ระดับปริญญาโท (Master Degree)
Permanent URI for this collection
Browse
Recent Submissions
- Itemผลของไอโอเดตและไอโอไดด์ต่อผลผลิตและคุณภาพของผักคะน้าและผักกาดฮ่องเต้ที่ปลูกในระบบไฮโดรโพนิกส์(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2012) กานต์พิชชา ปัญญาการวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาผลของไอโอเดต และไอโอไดด์ ต่อการเจริญเติบโต ผลผลิตและการสะสมไอโอดีนของผักคะน้า และผักกาดฮ่องเต้ที่ปลูกในระบบไฮโดรโพนิกส์ โดยใช้ไอโอเดตจากโพแทสเซียมไอโอเดต หรือไอโอไดด์จากโพแทสเซียม ไอโอไดด์ที่ระดับความเข้มข้น 10, 20, 30, 40 และ 50 ไมโครโมลาร์ โดยการเติมลงไปในสารละลายธาตุอาหาร หรือใช้สารละลายไอโอดีน 0, 2.5, 5, 10, 20 และ 40 มิลลิกรัมต่อลิตร ฉีดพ่นลงบนพืชที่ปลูกในระบบไฮโดรโพนิกส์ สัปดาห์ละ 1 ครั้ง ตลอดระยะเวลาการเจริญเติบโตจนกระทั่งเก็บเกี่ยว ทำการวัดผลการเจริญเติบโต ได้แก่ ความสูงต้น ความยาวราก และวัดผลทางด้านผลผลิต และคุณภาพผลผลิต ได้แก่ น้ำหนักสด น้ำหนักแห้ง ปริมาณคลอโรฟิลล์ การเติมสารละลายไอโอเดตที่ระดับความเข้มข้นเพิ่มขึ้น พบว่า ไม่มีผลต่อความสูงต้น ปริมาณคลอโรฟิลล์ทั้งหมด และปริมาณไนเตรทที่สะสม เมื่อเปรียบเทียบกับชุดควบคุมที่ไม่มีการเติมไอโอเดตแต่มีแนวโน้มทำให้ ผลผลิต และปริมาณไอโอดีนที่สะสมเพิ่มมากขึ้น โดยที่สารละลายไอโอเดตที่ระดับความเข้มข้น 30 หรือ 50 ไมโครโมลาร์ มีผลทำให้ผักคะน้าหรือผักกาดฮ่องเต้มีผลผลิต และปริมาณไอโอดีนสะสมมากที่สุด โดยมีน้ำหนักสดเท่ากับ 96.48 หรือ 120.13 กรัม/ต้น และมีปริมาณไอโอดีนที่สะสมเท่ากับ 52.22 หรือ 56.88 ไมโครกรัม/100 กรัมน้ำหนักสด ซึ่งมีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ กับผักคะน้าและผักกาดฮ่องเต้ของชุดควบคุม ที่ไม่มีการเติมสารละลายไอโอเดตที่มีน้ำหนักสด 86.43 หรือ 99.05 กรัม/ต้น และมีปริมาณไอโอดีนที่สะสมเท่ากับ 38.89 หรือ 39.56 ไมโครกรัม/100 กรัมน้ำหนักสด การเติมสารละลายไอโอไดด์ที่ระดับความเข้มข้นมากขึ้นจะทำให้การเจริญเติบโต และผลผลิตของผักคะน้าและผักกาดฮ่องเต้ลดลง โดยที่สารละลายไอโอไดด์ที่ระดับความเข้มข้น 50 หรือ 10 ไมโครโมลาร์ ทำให้ผักคะน้าหรือผักกาดฮ่องเต้มีผลผลิต และปริมาณไอโอดีนสะสมมากที่สุด โดยมีน้ำหนักสดเท่ากับ 96.35 หรือ 119.09 กรัม/ต้น และมีปริมาณไอโอดีนที่สะสม เท่ากับ 59.55 หรือ 40.56 ไมโครกรัม/100 กรัมน้ำหนักสด ในขณะที่ผลต่อผักคะน้าหรือผักกาดฮ่องเต้ของชุดควบคุม ที่ไม่มีการเติมสารละลายไอโอไดด์มีน้ำหนักสดเท่ากับ 84.79 หรือ 120.04 กรัม/ต้น และทำให้มีปริมาณไอโอดีนที่สะสมเท่ากับ 40.89 หรือ 31.56 ไมโครกรัม/100 กรัมน้ำหนักสด การฉีดพ่นสารละลายไอโอเดตและไอโอไดด์ในทุกระดับความเข้มข้น พบว่า ไม่มีผลต่อการเจริญเติบโต และผลผลิตของผักคะน้าและผักกาดฮ่องเต้ เมื่อเปรียบเทียบกับชุดควบคุม แต่มีแนวโน้มในการเพิ่มปริมาณไอโอดีนในเนื้อเยื่อพืชเพิ่มมากขึ้น เมื่อระดับความเข้มข้นของไอโอเดตและไอโอไดด์ที่เพิ่มขึ้น โดยที่การฉีดพ่นไอโอไดต 20 หรือ 40 มิลลิกรัม/ลิตร ทำให้ผักคะน้าและผักกาดฮ่องเต้มีการสะสมไอโอดีนมากที่สุดเท่ากับ 34.89 หรือ 40.23 ไมโครกรัม/100 กรัมน้ำหนักสด และการฉีดพ่นไอโอไดด์ที่ระดับความเข้มข้น 10 หรือ 40 มิลลิกรัม/ลิตร ทำให้ผักคะน้าและผักกาดฮ่องเต้มีปริมาณการสะสมไอโอดีนมากที่สุดเท่ากับ 36.23 หรือ 41.56 ไมโครกรัม/100 กรัมน้ำหนักสด ตามลำดับ ซึ่งมีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ กับผักคะน้าและผักกาดฮ่องเต้ในชุดควบคุมที่มีปริมาณไอโอดีนสะสม 31.56 และ 34.89 ไมโครกรัม/100 กรัมน้ำหนักสด
- Itemการจัดการศึกษาศูนย์พัฒนาเด็กเล็กเทศบาลตำบลแม่ปืม อำเภอเมือง จังหวัดพะเยา(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2012) กนกวรรณ ใจเที่ยงการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาสภาพและความต้องการของผู้ปกครอง ต่อการจัดการศึกษาศูนย์พัฒนาเด็กเล็กเทศบาลตำบลแม่ปืม อำเภอเมือง จังหวัดพะเยา ประชากรประกอบด้วย ผู้ปกครองเด็กปฐมวัยในศูนย์พัฒนาเด็กเล็กเทศบาลตำบลแม่ปืม อำเภอเมือง จังหวัดพะเยา ปีการศึกษา 2554 จำนวน 83 คน เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาเป็นแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยหาค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน สรุปผลการศึกษา ได้ดังนี้ สภาพการจัดการศึกษาศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก เทศบาลตำบลแม่ปืม อำเภอเมือง จังหวัดพะเยา ในภาพรวมทุกด้าน พบว่า อยู่ในระดับมาก เรียงลำดับตามค่าเฉลี่ยมากไปหาน้อย ดังนี้ 1) ด้านบริหารจัดการ 2) ด้านวิชาการและกิจกรรมตามหลักสูตร 3) ด้านบุคลากร 4) ด้านอาคารสถานที่ สิ่งแวดล้อมและความปลอดภัย 5) ด้านการมีส่วนร่วมและสนับสนุนจากชุมชน และความต้องการของผู้ปกครองต่อการจัดการศึกษาศูนย์พัฒนาเด็กเล็กเทศบาล ตำบลแม่ปืม อำเภอเมือง จังหวัดพะเยา ในภาพรวมทุกด้าน พบว่า อยู่ในระดับมากที่สุด เรียงลำดับตามค่าเฉลี่ยมากไปหาน้อย ดังนี้ 1) ด้านบริหารจัดการ 2) ด้านการมีส่วนร่วมและสนับสนุนจากชุมชน 3) ด้านบุคลากร 4) ด้านอาคารสถานที่ สิ่งแวดล้อมและความปลอดภัย 5) ด้านวิชาการ และกิจกรรมตามหลักสูตร
- Itemปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรควัณโรคปอดในประชาชนที่เข้ามารับการตรวจวินิจฉัยจากโรงพยาบาลพะเยา อำเภอเมืองพะเยา จังหวัดพะเยา(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2013) กนกวรรณ สมวรรณการศึกษานี้เป็นการศึกษาวิจัยทางระบาดวิทยาเชิงวิเคราะห์ แบบ Case-Control study โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการเกิดวัณโรคปอดในผู้ป่วยที่เข้ามารับการตรวจวินิจฉัยที่แผนกผู้ป่วยนอก (กลุ่มเปรียบเทียบ จำนวน 45 คน) และผู้ป่วยที่ขึ้นทะเบียนรักษาที่คลินิกวัณโรค (กลุ่มศึกษา จำนวน 45 คน) โรงพยาบาลพะเยา ในช่วงวันที่ 1 มกราคม 2555–30 มิถุนายน 2555 เก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยสถิติเชิงพรรณนา Chi-square ผลการศึกษาพบว่า ปัจจัยด้านประชากร คือ ผู้ที่มีรายได้ > 3,500 บาทต่อเดือน และปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม คือ ผู้ที่บ้านเรือนตั้งอยู่ห่างกันลดโอกาส เสี่ยงต่อการเกิดวัณโรคปอด ส่วนปัจจัยเสี่ยงที่มีความสัมพันธ์กับการเกิดวัณโรคปอด ได้แก่ ปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม คือ การทำความสะอาดที่นอน หมอน มุ้ง และเสื้อผ้า < 2 ครั้งต่อสัปดาห์ บ้านข้างเคียงป่วยด้วยวัณโรคปอด และปัจจัยด้านความรู้ คือ ผู้ที่มีระดับความรู้ต่ำมีความสัมพันธ์กับการเกิดวัณโรคปอด อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p value < 0.05)"
- Itemการศึกษาแนวทางการบริหารจัดการระบบประปาชุมชน กรณีศึกษาระบบประปาชุมชนศรีดอนชัย อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2013) กีรติ บุดดีตำบลศรีดอนชัยเป็นอีกตำบลหนึ่งที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาความล้มเหลว ในการบริหารจัดการระบบประปาชุมชน ซึ่งปัญหาเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อวิถีการดำรงชีวิตของประชาชนผู้ใช้น้ำ การศึกษาการบริหารจัดการระบบประปาชุมชนนี้ จึงใช้ข้อมูลด้านรายรับ-รายจ่าย จำนวนครัวเรือนผู้ใช้น้ำ อัตราการใช้น้ำต่อครัวเรือน ต้นทุนต่อหน่วย อัตราค่าบริการ นำมาวิเคราะห์เปรียบเทียบเป็นเปอร์เซ็นต์ โดยนำเสนอในแบบรูปตาราง เพื่อศึกษาหาค่าการดำเนินการที่ควรจะเป็น พบว่า ต้องมีจำนวนผู้ใช้น้ำต่อครัวเรือน 90% ของผู้ใช้น้ำทั้งหมด มีปริมาณการใช้น้ำ 16 ลบ.ม. ขึ้นไปต่อครัวเรือน ค่าบริการน้ำประปา 6-8 บาทต่อหน่วย และมีต้นทุนการผลิต 7-8 ต่อ ลบ.ม. โดยเป็นค่าเฉลี่ยต่อเดือนในแต่ละปี รวมทั้งศึกษาและวิเคราะห์ปัญหาในด้านคน การเงิน เศรษฐกิจชุมชน วัสดุอุปกรณ์ การจัดการ คุณภาพน้ำ ความเพียงพอ และแรงดันของน้ำประปา วัฒนธรรมในการบริโภคน้ำ ปัญหาด้านการประชาสัมพันธ์ การรณรงค์ การออกกฎระเบียบ ข้อบังคับที่จะสามารถสังเคราะห์ผลให้กิจการประปาฟื้นฟูกลับมาใช้งานได้อีกครั้งอย่างยั่งยืน
- Itemภาวะผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษากลุ่มโรงเรียนพญาวัง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาลำปาง เขต 35(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2012) เมทิญา นนท์ศรีการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาพฤติกรรมภาวะผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษา กลุ่มโรงเรียนพญาวัง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาลำปาง เขต 35 ตามการรับรู้ และความคาดหวังของครูผู้สอน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ คือ ครูผู้สอนในกลุ่มโรงเรียนพญาวัง จำนวน 165 คน โดยเครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า (Rating scale) วิเคราะห์ข้อมูลโดยการแจกแจงความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน จากผลการวิจัยพบว่า ครูรับรู้ว่าผู้บริหารสถานศึกษามีพฤติกรรมที่แสดงออกถึงภาวะผู้นำมุ่งงาน อยู่ในระดับมีการปฏิบัติบ่อยครั้ง แต่มีพฤติกรรมที่แสดงออกถึงภาวะผู้นำมุ่งสัมพันธ์ ซึ่งอยู่ในระดับมีการปฏิบัติเป็นครั้งคราว ซึ่งระดับต่ำกว่าความคาดหวัง คือ ผลของความคาดหวังของครูผู้สอนต่อพฤติกรรมของผู้บริหารสถานศึกษา ที่แสดงออกถึงภาวะผู้นำทั้งในด้านมุ่งงาน และมุ่งสัมพันธ์ที่อยู่ในระดับมีการปฏิบัติสม่ำเสมอ และมีการปฏิบัติบ่อยครั้งตามลำดับ