ระดับปริญญาโท (Master Degree)
Permanent URI for this collection
Browse
Browsing ระดับปริญญาโท (Master Degree) by Title
Now showing 1 - 20 of 749
Results Per Page
Sort Options
- Itemกฎหมายเกี่ยวกับหลักประกันทางธุรกิจสำหรับวิสาหกิจขนาดย่อมและขนาดกลาง: กรณีศึกษาเครื่องหมายการค้า(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2019) ชินพงศ์ มณีรัตน์ภายใต้พระราชบัญญัติหลักประกันทางธุรกิจ พ.ศ. 2558 กำหนดให้ผู้ประกอบการสามารถนำทรัพย์สินทางปัญญามาเป็นหลักประกันการชำระหนี้ได้ อย่างไรก็ตามพระราชบัญญัติฉบับดังกล่าว ยังมีข้อบกพร่องเกี่ยวกับหลักเกณฑ์การดำเนินการประเมินมูลค่า และการดำเนินการบังคับชำระหนี้จากทรัพย์สินทางปัญญา บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาแนวทางการประเมินมูลค่าทรัพย์สินทางปัญญารวมถึงการบังคับชำระหนี้จากทรัพย์สินทางปัญญาโดยเฉพาะเครื่องหมายการค้า และสร้างหลักเกณฑ์การประเมินมูลค่าและการบังคับชำระหนี้จากเครื่องหมายการค้า จากการศึกษาเปรียบเทียบกฎหมายหลักประกันการชำระหนี้ และหลักเกณฑ์การประเมินมูลค่าทรัพย์สินทางปัญญาของสาธารณรัฐเกาหลี พบว่า จำต้องใช้วิธีการประยุกต์เพื่อให้ได้มาซึ่งมูลค่าที่แท้จริงของเครื่องหมายการค้า และกฎหมายหลักประกันการชำระหนี้ และการดำเนินการบังคับชำระหนี้จากทรัพย์สินทางปัญญาตาม Uniform Commercial Code Article 9 ของประเทศสหรัฐอเมริกา พบว่า มีการเปิดกว้างของบทบัญญัติในการให้คู่สัญญาเลือกวิธีการบังคับชำระหนี้ได้ โดยเฉพาะส่วนทรัพย์สินทางปัญญา จากการศึกษาพบว่า การประเมินมูลค่าเครื่องหมายการค้าควรใช้การประเมินมูลค่าจากกระบวนการเปรียบเทียบ จากราคาตลาดประกอบกับวิธีการประเมินด้วยวิธีการพิเศษ เพื่อที่จะสะท้อนให้เห็นมูลค่าที่แท้จริงตามท้องตลาดของเครื่องหมายการค้า ในส่วนการบังคับชำระหนี้เครื่องหมายการค้าใช้รูปแบบที่คู่สัญญาในหลักประกันสามารถเลือกวิธีการบังคับชำระหนี้ได้ โดยการประมูลการขายทอดตลาดทั้งหมดหรือบางส่วนของผลิตภัณฑ์ในเครื่องหมายการค้าก็ได้
- Itemกระบวนการกำหนดนโยบายสาธารณะแบบปรึกษาหารือของเทศบาลตำบลศรีถ้อย อำเภอแม่ใจ จังหวัดพะเยา(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2020) รัฐศาสตร์ สันติโชคไพบูลย์การศึกษาเรื่อง กระบวนการกำหนดนโยบายสาธารณะแบบปรึกษาหารือของเทศบาลตำบลศรีถ้อย อำเภอแม่ใจ จังหวัดพะเยา งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อ 1) ศึกษากระบวนการกำหนดนโยบายสาธารณะแบบปรึกษาหารือในพื้นที่ตำบลศรีถ้อย อำเภอแม่ใจ จังหวัดพะเยา 2) ศึกษาผลของการนำนโยบายสาธารณะที่ได้จากกระบวนการแบบปรึกษาหารือ ไปปฏิบัติ ในปี พ.ศ. 2560 - 2562 ของเทศบาลตำบลศรีถ้อย อำเภอแม่ใจ จังหวัดพะเยา โดยการศึกษาในครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) โดยได้คัดเลือกผู้ให้ข้อมูลหลักแบบเจาะจง (Purposive sampling) รวม 45 คน ซึ่งประกอบไปด้วย ผู้นำชุมชน ผู้นำองค์กรในชุมชน ผู้บริหารท้องถิ่น สมาชิกสภาท้องถิ่น และข้าราชการประจำท้องถิ่น เครื่องมือในการศึกษา คือ แบบสัมภาษณ์เชิงลึก การวิเคราะห์ข้อมูลในลักษณะของการพรรณนา ซึ่งนำผลที่ได้จากการสัมภาษณ์เชิงลึก และการศึกษาข้อมูลจากเอกสารมาวิเคราะห์ โดยการนำแนวคิดกระบวนการนโยบายสาธารณะแบบปรึกษาหารือ มาประยุกต์ใช้ เพื่อให้ได้ผลการศึกษาตามวัตถุประสงค์ ดังนี้ ผลการศึกษาตามวัตถุประสงค์ข้อที่ 1 พบว่า การมีส่วนร่วมในเวทีกระบวนการกำหนดนโยบายสาธารณะแบบปรึกษาหารือ โดยมากเป็นการจัดการ การประชุมเพื่อรับฟังปัญหาความต้องการของประชาชน และกำหนดแนวทางการแก้ไขปัญหา หรือตอบสนองความต้องการของประชาชน โดยมีผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่ได้รับเชิญให้เข้าร่วมเวที แต่ละบุคคลมีบทบาท หน้าที่ แตกต่างกันตามองค์กรที่ตนเองสังกัด โดยไม่มีข้อจำกัด ในกระบวนการกำหนดนโยบายสาธารณะแบบปรึกษาหารือ เพื่อนำปัญหาที่ได้ ไปจัดทำเป็นนโยบายของเทศบาลต่อไป และผลวิจัย ตามวัตถุประสงค์ข้อที่ 2 พบว่า กระบวนการกำหนดนโยบายสาธารณะที่ถูกกำหนดขึ้น เมื่อออกแบบเป็นกิจกรรมหรือโครงการขึ้นมา แล้วนำไปปฏิบัติ จะสามารถแก้ไขปัญหาหรือตอบสนองความต้องการของประชาชนได้ ในระดับที่น่าพอใจ เพราะเป็นการนำเสนอปัญหาและความต้องการที่มาจากผู้แทนของประชาชนเข้าร่วมการนำเสนอบนพื้นฐานที่เป็นข้อเท็จจริง ข้อเสนอแนะจากผู้ให้ข้อมูลหลัก เห็นว่ากระบวนการกำหนดนโยบายสาธารณะแบบปรึกษาหารือของเทศบาลตำบลศรีถ้อย เกิดจากการนำเสนอปัญหาและตอบสนองความต้องการในพัฒนาด้านต่าง ๆ ของผู้ที่เกี่ยวข้อง ตามที่ได้ร่วมกันกำหนดขึ้น แต่เมื่อปรับเปลี่ยนไปเป็นโครงการขึ้นมาแล้ว ไม่สามารถดำเนินการได้ทั้งหมดตามที่ได้เสนอไว้ เนื่องจากงบประมาณมีจำกัด ไม่เพียงพอต่อการแก้ไขปัญหาได้ทั้งหมด จึงได้เสนอแนะเพิ่มเติมว่า เมื่อกำหนดนโยบายขึ้นมาแล้ว ควรได้รับการดำเนินการให้เกิดเป็นรูปธรรม หากเทศบาลมีงบประมาณไม่เพียงพอ จำเป็นต้องสรรหางบประมาณจากหน่วยงานอื่นมาสมทบ และเน้นว่าควรให้มีการจัดเวทีเพื่อรับฟังปัญหาหรือความต้องการของประชาชนให้ต่อเนื่อง และอาจเชิญผู้เชี่ยวชาญในด้านต่าง ๆ เข้าร่วมเวทีด้วย เพื่อช่วยเสนอแนะความคิดเพื่อแก้ไขปัญหาที่ครอบคลุม จะได้เกิดแนวทางในการแก้ไขปัญหาได้ครบทุกด้าน
- Itemกลยุทธ์การสื่อสารระหว่างวัฒนธรรมและการปรับตัวทางวัฒนธรรมของนักศึกษาชาวจีนในมหาวิทยาลัยในประเทศไทย: ศึกษากรณีมหาวิทยาลัยราชภัฎเชียงราย(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2021) ธนพัฒน์ วุฒิสารวัฒนาIn the new globalization era, the requirements for internationalization have been driven in different higher educational institutions in order to update academic advancements, as well as to promote intercultural understandings and sustainable human developments. In other words, a variety of internationalizing methods including student and staff exchange, duo study programs, branch campuses, and distance learning can be implicated in all universities. Based on the mixed method, the major purposes of the study aimed to identify intercultural communication strategies used by Chinese students when interacting with Thais in a long-term Thai public university, as well as to investigate the Chinese students' self-adaptation when encountering with their intercultural communication problems in a long-term Thai public university. For research methodology, using interview and questionnaire as a tool, 30 four-year Chinese students majoring in English Studies Program at the Faculty of Humanities, Chiang Rai Rajabhat University in the MOU with Pu'er Teachers' College, Pu'er in Yunnan province of China were selected. The findings of the study revealed that all the aspects of the Chinese students' intercultural communication strategies, with its mean of 2.08 and its standard deviation (x̄) of 0.85, were sometimes used when interacting with Thais in a public Thai university as compared to each aspect, it showed that asking for repetition on the unclear pronunciation or unfamiliar expressions (x̄ = 2.38, S.D. = 1.01) were frequently used, followed by avoiding talking about sensitive issues (x̄ = 2.14, S.D. = 0.91) and using your own language to facilitate the communication (x̄ = 2.14, S.D. = 0.93)., and using the partner's mother tongue to facilitate the communication (x̄ = 2.10, S.D. = 0.93)
- Itemกลยุทธ์วาทศิลป์และการโน้มน้าวทางการเมือง: การวิเคราะห์คำเชื่อมความของพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ในการปราศรัยช่วงก่อนเลือกตั้งปี 2566 ในประเทศไทย(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2024) ไกรวิชญ์ ชินายศThe objectives of this independent study were: 1) to investigate the types of discourse markers (DMs) utilized in Pita Limcharoenrat 2) to analyze the frequencies of discourse markers used, and 3) to explore the intended meanings in four pre-election speeches. Purposive sampling was chosen for the analysis base on 21 types of discourse markers, theoretical framework of Swan (2005). The findings of the study were displayed as follows; 1) 14 of 21 types of discourse markers were utilized by Pita Limcharoenrat's speeches of four election campaigns. 2) The study founded DMs were less employed in shorter speeches than the longer. DMs Concession and Counter Argument had the highest frequency, appearing 19 times, followed by Adding and Logical Consequence which appeared 16 and 14 times, respectively. On the other hand, some categories of DMs, including Similarity, Contradicting, Generalizing, Giving Examples and Persuading were not utilized. 3) The intended meaning of discourse markers was employed to range the structure of contents, contrast and emphasize the ideas, and concede and counter-arguing classified by Swan (2005)
- Itemกลยุทธ์ในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาของพระนักเทศน์ในเขต อำเภอเมืองพะเยา จังหวัดพะเยา(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2019) คมกฤษ เผ่ากันทะการศึกษาเรื่อง กลยุทธ์ในการเผยแผ่ทางพระพุทธศาสนาของนักเทศน์ในเขตอำเภอเมืองพะเยา วัตถุประสงค์ของการศึกษามี 2 ประการ คือ เพื่อศึกษาเทคนิค และวิธีการเผยแผ่พระพุทธศาสนาของนักเทศน์ และเพื่อศึกษาปัญหา และอุปสรรคในการเผยแผ่ทางพระพุทธศาสนาของนักเทศน์ การวิจัยนี้เป็นระเบียบวิจัยเชิงคุณภาพ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษา เป็นพระนักเทศน์ที่มีชื่อเสียงมีคุณสมบัติดังนี้ เป็นพระธรรมทูตที่ผ่านการอบรม และได้รับการแต่งตั้งจากเจ้าคณะจังหวัดพะเยา และมีพรรษา 15 พรรษาขึ้นไป คัดเลือกมาได้ 12 รูป เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้การสัมภาษณ์แบบเจาะลึก (In-depth interviews) ใช้แบบสัมภาษณ์เป็นเครื่องมือการวิเคราะห์ใช้วิธีค้นหาความสัมพันธ์เชิงเหตุและผล (Interactive approach) และสรุปแบบองค์รวม (Holistic approach) ผลจากการศึกษา พบว่า เกี่ยวกับกลยุทธ์การเผยแผ่ของพระนักเทศน์ มีดังนี้ คือ 1) ให้ความสำคัญกับผู้ฟัง 2) จัดเตรียมเนื้อหาที่สอดคล้องกับผู้ฟัง 3) การพัฒนาตนเอง 4) แรงบันดาลใจ 5) การมีภูมิหลังปัญหาและอุปสรรคของการเผยแผ่ ได้แก่ พระนักเทศน์เป็นผู้สูงอายุไม่มีความถนัดในการใช้สื่อที่ทันสมัยและมีภาระงาน งานบริหารและงานในวัด ปัญหาเกี่ยวกับผู้ฟังไม่ค่อยสนใจทางด้านธรรม และมักจะเป็นผู้ที่ถูกเกณฑ์มาฟัง ข้อจำกัดเกี่ยวกับงบประมาณการจัดสรรสถานที่และพาหนะ
- Itemกลวิธีการแปลนิยาย พ่อมดแห่งออซ จากภาษาอังกฤษเป็นภาษาไทย(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2022) พชรกฤต นาระทะThe objectives of this study were to analyze the translation strategies from the English Language to the Thai Language in the Novel 'The Wizard of Oz' by using Baker's taxonomy as a framework to categorize and divide the translations into eight strategies. The findings showed that seven of eight Baker's translation strategies were found in the novel which was translated by cultural substitution, translation by a more general word, translation by a more neutral/less expressive word, translation using a loan word or loan word plus explanation, translation by omission using related words, translation by paraphrasing using related words, and translation by paraphrasing using unrelated words. The frequency of translation strategies used showed that translation by cultural substitution (57.07%) was the mostly found in translation and translation by paraphrasing using unrelated words (0.69%) was the least finding in translation but one of strategy that was not found in translation was translation by illustration
- Itemกลวิธีทางภาษาที่สื่อถึงอุดมการณ์ในหนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐานภาษาไทยชุดภาษาไทยเพื่อชีวิตภาษาพาที ระดับชั้นประถมศึกษาตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ.2551(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2022) อัญสุรีย์ เทพสุธรรมงานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อวิเคราะห์กลวิธีทางภาษาที่สื่อถึงอุดมการณ์ในหนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐานภาษาไทย และเพื่อวิเคราะห์อุดมการณ์ที่ปรากฎในหนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐานภาษาไทย ชุดภาษาเพื่อชีวิตภาษาพาที ระดับชั้นประถมศึกษา ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2551 ด้วยกรอบแนวคิดวาทกรรมวิเคราะห์เชิงวิพากษ์ (Critical Discourse Analysis) ของ นอร์แมน แฟร์คลัฟ (Norman Fiarclough) โดยการนำเสนอแบบพรรณนาวิเคราะห์ ผลการวิเคราะห์กลวิธีทางภาษาที่สื่อถึงอุดมการณ์ในหนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐานภาษาไทย พบกลวิธีทางภาษาที่ใช้ในการถ่ายทอดอุดมการณ์ให้แก่เด็ก ประกอบด้วยกลวิธีทางภาษา 7 กลวิธี ได้แก่ กลวิธีการเลือกใช้คำศัพท์ กลวิธีการใช้คำแสดงทัศนภาวะ กลวิธีการอ้างส่วนใหญ่ กลวิธีการใช้ประโยคแสดงเหตุผล กลวิธีการใช้วาทศิลป์ กลวิธีการใช้เสียงที่หลากหลาย และกลวิธีการตั้งชื่อเรื่อง ส่วนการวิเคราะห์อุดมการณ์ที่ปรากฏในหนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐานภาษาไทย พบอุดมกรณ์เด็กดี และอุดมการณ์เด็กไม่ดี กล่าวคือ อุดมการณ์เด็กดี จะมีลักษณะเป็นบุคคลที่พึงประสงค์ โดยมีลักษณะพฤติกรรม ความคิด ความเชื่อ การกระทำในทางที่ดี 5 ด้าน ได้แก่ ด้านความกตัญญูรู้คุณ ด้านความขยันหมั่นเพียรตั้งใจศึกษาเล่าเรียน ด้านการมีน้ำใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ด้านความซื่อสัตย์สุจริต และด้านการรู้จักประหยัดอดออม ส่วนอุดมการณ์เด็กไม่ดีเป็นลักษณะของบุคคลที่ไม่พึงประสงค์ โดยมีลักษณะพฤติกรรมในด้านไม่ดี 4 ด้าน ได้แก่ ด้านพฤติกรรมลักขโมย ด้านพฤติกรรมเกี่ยวข้องกับยาเสพติด ด้านพฤติกรรมไม่ตั้งใจเรียน และด้านพฤติกรรมก้าวร้าวไม่เชื่อฟัง
- Itemการกำจัดสารเมทิลีนบลูด้วยกระบวนการโฟโตคะตะไลติกโดยใช้แผ่นฟิล์ม TiO2/PLA(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2019) สุปรีดา หอมกลิ่นงานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาปริมาณสัดส่วนไททาเนียมไดออกไซด์ (TiO2) ในแผ่นฟิล์มพอลิแลคติคแอซิด (PLA) ที่เหมาะสม ศึกษาจลนพลหศาสตร์ของการย่อยสลายสารเมทิลีนบลู ด้วยกระบวนการโฟโตคะตะไลติก โดยใช้แผ่นฟิล์ม TiO2/PLA และศึกษาสภาวะที่เหมาะสมในการบำบัดสารเมทิลีนบลู ด้วยกระบวนการโฟโตคะตะไลติก โดยใช้แผ่นฟิล์ม TiO2/PLA ด้วยวิธีการฟื้นผิวตอบสนอง แผ่นฟิล์ม TiO2/PLA ที่มีความเข้มข้นของ TiO2 เท่ากับ 0 (F0), 1 (F1), 3 (F2) และ 5 (F3)% (w/w) ทำงานร่วมกับแสง UVC ผลการศึกษาพบว่า สัดส่วนที่เหมาะสมของ TiO2 ในแผ่นฟิล์มอยู่ที่ 3% (w/w) (แผ่นฟิล์ม F2) สามารถกำจัดสาร MB ได้ 50% ภายในระยะเวลา 60 นาที และย่อยสลายอย่างสมบูรณ์ได้ 35% โดยมีอัตราการเกิดปฏิกิริยาเป็นไป pseudo-first order และมีค่าคงที่อัตราการเกิดปฏิกิริยาที่ 11.0 x 10-3 นาที-1 ในการศึกษาสภาวะที่เหมาะสมของปัจจัยที่มีผลต่อประสิทธิภาพการบำบัดสารเมทิลีนบลู ทั้ง 3 ปัจจัย (ความเข้มข้นเริ่มต้นของสารเมทิลีนบลู จำนวนแผ่นฟิล์ม และ pH) ด้วยวิธีพื้นผิวตอบสนอง พบว่า ได้ค่าสัมประสิทธิ์การตัดสินใจ (R-sq) เท่ากับ 98% นอกจากนี้ยังพบว่า สภาวะ pH ที่เป็นด่างสามารถบำบัดสารเมทิลีนบลู ได้ดีกว่าสภาวะอื่น ส่วนจำนวนแผ่นฟิล์มที่น้อย หรือมากเกินไปจะทำให้ประสิทธิภาพการบำบัดสารเมทิลีนบลูลดลง และความเข้มข้นของสารเมทิลีนบลูที่มากกว่า 0.2 มิลลิกรัม/ลิตร จะมีประสิทธิภาพในการบำบัดลดลง สภาวะที่เหมาะสมมากที่สุดของทั้ง 3 ปัจจัย คือ มีค่าความเข้มข้นเริ่มต้นของสารเมทิลีนบลู (X1) จำนวนแผ่นฟิล์ม TiO2/PLA (X2) และ pH (X3) เท่ากับ 0.2 มิลลิกรัม/ลิตร 3 แผ่น และ pH เท่ากับ 8.43 ตามลำดับ สภาวะดังกล่าวสามารถบำบัดสารเมทิลีนบลูได้ 80% ภายในระยะเวลาการทำปฏิกิริยาแบบมีแสง UVC 90 นาที
- Itemการก้าวเข้าสู่ความสำเร็จของธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2019) เพ็ญพิชชา ศรทรงการศึกษานี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อวิเคราะห์วงจรธุรกิจค้นหาปัจจัยปฏิบัติที่ดีสำหรับธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม การศึกษานี้เป็นการวิจัยเชิงผสมผสานระหว่างการวิจัยเชิงปริมาณและการวิจัยเชิงคุณภาพ ด้วยการวิเคราะห์เอกสารรายงานทางการเงิน จำนวน 137 บริษัท การวิเคราะห์ใจความสำคัญจากสัมภาษณ์ผู้บริหารแบบมีโครงสร้าง จำนวน 4 ท่าน และการวิเคราะห์องค์ประกอบ การวิเคราะห์สหสัมพันธ์ การวิเคราะห์การถดถอยพหุจากแบบสอบถาม จำนวน 32 บริษัท จากการวิเคราะห์พบว่า บริษัทในตลาดหลักทรัพย์ MAI ส่วนใหญ่อยู่ในขั้นการดำรงอยู่ที่กำลังก้าวเข้าสู่ขั้นความสำเร็จ ซึ่งบริษัทส่วนใหญ่เริ่มเป็นที่รู้จักในตลาด มีการสร้างเสถียรภาพในด้านการตลาด ลักษณะส่วนบุคคลของผู้บริหาร ภาวะผู้นำ และกลยุทธ์และสภาพแวดล้อมภายนอก เป็นปัจจัยที่นำไปสู่ความสำเร็จโดยบริษัทส่วนใหญ่ใช้กำไรสุทธิ อัตราการเติบโตของยอดขาย อัตราเติบโตของรายได้รวม และกำไรขั้นต้นเป็นตัวชี้วัดความสำเร็จ สำหรับแนวทางปฏิบัติที่ดีนั้น ผู้ประกอบการควรมีการสั่งสมประสบการณ์องค์ความรู้ด้านบริหารธุรกิจ และมีกระบวนการแก้ไขปัญหาอย่างมีประสิทธิภาพ โดยผู้ประกอบการควรเลือกใช้กลยุทธ์ให้เหมาะสมกับสภาพของธุรกิจ และนำเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาใช้กับผลิตภัณฑ์ การบริการ และกระบวนการบริหารจัดการ
- Itemการควบคุมโรคเหี่ยวของเมล่อนโดยใช้ราเอนโดไฟท์และสารปรับปรุงดิน(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2019) ภาณุเดช เทียนชัยงานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาผลของราเอนโดไฟท์ Trichoderma sp. (L1I3) ที่แยกได้จากพืชสมุนไพรต้นสาบเสือ (Chromolaena odorata L.) และ T. harzianum (R24I2) ที่แยกได้จากพืชตระกูลแตงร่วมกับสารปรับปรุงดินในการควบคุมโรคเหี่ยวของเมล่อน ในการทดลองที่ 1 การทดสอบประสิทธิภาพสารปรับปรุงดินต่อการเจริญของราเอนโดไฟท์บนอาหาร PDA พบว่า สารปรับปรุงดินทุกระดับความเข้มข้นไม่มีผลต่อการเจริญของราเอนโดไฟท์ทั้งสองชนิด การทดลองที่ 2 การทดสอบความสามารถในการเกิดโรค พบว่า ราเอนโดไฟท์ทั้ง 2 สายพันธุ์ ได้แก่ Trichoderma sp. (L1I3) และ T. harzianum (R24I2) ไม่ก่อให้เกิดโรคในเมล่อน ในขณะที่ทดสอบความสามารถในการเกิดโรคของรา Fusarium equiseti (UP-PA002) พบว่า มีการเกิดโรคในระยะเมล็ดอยู่ในดิน 54 เปอร์เซ็นต์ การทดลองที่ 3 การทดสอบผลของราเอนโดไฟท์ Trichoderma sp. (L1I3) และ T. harzianum (R24I2) ต่อยับยั้งรา F. equiseti (UP-PA002) โดยวิธี dual culture พบว่า มีเปอร์เซ็นต์การยับยั้ง เท่ากับ 84.16 และ 80.88 เปอร์เซ็นต์ ตามลำดับ การทดลองที่ 4 การทดสอบผลของราเอนโดไฟท์ในการควบคุมโรคเหี่ยวในระดับโรงเรือน พบว่า กรรมวิธีที่ปลูกเชื้อ Trichoderma sp. (L1I3) มีจำนวนใบ จำนวนข้อ ความสูง และน้ำหนักผล มากที่สุด และมีคะแนนการเกิด โรคเฉลี่ยระดับ 1.00 การทดลองที่ 5 การทดสอบประสิทธิภาพของสารป้องกันกำจัดเชื้อราต่อการยับยั้งการเจริญของรา F. equiseti (UP-PA002) ในระดับห้องปฏิบัติการ พบว่า สาร etridiazole ร่วมกับ quintozene ที่ระดับความเข้มข้นตามคำแนะนำในฉลาก (normal dose) สามารถยังยั้งการเจริญของรา F. equiseti (UP-PA002) สาเหตุโรคเหี่ยวในเมล่อนได้สูงสุด 100 เปอร์เซ็นต์ การทดลองสุดท้าย เป็นการทดสอบใช้ราเอนโดไฟท์ร่วมกับสารปรับปรุงดินควบคุมโรคเหี่ยวของเมล่อนในระดับแปลงทดลอง พบว่า การใช้สารปรับปรุงดิน อัตรา 2 ลิตรต่อไร่ ร่วมกับราเอนโดไฟท์ (Trichoderma sp. L1I3) มีจำนวนใบ จำนวนข้อ และความสูงมากที่สุดและไม่มีการเกิดโรค
- Itemการคัดเลือกแบคทีเรียในการปรับปรุงคุณภาพดินในการผลิตลำไย(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2020) กัลยวรรธน์ อินถาการศึกษานี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อคัดเลือกเชื้อแบคทีเรียที่มีคุณสมบัติการปรับปรุงดินในการผลิตลำไย โดยทำการทดสอบคุณสมบัติทางเคมีของดิน และทดสอบคุณสมบัติทางกายภาพของดินทั้งก่อน และหลังการประยุกต์ใช้แบคทีเรีย โดยใช้อาหารแข็งทั้งหมด 7 ชนิด เพื่อคัดเลือกแบคทีเรียที่มีคุณสมบัติในการละลายฟอสเฟต พบ แบคทีเรีย 3 ไอโซเลท ได้แก่ SBP04, SBP109 และ SBP115 ที่สามารถสร้างวงใสรอบโคโลนี (Holo colony ratio) บนอาหาร Pkovskaya'agar นำแบคทีเรียไอโซเลท SBP04 ที่คัดเลือกได้ซึ่งมีการสร้างวงใสรอบโคโลนีสูงที่สุดบนอาหาร Pikovskaya'agar ที่ค่า 1.92 : 0.01 จากนั้นนำแบคทีเรียไอโซเลท SBP04 มาทดสอบคุณสมบัติในการละลายฟอสเฟตในอาหารเหลว พบ แบคทีเรียไอโซเลท SBP04 แสดงค่าคุณสมบัติในการละลายฟอสฟอรัสได้สูงที่สุดที่ 90.12 + 0.69 มิลลิกรัมฟอสเฟตต่อลิตร เมื่อทำการเปรียบเทียบกับชุดควบคุม และทำการศึกษาคุณสมบัติทางชีวเคมี และคุณสมบัติทางชีวโมเลกุลของแบคทีเรียไอโซเลท SBP04 พบว่า แบคทีเรียไอโซเลท SBP04 มีความคล้ายคลึงกับเชื้อแบคทีเรีย Bailluis subtilils โดยมีค่า 99 เปอร์เซ็นต์ เมื่อนำเชื้อแบคทีเรีย Bacillus subtis (SBPO4) มาทำการทดสอบในสภาวะกระถางและสภาวะสภาพแปลงปลูก พบว่า การทดลองที่มีการประยุกต์ใช้แบคทีเรีย Baillus subtilis (SBP04) ผสมกับปุ๋ยชีวภาพ แสดงค่าความสามารถในการเพิ่มปริมาณความเป็นกรด - ด่าง ปริมาณอินทรียวัตถุ ปริมาณฟอสฟอรัสที่เป็นประโยชน์ และปริมาณโพแทสเซียมที่แลกเปลี่ยนได้ภายในดินซึ่งแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ
- Itemการคัดเลือกและพัฒนาเชื้อพันธุกรรมข้าวโพดสัตว์ที่มีศักยภาพในการปรับตัวเพื่อความสามารถในการพัฒนาเป็นพันธุ์ลูกผสมบนพื้นที่สูง(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2017) กิตติกร นามวงค์โครงการปรับปรุงพันธุ์ข้าวโพด มหาวิทยาลัยพะเยา มีวัตถุประสงค์พัฒนาสายพันธุ์แท้ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ เพื่อสร้างพันธุ์ลูกผสม ที่มีศักยภาพและการปรับตัวได้ดีบนพื้นที่สูง จากการใช้เชื้อพันธุกรรม จำนวน 89 สายพันธุ์ คัดเลือกลักษณะทางเกษตรที่ดี จนได้สายพันธุ์แท้ที่ดี จำนวน 12 สายพันธุ์ พบว่า มีลักษณะความแข็งแรงต้นกล้า และระดับความแข็งแรงต้นดีมาก มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 5 ขณะที่วันสลัดละอองเกสร และวันออกไหม 50 เปอร์เซ็นต์ มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 58 วัน คะแนนการหักล้มอยู่ในระดับแเข็งแรงปานกลาง มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4 สำหรับลักษณะทรงต้นและตำแหน่งฝัก มีความสม่ำเสมอปานกลาง มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 3 จากนั้นทำการผสมระหว่างสายพันธุ์ เพื่อสร้างลูกผสมเบื้องต้น และทำการปลูกทดสอบผลผลิตในปลายฤดูฝน (2014L) พบว่า พันธุ์ลูกผสม UPFC14 ให้มีค่าเฉลี่ยสูงสุดเท่ากับ 2,422 กิโลกรัมต่อไร่ ขณะที่พันธุ์เปรียบเทียบ P4199 เท่ากับ 2,124 กิโลกรัมต่อไร่ สำหรับต้นฤดูฝน (2015E) ทำการคัดเลือกพันธุ์ลูกผสมที่ให้ผลผลิตสูงกว่าพันธุ์เปรียบเทียบ จำนวน 5 คู่ผสมจากปลายฤดูฝน (2014L) ปลูกทดสอบผลผลิตเบื้องต้น พบว่า พันธุ์ลูกผสม UPFC11 ให้ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 1,804 กิโลกรัมต่อไร่ ขณะที่พันธุ์เปรียบเทียบ P4546 ให้ค่าเฉลี่ยสูงกว่าเท่ากับ 1,966 กิโลกรัมต่อไร่ จึงทำการสร้างพันธุ์ลูกผสมใหม่ 2 วิธี คือ Topcross และ Diallel cross ทำการปลูกทดสอบในฤดูแล้ง (2016D) พบว่า พันธุ์ลูกผสม UPF04 x Ki48 ให้มีคำเฉลี่ยสูงสุดเท่ากับ 2,207 กิโลกรัมต่อไร่ ขณะที่พันธุ์เปรียบเทียบ DK8868 ให้ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 2,013 กิโลกรัมต่อไร่ สำหรับการทดสอบหาค่าสมรรถนะการรวมตัวทั่วไป วิธีการ Topcross พบว่า สายพันธุ์ UPF22 ให้ค่าสูงที่สุด ขณะที่วิธีการ Diallel cross พบว่า สายพันธุ์ UPFO7 มีค่าสูงที่สุด ในส่วนของค่าสมรรถนะการรวมตัวเฉพาะ วิธีการ Topcross พบว่า พันธุ์ลูกผสม UPF02 x Ki60 ให้ค่าสูงสุด และวิธีการ Diallel cross พบว่า พันธุ์ลูกผสม UPF07 x UPF02 ให้ค่าสูงสุด
- Itemการจัดการขยะแบบมีส่วนร่วมของชุมชนวัดน้ำผึ้งชาวไร่อ้อย ตำบลศาลา อำเภอเกาะคา จังหวัดลำปาง(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2020) ณัฐภัทร โพติ๊ดพันธุ์การศึกษาเรื่อง การจัดการขยะแบบมีส่วนร่วมของชุมชนวัดน้ำผึ้งชาวไร่อ้อย ตำบลศาลา อำเภอเกาะคา จังหวัดลำปาง มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาปัจจัยการจัดการขยะแบบมีส่วนร่วมของชุมชนวัดน้ำผึ้งชาวไร่อ้อย 2) ศึกษาปัญหา และอุปสรรคในการจัดการขยะของชุมชนวัดน้ำผึ้งชาวไร่อ้อย 3) เสนอแนะแนวทางการจัดการขยะแบบมีส่วนร่วมไปใช้ประโยชน์ในพื้นที่อื่น ใช้ระเบียบวิธีวิจัยแบบผสม (Mix methods research) ประกอบด้วยการวิจัยเชิงปริมาณ ประชากรที่ใช้ในการศึกษา คือ ประชาชนที่อาศัยในเขตพื้นที่ตำบลศาลา ตำบลเกาะคา ตำบลท่าผา อำเภอเกาะคา จังหวัดลำปาง จำนวน 5,030 คน กำหนดกลุ่มตัวอย่างโดยหลักการคำนวณของ Taro Yamane ที่ระดับความเชื่อมั่น 95% ได้กลุ่มตัวอย่าง 370 คน สำหรับการวิจัยเชิงคุณภาพกำหนดกลุ่มผู้ให้ข้อมูลสำคัญแบบเจาะจง จำนวน 4 คน ได้แก่ นายกเทศมนตรีเทศบาลตำบลเกาะคา รองปลัดเทศบาลตำบลเกาะคา เจ้าอาวาสวัดน้ำผึ้งชาวไร่อ้อย และประธานกลุ่มกิจกรรมการจัดการขยะ เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา ได้แก่ แบบสอบถามปลายปิดและปลายเปิด แบบสัมภาษณ์เชิงลึกแบบกึ่งมีโครงสร้าง การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์เนื้อหา (Content Analysis) ผลการวิจัย พบว่า การจัดการขยะแบบมีส่วนร่วมของชุมชนวัดน้ำผึ้งชาวไร่อ้อย ตำบลศาลา อำเภอเกาะคา จังหวัดลำปางมีปัจจัยของการจัดการขยะแบบมีส่วนร่วมประกอบด้วย ปัจจัยด้านความรู้เกี่ยวกับการจัดการขยะ ซึ่งกลุ่มตัวอย่างมีความรู้ ความเข้าใจในเรื่องการบริหารจัดการขยะอยู่ในระดับมากที่สุด (84.48%) และปัจจัยด้านการมีส่วนร่วมในการจัดการขยะ มีระดับการมีส่วนร่วมในการจัดการขยะอยู่ในระดับมาก โดยแยกเป็นรายข้อ ดังนี้ 1) มีส่วนร่วมในการค้นหาปัญหา (ค่าเฉลี่ย 4.2) 2) มีส่วนร่วมในการวางแผน (ค่าเฉลี่ย 3.90) 3) มีส่วนร่วมในการติดตามแผน (ค่าเฉลี่ย 3.91) 4) มีส่วนร่วมในการรับประโยชน์ (ค่าเฉลี่ย 3.56) 2.5) มีส่วนร่วมในการติดตาม และประเมินผล (ค่าเฉลี่ย 3.28) ปัญหาและอุปสรรคในการจัดการขยะของชุมชน ได้แก่ การคัดแยกขยะทำได้ไม่ดีพอ ต้องการให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการคัดแยกขยะมากขึ้น และต้องการให้ประชาชนช่วยกันคัดแยกขยะก่อนทิ้ง เริ่มตั้งแต่ที่บ้านตัวเองก่อน เพื่อเป็นการลดปริมาณขยะต้นทาง และเป็นวิธีการลดปริมาณขยะที่ได้ผลดีที่สุด สำหรับแนวทางในการจัดการขยะแบบมีส่วนร่วมของชุมชนวัดน้ำผึ้งชาวไร่อ้อย ตำบลศาลา อำเภอเกาะคา จังหวัดลำปาง คือ การสร้างให้เกิดการเรียนรู้ร่วมกันของประชาชนในชุมชน และเกิดความตระหนักร่วมว่า ขยะเป็นปัญหาสาธารณะ ทำให้เกิดเป็นชุมชนที่เข้มแข็ง และสร้างการมีส่วนร่วมผ่านจิตสำนึกสาธารณะของคนในชุมชน โดยให้คนในชุมชนมีส่วนเกี่ยวข้องโดยสมัครใจในทุกกิจกรรมทุกขั้นตอน
- Itemการจัดการความขัดแย้งของผู้บริหารสถานศึกษาในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาเชียงราย เขต 3(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2021) สรายุทธ วีระวงค์การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาความขัดแย้งในสถานศึกษา ในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงราย เขต 3 และเพื่อศึกษาการจัดการความขัดแย้งของผู้บริหารสถานศึกษา ในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงราย เขต 3 และกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษาและครูในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงราย เขต 3 ปีการศึกษา 2563 จำนวน 438 คน แยกเป็นผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 103 คน และครูในสถานศึกษา จำนวน 335 คน ด้วยวิธีการสุ่มเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้นตามอำเภอ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยแบ่งออกเป็น 3 ตอน ประกอบด้วย ตอนที่ 1 เป็นแบบสอบถามข้อมูลของผู้ตอบแบบสอบถาม เป็นแบบตรวจรายการ (Check List) ตอนที่ 2 เป็นแบบสอบถามเกี่ยวกับความขัดแย้งในสถานศึกษา ในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงราย เขต 3 และตอนที่ 3 เป็นแบบสอบถามเกี่ยวกับการจัดการความขัดแย้งของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงรายเขต 3 การวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์ค่า T-test สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการศึกษาพบว่า 1) ความขัดแย้งในสถานศึกษาในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงรายเขต 3 โดยภาพรวม อยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ทุกข้อมีความคิดเห็นอยู่ในระดับมาก โดยด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ด้านความขัดแย้งของบทบาท และด้านความขัดแย้งของเป้าหมาย รองลงมา คือ ด้านความขัดแย้งของปกติวิสัย และด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือ ด้านความขัดแย้งของบุคลิกภาพ 2) การจัดการความขัดแย้งของผู้บริหารสถานศึกษา ในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงรายเขต 3 โดยภาพรวม อยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านที่มีความคิดเห็นอยู่ในระดับมาก ได้แก่ ด้านการเอาชนะ ด้านการร่วมมือ ด้านการประนีประนอม ด้านการหลีกเลี่ยง ด้านการยอมให้ และด้านการเผชิญหน้า และด้านที่มีความคิดเห็นอยู่ในระดับปานกลาง ได้แก่ ด้านการถอนตัว และด้านการใช้อำนาจ โดยด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ด้านการร่วมมือ รองลงมา คือ ด้านการประนีประนอม และด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือ ด้านการใช้อำนาจ
- Itemการจัดการความรู้ในการนำนโยบายศีล 5 ไปปฏิบัติ ศึกษากรณี ตำบลโรงช้าง อำเภอป่าแดด จังหวัดเชียงราย(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2019) ประจักษ์ มาฟูการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษากระบวนการ การจัดการความรู้ในการนำนโยบายศีล 5 ไปปฏิบัติ ในตำบลโรงช้าง อำเภอป่าแดด จังหวัดเชียงราย และเพื่อศึกษาปัญหา แนวทางแก้ไขกระบวนการ การจัดการความรู้ในการนำนโยบายศีล 5 ไปปฏิบัติ ในตำบลโรงช้าง อำเภอป่าแดด จังหวัดเชียงราย เก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ในการพรรณนาข้อมูล โดยเก็บแบบสอบถามจากกลุ่มตัวอย่าง 369 คน จากจำนวนประชากรในการวิจัย 4,760 คน ผลการศึกษา ข้อมูลของผู้ใช้ข้อมูลส่วนบุคคลด้านเพศ พบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นเพศชาย ร้อยละ 26.02 ประกอบอาชีพรับจ้าง คิดเป็นร้อยละ 22.22 มีรายได้ต่ำกว่า 10,000 คิดเป็นร้อยละ 41.46 มีสถานภาพสมรส คิดเป็นร้อยละ 56.37 สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี คิดเป็นร้อยละ 26.29 ผลการศึกษา สภาพการดำเนินงานกระบวนการ การจัดการความรู้ในการนำนโยบายศีล 5 ไปปฏิบัติ ในภาพรวม สภาพการดำเนินงานกระบวนการ การจัดการความรู้ในการนำนโยบายศีล 5 ไปปฏิบัติ ในตำบลโรงช้าง อำเภอป่าแดด จังหวัดเชียงราย โดยรวมอยู่ในระดับมาก ส่วนด้านที่มีระดับสภาพการดำเนินงานกระบวนการ การจัดการความรู้ในการนำนโยบายศีล 5 ไปปฏิบัติสูงสุด คือ ด้านการประมวลผล และกลั่นกรองความรู้ รองลงมา ด้านการบ่งชี้ความรู้ และด้านที่มีระดับสภาพภาวะผู้นำการพัฒนาชุมชนของผู้นำชุมชน น้อยที่สุด คือ ด้านการเข้าถึงความรู้
- Itemการจัดการทรัพยากรมนุษย์ในยุคดิจิทัล : กรณีศึกษาองค์การบริหารส่วนตำบลป่าซาง อำเภอดอกคำใต้ จังหวัดพะเยา(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2022) ทิพย์วิมล มั่งมูลการศึกษาในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อรวบรวมอุปสรรคและปัญหา และนำไปสู่การนำเสนอแนวทางการจัดการทรัพยากรมนุษย์ในยุคดิจิทัลขององค์กรบริหารส่วนตำบลป่าซาง อำเภอดอกคำใต้ จังหวัดพะเยา ซึ่งดำเนินการศึกษาโดยการวิจัยเชิงคุณภาพ และกำหนดกลุ่มผู้ให้ข้อมูลหลักทั้งหมด 22 คน เก็บรวบรวมข้อมูล ผ่านเครื่องมือแบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้าง ผลการศึกษาพบว่า อุปสรรคและปัญหาในการจัดการทรัพยากรมนุษย์ ในยุคดิจิทัลขององค์การบริหารส่วนตำบลป่าซาง มี 4 ข้อ ได้แก่ 1) แผนการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ขององค์กร ยังไม่ครอบคลุมด้านเทคโนโลยี 2) ศักยภาพด้านเทคโนโลยีขององค์กรมีจำกัด 3) ความสามารถด้านเทคโนโลยี ของบุคลากรมีน้อย 4 ทัศนคติของบุคลากรที่มีต่อเทคโนโลยีมีความแตกต่างกัน จากอุปสรรคและปัญหาที่พบ สามารถนำมาพัฒนาเป็นแนวทางการจัดการทรัพยากรมนุษย์ในยุคดิจิทัลขององค์กร ได้ดังนี้ 1) การรวบรวมข้อมูลเพื่อจัดทำแผนงานพัฒนาทรัพยากรมนุษย์อย่างมีประสิทธิภาพ และติดตามผลการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง 2) การจัดสรรงบประมาณด้านเทคโนโลยีไว้ในข้อบัญญัติอย่างชัดเจน 3) การส่งเสริมพัฒนาบุคลากรให้มีความรู้ด้านการใช้เทคโนโลยีอย่างสม่ำเสมอ 4) การจัดทำการประเมินผลด้านเทคโนโลยีและทัศนคติที่มีต่อเทคโนโลยีแก่บุคลากรพร้อมทั้งนำข้อบกพร่องมาดำเนินการปรับปรุงให้ดียิ่งขึ้น
- Itemการจัดการศึกษาแบบเรียนรวมตามโครงสร้างซีท (SEAT Framework) ในโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพะเยา เขต 2(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2022) พนิดา บุญยศยิ่งการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาสภาพการจัดการศึกษาแบบเรียนรวมตามโครงสร้างซีท (SEAT Framework) และเพื่อศึกษาแนวทางการพัฒนาการจัดการศึกษาแบบเรียนรวม ตามโครงสร้างในโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพะเยา เขต 2 ตามความคิดเห็นของผู้บริหารสถานศึกษา กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา 28 คน ครูผู้สอน 236 คน และครูพี่เลี้ยงเด็กพิการ 10 คน รวมทั้งหมด 274 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามและแบบสัมภาษณ์ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าความเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า 1) สภาพการจัดการศึกษาแบบเรียนรวมตามโครงสร้างซีท ในโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพะเยา เขต 2 โดยรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยเรียงลำดับจากมากไปหาน้อย ได้แก่ ด้านเครื่องมือ รองลงมา คือ ด้านสภาพแวดล้อม ด้านกิจกรรมการเรียนการสอน และด้านนักเรียน ตามลำดับ 2) แนวทางการพัฒนาการจัดการศึกษาแบบเรียนรวมตามโครงสร้างซีท ในโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพะเยา เขต 2 ด้านนักเรียน ได้แก่ ส่งเสริมการพัฒนาศักยภาพของนักเรียนทั้งในด้านร่างกาย อารมณ์ สังคม และสติปัญญา และจัดกิจกรรมให้นักเรียนได้เรียนรู้นอกสถานที่ ด้านสภาพแวดล้อม ได้แก่ สนับสนุนอุปกรณ์ สื่อการเรียนการสอน สิ่งอำนวยความสะดวก และแหล่งเรียนรู้ให้กับนักเรียนอย่างเพียงพอ และเหมาะสมกับสภาพของแต่ละบุคคล ด้านกิจกรรมการเรียนการสอน ได้แก่ ส่งเสริมการพัฒนาและบริหารหลักสูตรนักเรียนพิการเรียนรวมโดยเฉพาะ และด้านเครื่องมือ ได้แก่ การกำหนดให้การจัดการศึกษาแบบเรียนรวมให้อยู่ในนโยบาย วิสัยทัศน์ พันธกิจของสถานศึกษาให้ชัดเจน
- Itemการจัดการสารสนเทศโรงอุตสาหกรรมสุรากลั่นขนาดเล็ก สำนักงานสรรพสามิตพื้นที่พะเยา(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2023) ศิวปรียา ประเสริฐสังข์การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อ 1) วิเคราะห์และออกแบบระบบการจัดการสารสนเทศโรงอุตสาหกรรมสุรากลั่นขนาดเล็ก สำนักงานสรรพสามิตพื้นที่พะเยา และ 2) ประเมินคุณภาพของระบบการจัดการสารสนเทศโรงอุตสาหกรรมสุรากลั่นขนาดเล็ก สำนักงานสรรพสามิตพื้นที่พะเยา ผลการวิจัยพบว่า 1) ระบบการจัดการสารสนเทศโรงอุตสาหกรรมสุรากลั่นขนาดเล็ก สำนักงานสรรพสามิตพื้นที่พะเยา มีการนำเข้าข้อมูล 3 ตาราง การจัดการข้อมูล จัดทำแผนที่แสดงพิกัดที่ตั้งของโรงอุตสาหกรรม รายงานการชำระภาษีรายโรงอุตสาหกรรม จำนวน 2 กราฟ และ 3 ตาราง รายงานโรงอุตสาหกรรมที่ไม่ได้ชำระภาษี และรายงานการตรวจเยี่ยมโรงอุตสาหกรรม และ 2) ผลการประเมินคุณภาพของระบบการจัดการสารสนเทศโรงอุตสาหกรรมสุรากลั่นขนาดเล็ก สำนักงานสรรพสามิตพื้นที่พะเยา ด้านการอำนวยความสะดวกอยู่ในระดับดีมาก (ค่าเฉลี่ย 4.58 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 0.61) ด้านความเข้าใจง่ายในการแสดงผลข้อมูลอยู่ในระดับดี (ค่าเฉลี่ย 4.50 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 0.71) ด้านประโยชน์ต่อการบริหารงานอยู่ในระดับดี (ค่าเฉลี่ย 4.42 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 0.78) และคุณภาพโดยรวมทุกด้านอยู่ในระดับดี (ค่าเฉลี่ย 4.50 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 0.70)
- Itemการจัดการเรียนรู้โดยใช้กลวิธีแบบโฟร์บล็อกร่วมกับเทคนิค 5W1H เพื่อเสริมสร้างความสามารถในการอ่านจับใจความสำคัญและการเขียนสรุปใจความสำคัญภาษาอังกฤษสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2022) จันทร์ฟอง ปัญญาวงค์การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ เพื่อ 1) พัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้กลวิธีแบบโฟร์บล็อกร่วมกับเทคนิค 5W1H เพื่อเสริมสร้างความสามารถในการอ่านจับใจความสำคัญ และการเขียนสรุปใจความสำคัญภาษาอังกฤษ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 2) เปรียบเทียบความสามารถในการอ่านจับใจความสำคัญภาษาอังกฤษของนักเรียนก่อนและหลังการพัฒนาการเรียนรู้โดยใช้กลวิธีแบบโฟร์บล็อกร่วมกับเทคนิค 5W1H 3) เปรียบเทียบความสามารถการเขียนสรุปใจความสำคัญภาษาอังกฤษของนักเรียนก่อนและหลัง การพัฒนาการเรียนรู้โดยใช้กลวิธีแบบโฟร์บล็อกร่วมกับเทคนิค 5W1H และ 4) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ โดยใช้กลวิธีแบบโฟร์บล็อกร่วมกับเทคนิค 5W1H กลุ่มเป้าหมาย คือ นักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนบ้านหย่วน (เชียงคำนาคโรวาท) จำนวน 38 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้กลวิธีแบบโฟร์บล็อกร่วมกับเทคนิค 5W1H แบบทดสอบความสามารถในการอ่านจับใจความสำคัญภาษาอังกฤษ แบบทดสอบความสามารถการเขียนสรุปใจความสำคัญภาษาอังกฤษ และแบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียน วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า 1) แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้กลวิธีแบบโฟร์บล็อกร่วมกับเทคนิค 5W1H เพื่อเสริมสร้างความสามารถในการอ่านจับใจความสำคัญ และการเขียนสรุปใจความสำคัญภาษาอังกฤษ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โดยภาพรวมมีความเหมาะสมมาก และมีประสิทธิภาพของแผนการจัดการเรียนรู้ที่ 1-4 88.66/82.63, 80.43/85.26, 84.50/84.74 และ 85.33/84.21 ตามลำดับ 2) ความสามารถในการอ่านจับใจความสำคัญภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 พบว่า คะแนนเฉลี่ยหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน 3) ความสามารถการเขียนสรุปใจความสำคัญภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 พบว่า คะแนนเฉลี่ยหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน 4) ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนรู้โดยใช้กลวิธีแบบโฟร์บล็อกร่วมกับเทคนิค 5W1H พบว่า ในภาพรวม มีความพึงพอใจอยู่ในระดับมากที่สุด
- Itemการจัดการแบบประสานความร่วมมือเพื่อปฏิบัติงานด้านการป้องกันรักษาป่า ตามนโยบายคณะรักษาความสงบแห่งชาติ :กรณีศึกษา อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2020) วิโรจน์ ธิการการศึกษาค้นคว้าด้วยตนเองครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาการจัดการแบบประสานความร่วมมือในการปฏิบัติงานด้านการป้องกันรักษาป่า ตามนโยบายคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกภาคส่วน และศึกษาปัญหาและอุปสรรค พร้อมทั้งข้อเสนอแนะแนวทางในการดำเนินนโยบายด้านการป้องกันรักษาป่า ในพื้นที่อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก โดยประชากรที่ใช้ในการศึกษาประกอบด้วย กลุ่มผู้ปฏิบัติงานด้านการป้องกันรักษาป่าในพื้นที่อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก การศึกษาครั้งนี้ใช้วิธีการศึกษาวิจัยเชิงคุณภาพ โดยการศึกษาวิจัยเอกสาร และการสัมภาษณ์เชิงลึกบุคคลที่เกี่ยวข้อง ทั้งผู้แทนหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง จำนวนทั้งสิ้น 42 คน ผลการศึกษาพบว่า หน่วยงานของรัฐในสังกัดกระทรวง ทบวง กรม ต่าง ๆ ได้รับคำสั่งจากรัฐบาลคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ให้ดำเนินการปราบปรามและหยุดยั้งการบุกรุกทำลายทรัพยากรป่าไม้ โดยมีรูปแบบการประสานความร่วมมือทั้งที่เป็นทางการ (เป็นหนังสือราชการ) และแบบไม่เป็นทางการในสถานการณ์เร่งด่วน (แบบไม่เป็นลายลักษณ์อักษร) รวมถึงการประสานความร่วมมือหน่วยงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องในรูปแบบเดียวกัน ผู้ปฏิบัติงานมีความเห็นตรงกันว่าการที่รัฐบาลคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ได้มีคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 64/2557 ลงวันที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2557 เรื่อง การปราบปรามและหยุดยั้งการบุกรุกทำลายทรัพยากรป่าไม้ ทำให้การประสานความร่วมมือด้านการป้องกันและปราบปรามการกระทำผิดกฎหมายว่าด้วยการป่าไม้ในพื้นที่มีความเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น ทุกหน่วยงานมีคำสั่งรองรับให้มีอำนาจหน้าที่เต็มในการปฏิบัติงานด้านป่าไม้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย มีการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มข้น ตรวจยึด จับกุม ดำเนินคดีด้านป่าไม้ทั่วพื้นที่ และขอคืนพื้นที่ป่าไม้ที่ถูกบุกรุก ยึดถือครอบครองโดยผิดกฎหมาย มาทำการฟื้นฟูสภาพให้เป็นป่าที่อุดมสมบูรณ์เป็นพื้นที่ของรัฐและที่อำนวยประโยชน์แก่ส่วนรวม การบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มข้นทุกพื้นที่ ทำให้ประชาชน และกลุ่มลักลอบตัดไม้ทำลายป่าเกิดความเกรงกลัวอำนาจรัฐไม่กล้ากระทำความผิด ทำให้การปฏิบัติงานด้านการป้องกันรักษาป่ามีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ผู้ปฏิบัติงานส่วนใหญ่เห็นว่ารัฐควรมีการบังคับใช้กฎหมายอย่างต่อเนื่อง เพื่อไม่ให้ปัญหาการลักลอบตัดไม้ทำลายป่ากลับมาทวีความรุนแรงขึ้นอีก ถึงแม้ว่าหน่วยงานภาครัฐจะมีภารกิจเพิ่มมากขึ้น ภายใต้งบประมาณที่เท่าเดิมหรือบางหน่วยงาน เช่น กำนันและผู้ใหญ่บ้าน แทบไม่ได้รับงบประมาณสนับสนุนนอกเหนือจากเงินเดือน ค่าตอบแทน ก็เป็นเพียงข้อจำกัดเล็กน้อยไม่เป็นปัญหา อุปสรรค ในการปฏิบัติงานแต่อย่างใด