับสูงของโรงแรม จากการศึกษาพบว่า ในช่วงภาวะวิกฤตโควิด-19 โรงแรมมีผลกระทบด้านเศรษฐกิจ ที่ส่งผลให้รายได้ของโรงแรมลดลงมากกว่าร้อยละ 70 และ พบว่า โรงแรมบางแห่งมีค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น โดยการซื้ออุปกรณ์ทำความสะอาดในการป้องกันเชื้อโควิด-19 ส่วนผลกระทบด้านสังคม เนื่องจากภาวะวิกฤตโควิด-19 ที่ทำให้โรงแรมมีรายได้ลดลงจึงต้องมีการจ่ายเงินเดือนพนักงานในจำนวนที่ลดลงเช่นกัน ส่งผลให้พนักงานมีเงินไม่เพียงพอต่อการใช้จ่าย จึงเป็นผลให้พนักงานลาออก จากผลกระทบดังกล่าวนำมาสู่การปรับตัวทั้งหมด 4 ด้าน ได้แก่ (1) ด้านการตลาด เพื่อเพิ่มช่องทางการหารายได้ และเพิ่มรายได้ให้กับโรงแรม เช่น การขาย Voucher ห้องพัก การขายอาหารออนไลน์ มีการเปลี่ยนโรงแรมเปิดเป็นฮอสพิเทล เป็นต้น (2) ด้านทรัพยากรมนุษย์ โดยการปรับรูปแบบการทำงานของพนักงาน และปรับการจ่ายค่าตอบแทนให้สอดคล้องกับรายได้ของโรงแรม เช่น การพัฒนาให้พนักงาน 1 คน ทำงานได้มากกว่า 1 หน้าที่ (3) ด้านการดำเนินงานภายในองค์กร เป็นการบริหารจัดการโรงแรมให้สามารถอยู่รอดและลดค่าใช้จ่ายของโรงแรมให้ได้มากที่สุด เช่น การปิดโรงแรมชั่วคราวและกลับมาเปิดในสถานการณ์ที่ดีขึ้น หรือการลดค่าใช้จ่ายสาธารณูปโภคเพื่อให้สัดส่วนของค่าใช้จ่ายสอดคล้องกับรายได้ (4) ด้านการเงิน เป็นการปรับโครงสร้างทางการเงิน โดยลดต้นทุนในการดำเนินงาน เช่น การลดต้นทุนวัตถุดิบในการทำอาหารของโรงแรม เป็นต้น
- Itemความสัมพันธ์ของความหลากหลายของสาหร่ายกลุ่มเดสมิดส์และคุณภาพน้ำจากหนองเล็งทรายจนถึงกว๊านพะเยา(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2024) รมิตา เหลี่ยมแฉ่งการศึกษาความสัมพันธ์ของคุณภาพน้ำ และความหลากหลายของสาหร่ายกลุ่มเดสมิดส์จากหนองเล็งทรายจนถึงกว๊านพะเยา ระหว่างเดือนมกราคมถึงเดือนธันวาคม พ.ศ. 2565 พบว่า อิทธิพลของการเปลี่ยนแปลงตามฤดูกาลมีผลต่อพารามิเตอร์คุณภาพน้ำมากกว่าการเปลี่ยนแปลงเชิงพื้นที่ของแหล่งน้ำ เมื่อประเมินคุณภาพแหล่งน้ำด้วยดัชนีคุณภาพน้ำ (WQI) พบว่า แหล่งน้ำเกือบทุกสถานีจัดเป็นแหล่งน้ำประเภทที่ 3 ในขณะที่การประเมินคุณภาพแหล่งน้ำด้วยดัชนี AARL-PC Score จัดทุกสถานีอยู่ในคุณภาพน้ำระดับดี-ปานกลาง โดยพบว่า มีสารอาหารน้อยถึงปานกลาง (oligo - mesotrophic) จากการศึกษาความหลากหลายของสาหร่ายกลุ่มเดสมิดส์ พบเดสมิดส์ทั้งหมด 10 สกุล 70 ชนิด โดยแบ่งเป็น 4 วงศ์ ได้แก่ Mesotaeniaceae พบ 1 สกุล คือ Roya 1 ชนิด (1.40%), Gonatozygaceae พบ 1 สกุล ได้แก่ Gonatozygon 1 ชนิด (1.40%). Closteriaceae พบ 1 สกุล คือ Closterium 18 ชนิด (25.35%) และ Desmidiaceae พบ 7 สกุล 50 ชนิด ได้แก่ Actinotaenium 2 ชนิด (2.81%), Cosmarium 20 ชนิด (28.16%), Euastrum 1 ชนิด (1.40%), Micrasterias 1 ชนิด (1.40%), Spondylosium 1 ชนิด (1.40%), Staurastrum 21 ชนิด (29.57%) และ Staurodesmus 4 ชนิด (5.63%) โดยมีชนิดเด่น คือ Closterium acutum var. variabile จากการประเมินดัชนีความหลากหลายของสาหร่ายกลุ่มเดสมิดส์ พบว่า Shannon’s diversity index มีความเหมาะสมในการวิเคราะห์ความหลากหลายของสาหร่ายกลุ่มเดสมิดส์ในพื้นที่ศึกษามากกว่า Simpson’s index เมื่อวิเคราะห์ความสัมพันธ์ของคุณภาพน้ำ และความหลากหลายของสาหร่ายกลุ่มเดสมิดส์ด้วยวิธี CCA และ Pearson’s correlation coefficient สามารถจัดกลุ่มความสัมพันธ์ได้ทั้งสิ้น 3 กลุ่ม ซึ่งสามารถสรุปได้ว่าหนองเล็งทรายและกว๊านพะเยามีคุณภาพน้ำ โดยรวมดีกว่าบริเวณคลองส่งน้ำ และส่งผลต่อความหลากหลายทางชีวภาพของสาหร่ายเดสมิดส์ให้มีความหลากหลายที่สูงเช่นกัน ข้อมูลที่ได้มีศักยภาพในการนำไปประยุกต์ใช้เพื่อการพัฒนาการบริหารจัดการน้ำ เพื่อการใช้ประโยชน์อย่างเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และรักษาระบบนิเวศแหล่งน้ำให้มีความยั่งยืนต่อไป
- Itemแนวทางการสื่อสารการตลาดการท่องเที่ยวในเขตเทศบาลนครเชียงราย(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2023) ปรานประภา เชษฐบดีการวิจัยในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาภาพลักษณ์การท่องเที่ยวในเขตเทศบาลนครเชียงราย 2) ศึกษาพฤติกรรมและการรับรู้ภาพลักษณ์การท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวชาวไทยในเขตเทศบาลนครเชียงราย และ 3) เสนอแนวทางการสื่อสารการตลาดการท่องเที่ยวในเขตเทศบาลนครเชียงราย โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยแบบผสมผสาน (Mixed research) ทำการวิจัยเชิงคุณภาพ เก็บรวบรวมข้อมูลจากการสัมภาษณ์แบบเจาะลึกกลุ่มผู้ให้ข้อมูลสำคัญ ประกอบด้วยตัวแทนหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน จำนวน 18 คน และทำการวิจัยเชิงปริมาณ เก็บรวบรวมข้อมูลจากการทำแบบสอบถามของผู้นำชุมชนในเขตพื้นที่เทศบาลนครเชียงราย จำนวน 64 ชุมชน ผลการวิจัย พบว่า ภาพลักษณ์การท่องเที่ยวในเขตเทศบาลนครเชียงรายในมุมมองของภาครัฐ ภาคเอกชน และผู้นำชุมชนนั้น มีความโดดเด่นในด้านเมืองแห่งดอกไม้งาม อันเนื่องมาจากมีการจัดกิจกรรมเทศกาลงานเชียงรายดอกไม้งาม และเทศกาลงานมหกรรมไม้ดอกอาเซียนเชียงราย และแหล่งท่องเที่ยวทางศาสนา ประวัติศาสตร์ และโบราณสถาน ด้วยความสวยงามของสถาปัตยกรรมและประเพณีท้องถิ่นที่มักเกี่ยวเกี่ยวกับวัดในเขตพื้นที่เทศบาลนครเชียงราย อันสอดคล้องกับการรับรู้ของนักท่องเที่ยวชาวไทย ซึ่งพบว่า นักท่อเที่ยวมีการรับรู้ภาพลักษณ์ด้านทรัพยากรการท่องเที่ยวด้านงานเทศกาลประเพณีที่สำคัญของท้องถิ่น ได้แก่ เทศกาลเชียงรายดอกไม้งาม (สวนตุงและโคมนครเชียงราย) เทศกาลงานมหกรรมไม้ดอกอาเซียนเชียงราย (สวนไม้งามริมน้ำกก) และภาพลักษณ์ด้านความมีชื่อเสียง เป็นนครแห่งดอกไม้งาม รองลงมา เป็นนครแห่งศิลปิน และเป็นนครแห่งศิลปะ และวัฒนธรรม ตามลำดับ ในส่วนแนวทางการสื่อสารการตลาดการท่องเที่ยวในเขตเทศบาลนครเชียงราย จึงควรนำจุดเด่นของนครเชียงรายในการเป็นนครแห่งดอกไม้งามในทุกฤดูกาล ภาพลักษณ์ที่สร้างสรรค์ขึ้นใหม่เพื่อสะท้อนอัตลักษณ์ของนครเชียงราย โดยใช้เครื่องมือการสื่อสารการตลาดกำหนดแนวทางในการดำเนินงานที่เหมาะสมได้ว่า “นครเชียงรายนครแห่งดอกไม้ 4 ฤดูกาล” กำหนดเป็นเนื้อหาหรือสารในการนำเสนอ โดยมีผู้ส่งสารหลัก คือ สำนักงานเทศบาลนครเชียงราย และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานเชียงราย ใช้ช่องทางการสื่อสาร การตลาดแบบบูรณาการ การสื่อสารแบบปากต่อปาก และการสื่อสารผ่านสื่อสังคมออนไลน์ ผู้รับสาร คือ ประชาชนทั่วไป และนักท่องเที่ยวชาวไทย
- Itemกลยุทธ์การตลาดเพื่อเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจของธุรกิจจักสานไทย(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2023) พฤกษา พันธ์ปัญญาการวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาการวิเคราะห์ส่วนประสมทางการตลาด 7P ของกลุ่มจักสานในจังหวัดพะเยาด้วยการวิเคราะห์สภาพแวดล้อมภายในและภายนอกของธุรกิจจักสาน 2) เพื่อศึกษาพฤติกรรมการเลือกซื้องานจักสาน และปัจจัยความต้องการของลูกค้าที่ส่งผลต่อสร้างกลยุทธ์การตลาด รูปแบบการวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยแบบผสมผสาน (Mixed Method Research) โดยการวิจัยเชิงคุณ ภาพ (Qualitative Research) กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้ประกอบธุรกิจจักสานในจังหวัดพะเยา 10 กลุ่ม การวิเคราะห์ข้อมูลจากการสัมภาษณ์ ผลการวิจัย พบว่า สาเหตุของปัญหาเกิดจากไม่มีการคำนวณต้นทุนราคา ผลิตสินค้าได้ล่าช้า และกลุ่มจักสานส่วนใหญ่ไม่มีช่องทางตลาดออนไลน์ เมื่อวิเคราะห์ส่วนประสมทางการตลาด 7P ผลการวิเคราะห์ SWOT พบว่า 1) จุดแข็ง ของแต่ละกลุ่มมีผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายมีเอกลักษณ์ที่แตกต่างกัน 2) จุดอ่อน ไม่มีการประเมินต้นทุนของสินค้า 3) โอกาส มีหน่วยงานภาครัฐและเอกชนเข้ามาช่วยเหลือ 4) อุปสรรค การเกิดโรคระบาด Covid-19 ทำให้ยอดการซื้อและกำลังการผลิตล่าช้าลง โดยใช้กลยุทธ์ทางการตลาด 4 ด้าน กลยุทธ์เชิงรุก กลยุทธ์เชิงแก้ไข กลยุทธ์เชิงป้องกัน กลยุทธ์เชิงรับในการแก้ไขปัญหา ซึ่งสามารถนำจุดแข็งของกลุ่มหนึ่งไปช่วยลดจุดอ่อนของกลุ่มอื่นได้ สำหรับวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) กลุ่มตัวอย่าง คือ กลุ่มลูกค้าจักสานทางออนไลน์ในกลุ่มเฟซบุ๊ก โดยการตอบแบบสอบถามผ่าน Google Form จำนวน 400 ราย ซึ่งผู้วิจัยได้ใช้แบบสอบถามที่สร้างขึ้นจากปัจจัยส่วนผสมทางการตลาด 7P เป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล จากผลการวิจัย พบว่า พฤติกรรมในการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์จักสานไม้ไผ่ ภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง แบ่งกลุ่มผู้บริโภค ออกเป็น 3 กลุ่ม ตามทัศนคติและความคิดเห็นเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์จักสานไม้ไผ่ มากที่สุด คือ กลุ่มที่ 3 คุ้มค่ากับเงินที่จ่าย รองลงมา กลุ่มที่ 2 ผลิตภัณฑ์จักสานไม้ไผ่เป็นเรื่อง “ฟุ่มเฟือย” น้อยที่สุด คือ กลุ่มที่ 1 วางแผนซื้อผลิตภัณฑ์จักสานจากไม้ไผ่อยู่เสมอ ปัจจัยส่วนผสมทางการตลาด 7P ที่มีอิทธิพลต่อการซื้อสินค้าจักสานที่ทำจากไม้ไผ่ ภาพรวมอยู่ในระดับมาก โดยมากที่สุด คือ ด้านกระบวนการ รองลงมา คือ ด้านสาธารณูปโภค ด้านบุคลากร ด้านการผลิตภัณฑ์ ด้านราคา ด้านช่องทางการจัดจำหน่าย และน้อยที่สุด คือ ด้านการส่งเสริมทางการตลาด สามารถนำกลยุทธ์ทางการตลาดมาแก้ปัญหา คือ กลยุทธ์สร้างความแตกต่างที่นำสนอสินค้าและบริการที่มุ่งเน้นให้ผู้บริโภครู้สึกถึงคุณค่าของผลิตภัณฑ์สร้างความภักดีในตราสินค้า