ภาคนิพนธ์นิสิตระดับปริญญาตรี (Term Paper of Undergraduate Students)
Permanent URI for this community
Browse
Browsing ภาคนิพนธ์นิสิตระดับปริญญาตรี (Term Paper of Undergraduate Students) by Title
Now showing 1 - 20 of 215
Results Per Page
Sort Options
- Itemการกักเก็บคาร์บอนในมวลชีวภาพเหนือพื้นดินพื้นที่สังคมป่าเต็งรัง มหาวิทยาลัยพะเยา จังหวัดพะเยา(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2018) ศุจีภรณ์ กุนแสงการประเมินการกักเก็บคาร์บอนในมวลชีวภาพเหนือพื้นดินพื้นที่สังคมป่าเต็งรัง มหาวิทยาลัยพะเยา จังหวัดพะเยา ศึกษาเพื่อประเมินปริมาณการกักเก็บคาร์บอน และเพื่อเก็บข้อมูลตัวอย่างพรรณไม้ ทำการสารวจพื้นที่ทั้งหมด 4,800 ตารางเมตร โดยวิธีการวางแปลงตัวอย่าง 3 สถานี คำนวณมวลชีวภาพเหนือพื้นดินโดยใช้สมการแอลโลเมตรี (Allometric) ประเมินปริมาณการกักเก็บคาร์บอน วิเคราะห์องค์ประกอบและความสำคัญของพรรณไม้ (Important Value Index, IVI) ผลการสำรวจพบว่า พบพรรณไม้ใน 18 วงศ์ 41 ชนิด จำนวน 943 ต้น มีมวลชีวภาพรวมเท่ากับ 372,879.3 t.ha-1 มีการกักเก็บคาร์บอนในมวลชีวภาพรวมเท่ากับ 179,557.9 tC.ha-1 ดัชนีความสำคัญของพรรณไม้สูงสุด คือ พลวง (Dipterocarpus tuberculatus Roxb.) (77.40) รองลงมา คือ เต็ง (Shorea obtusa Wall. ex Blume.) (64.76) รัง (Pentacme siamensis (Miq.) Kurz.) (37.59) และเหียง (Dipterocarpus obtusifolius Teijsm. ex Miq.) (23.04) ตามลำดับ ดัชนีความสำคัญเชิงสังคม ความหลากหลายของชนิดพันธุ์ (Species Diversity) เท่ากับ 2.19 ความมากหลายของชนิดพันธุ์ (Species Richness) เท่ากับ 6.86 และความสม่ำเสมอของชนิดพันธุ์ (Species Evenness) เท่ากับ 0.59 การวิเคราะห์ความสัมพันธ์ของปัจจัยทางกายภาพต่อปริมาณการกักเก็บคาร์บอนเป็นไปในทางตรงกันข้ามที่ระดับ -0.33 มีความสัมพันธ์ทางตรงกันข้ามในระดับปานกลาง
- Itemการกำจัดสีย้อม Direct Blue 3 ด้วยแบคทีเรียจากรากกกลังกา (Cyperus alternifolius) และธูปฤาษี (Typha angustifolia L.)(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2019) ภาวิตา ภาดีกระบวนการบำบัดทางชีวภาพเป็นการอาศัยจุลินทรีย์และพืชในการย่อยสลายสารอินทรีย์และสารอนินทรีย์ที่ปนเปื้อนอยู่ในน้ำทิ้ง ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นการใช้แบคทีเรียในการย่อยสลาย ในการศึกษาอิสระครั้งนี้ จึงคัดแยกแบคทีเรียจากบริเวณผิวรากและในรากของพืช 2 ชนิด ได้แก่ ต้นธูปฤาษี (Typha angustifolia L.) และต้นกกลังกา (Cyperus alternifolius) โดยคัดแยกแบคทีเรียบนอาหารแข็ง ( Nutrient : NA ) ได้ทั้งหมด 7 ไอโซเลท จากนั้นนำแบคทีเรียทั้งหมดไปทดสอบการกำจัดสีย้อม direct blue 3 ที่ความเข้มข้น 30 มิลลิกรัมต่อลิตร ค่าความเป็นกรด-ด่าง เท่ากับ 7 พบว่า แบคทีเรียไอโซเลท U10 มีความสามารถในการกำจัดสีได้ดีที่สุด คิดเป็นร้อยละ 41.23 จึงทำการทดสอบต่อเพื่อหาปัจจัยต่างๆที่เหมาะสม ดังนี้ แหล่งคาร์บอน (กลูโคส, ซูโครส, แป้งมันสำปะหลัง) แหล่งไนโตรเจน (แอมโมเนียมซัลเฟต, แอมโมเนียมคลอไรด์, โปแทสเซียมไนเตรท) ค่าความเป็นกรดด่าง (7, 8, 9, 10) และอุณหภูมิ (25, 30, 35, 40 องศาเซลเซียส) สรุปได้ว่า ภายใต้การใช้กลูโคสและโปแตสเซียมไนเตรท เป็นแหล่งคาร์บอนและแหล่งไนโตรเจนที่เหมาะสม และค่าความเป็นกรดด่างเท่ากับ 9 ที่อุณหภูมิ 35 องศาเซลเซียส นอกจากนี้ เมื่อทดสอบประสิทธิภาพการกำจัดสีย้อมที่ความเข้มข้น 35 70 105 มิลลิกรัมต่อลิตร โดยแบคทีเรียไอโซเลท U10 พบว่า มีการกำจัดสีย้อม คิดเป็นร้อยละ 76.72, 62.74 และ 51.13 ตามลำดับ
- Itemการควบคุมหุ่นยนต์บีมด้วยวงจรซัสเปนด์ไบคอร์(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2017) ปิยรัชนี ประไพรภูมิหุ่นยนต์บีม (BEAM ย่อมาจาก Biology, Electronics, Aesthetics, Mechanics) เป็นรูปแบบหุ่นยนต์ที่ทำงานโดยไม่ใช้ระบบไมโครคอนโทรนเลอร์ (microcontroller) แต่ใช้เพียงวงจรอิเล็กทรอนิกส์อย่างง่ายมาควบคุม หรือเปรียบเสมือนสมองสั่งงานให้หุ่นยนต์ทำงานเลียนแบบพฤติกรรมของสิ่งมีชีวิต เช่น พฤติกรรมตอบสนองต่อแสง พฤติกรรมเดินหาแสง พฤติกรรมเดินหนีความร้อน พฤติกรรมตอบสนองต่อเสียง เป็นต้น งานวิจัยนี้ได้ศึกษาการควบคุมหุ่นยนต์บีม (BEAM robot) ให้มีพฤติกรรมเคลื่อนที่เข้าหาแสงด้วยวงจรซัสเปนไบคอร์ (suspended bicore) โดยใช้ไอซีเบอร์ 74HC240 มาต่อเป็นระบบควบคุมการทำงานภายในของหุ่นยนต์และใช้ photodiode มาต่อเป็นส่วนเซนเซอร์รับแสงเพื่อใช้ในการควบคุมหุ่นยนต์ให้มีพฤติกรรมเคลื่อนที่ตามแสง สำหรับกลไกการเคลื่อนที่ของหุ่นยนต์จะเดินด้วยขาโดยใช้มอเตอร์กระแสตรงในการขับเคลื่อนการเดินของขาด้วยระบบเฟือง ควบคุมการทำงานคล้ายคลึงกับการเคลื่อนที่ของสิ่งมีชีวิต และหุ่นยนต์บีม (BEAM robot) นี้ยังสามารถนาไปประยุกต์ปรับใช้เป็นสื่อการเรียนการสอนในรายวิชาต่าง ๆ ได้ เช่น อิเล็กทรอนิกส์เบื้องต้น ไฟฟ้า วิทยาศาสตร์ เป็นต้น เพื่อกระตุ้นให้ผู้เรียนมีความสนใจ และทัศน์คติที่ดีต่อการเรียนมากยิ่งขึ้น
- Itemการควบคุมหุ่นยนต์แบบขาด้วยวงจรประสาทเทียม(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2017) บุญฤทธิ์ ขึ้นทันตาในการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาการทำงานของวงจรประสาทเทียม และประดิษฐ์หุ่นยนต์บีมที่เดินด้วยขา โดยผู้วิจัยได้ศึกษารูปแบบการทำงานของวงจรประสาทเทียม และประดิษฐ์หุ่นยนต์บีมแบบขา จำนวน 2 ตัว ประกอบด้วยหุ่นยนต์บีมที่เดินด้วยขาแบบ 2 มอเตอร์และ 4 มอเตอร์ โดยใช้วงจรประสาทเทียมแบบ Master-Slave Dual Bicore ซึ่งหุ่นยนต์บีมแบบ 2 มอเตอร์ สามารถเคลื่อนที่เข้าหาแสงได้ ส่วนหุ่นยนต์บีมแบบ 4 มอเตอร์ มีความสามารถในการหลบหลีกสิ่งกีดขวางได้ แต่ยังไม่สามารถเคลื่อนที่ได้เพราะน้ำหนักที่มากเกินไปและแรงดันไฟฟ้ายังไม่เพียงพอที่จะสั่งการมอเตอร์ทั้ง 4 ตัว สุดท้ายผู้วิจัยได้ทำการวัดสัญญาณของวงจรว่าเป็นจริงตามทฤษฏีกล่าวไว้หรือไม่
- Itemการคัดเลือกจุลินทรีย์เพื่อผลิตอาหารสัตว์หมัก(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2020) ปฏิวัติ แพรงาม; อมรรัตน์ มังคลาด; อิงธิลา ผดาวันการศึกษาอิสระนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อคัดเลือกจุลินทรีย์ที่เหมาะสมในการผลิตอาหารสัตว์หมัก โดยคัดเลือกแบคทีเรียที่มีความสามารถในการย่อยวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร ได้แก่ เปลือกสับปะรด และกากปาล์ม ผลการทดสอบพบว่า แบคทีเรียไอโซเลต 12 ที่คัดแยกได้จากเส้นก๋วยเตี๋ยวแสดงค่ากิจกรรมการย่อยวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรได้ดีที่สุด เมื่อวิเคราะห์ลำดับนิวคลีโอไทด์ของยีน 16s rDNA มีความคล้ายคลึงกับ Bacillus amyloliquefaciens ร้อยละ 99.93 และในการคัดเลือกยีสต์ที่สามารถผลิตเอทานอลได้ดีที่สุด คือ ยีสต์พันธุ์กลายไอโซเลต 96 สามารถผลิตเอทานอลสูงถึงร้อยละ 7 ในระยะเวลา 7 วัน ซึ่งมีปริมาณเอทานอลสูงกว่ายีสต์ชุดควบคุม จากนั้นจึงนำจุลินทรีย์ทั้งสองชนิดที่คัดเลือกได้มาใช้ในการผลิตอาหารสัตว์หมักจากเปลือกสับปะรดและกากปาล์ม ร่วมกับแบคทีเรียกรดแลคติกเป็นระยะเวลาหมัก 15, 30 และ 60 วัน เพื่อตรวจสอบคุณค่าทางโภชนะของอาหารสัตว์หมัก โดยวัดค่าความเป็นกรด-ด่าง ปริมาณโปรตีน และแอลกอฮอล์ ผลการศึกษาพบว่า ค่าความเป็นกรด-ด่าง ของอาหารหมักจากสับปะรดที่เติมเชื้อจุลินทรีย์ลดลง อยู่ในช่วง 3.62 ถึง 4.00 มีปริมาณโปรตีนสูงที่สุดในวันที่ 60 (ร้อยละ 5.61) และปริมาณแอลกอฮอล์สูงที่สุดในวันที่ 30 (ร้อยละ 4.68) สำหรับอาหารหมักจากกากปาล์มที่เติมเชื้อจุลินทรีย์มีค่าความเป็นกรด-ด่างลดลงอยู่ในช่วง 4.32 ถึง 5.67 มีปริมาณโปรตีนสูงที่สุดในวันที่ 60 (ร้อยละ 6.71) และมีปริมาณแอลกอฮอล์สูงที่สุดในวันที่ 15 (ร้อยละ 3.01) ดังนั้นอาหารสัตว์หมักที่เติมจุลินทรีย์ทั้ง 3 ชนิดทำให้ค่าความเป็นกรด-ด่างอยู่ในช่วงที่เหมาะสมสำหรับอาหารสัตว์หมัก และยังเพิ่มโปรตีนรวมไปถึงแอลกอฮอล์ในอาหารสัตว์หมักเพื่อรักษาคุณค่าทางโภชนาการตลอดระยะเวลาการหมัก 60 วัน
- Itemการคัดแยกแบคทีเรียละลายฟอสเฟตจากดิน ลำไส้ไส้เดือน และนำหมักไส้เดือน(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2017) ชฎาทร พลศรีคัดแยกแบคทีเรียละลายฟอสเฟตจาก 3 แหล่ง ได้แก่ ดิน ลำไส้ไส้เดือน และน้ำหมักไส้เดือน บนอาหารแข็ง Pikovskaya's medium (PVK) ในการศึกษาอิสระครั้งนี้ พบแบคทีเรีย ละลายฟอสเฟต จำนวน 94 ไอโซเลต จากนั้นนำแบคทีเรียที่คัดแยกได้มาทดสอบประสิทธิภาพในการละลายฟอสเฟตในอาหารเหลวสูตร PVK โดยเพาะเลี้ยงที่อุณหภูมิ 45 องศาเซลเซียสเป็นเวลา 7 วัน ตรวจสอบปริมาณฟอสเฟตที่ละลายได้ และค่าความเป็นกรด – ด่าง สามารถคัดเลือกแบคทีเรียที่มีประสิทธิภาพในการละลายฟอสเฟตสูงและมีค่าความเป็นกรดด่างในช่วง 5-6 ได้ 3 ไอโซเลต ได้แก่ ไอโซเลต S3, S31.2 และ EW32 ซึ่งมีค่าฟอสเฟตที่ละลายได้เท่ากับ 246.6, 665.5 และ 303.6 มิลลิกรัมต่อลิตร ตามลำดับ และค่าความเป็นกรด-ด่างเท่ากับ 5.6, 6.0 และ 5.3 ตามลำดับ จากการบ่งชี้ชนิดด้วยหาการลำดับเบส 16s rDNA พบว่า ไอโซเลต S3, S31.2 และ EW32 คือ Bacillus subtilis strain IP6, Bacillus subtilis strain B11 และ Klebsiella pneumoniae strain 26 ตามลำดับ
- Itemการคัดแยกแบคทีเรียละลายโพแทสเซียมจากดินบริเวณรากพืช(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2018) พรชิตา จะชาญแบคทีเรียละลายโพแทสเซียม (Potassium solubilizing bacteria: KSB) เป็นแบคทีเรียที่พบบริเวณรากพืช มีบทบาทสำคัญต่อการเปลี่ยนโพแทสเซียมรูปที่ไม่ละลายเป็นรูปที่พืชนำไปใช้ได้ (K+) ช่วยส่งเสริมให้พืชดูดซึมโพแทสเซียมได้ดีขึ้น การวิจัยครั้งนี้จึงคัดแยกแบคทีเรียละลายโพแทสเซียมจากดินบริเวณรากพืช (rhizophere) จากพืช 6 ชนิด ได้แก่ ข้าว ผักบุ้ง งาขี้ม้อน ข้าวโพด มันสำปะหลัง และสาบเสือ โดยวิธี spread plate บนอาหารแข็ง Modified Aleksandrove medium ที่เติมแร่เฟลด์สปาร์เป็นส่วนประกอบ บ่มที่อุณหภูมิ 30 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 7 วัน สามารถคัดแยกแบคทีเรียละลายโพแทสเซียมซึ่งสามารถสร้างบริเวณใสรอบโคโลนีได้ทั้งหมด 28 ไอโซเลท นำแบคทีเรียทั้ง 28 ไอโซเลทและแบคทีเรียละลายฟอสเฟตจากหน่วยเทคโนโลยีชีวภาพ มหาวิทยาลัยพะเยา จำนวน 16 ไอโซเลท มาทดสอบประสิทธิภาพการละลายโพแทสเซียมบนอาหารแข็ง ด้วยวิธี spot plate จากนั้นคัดเลือกแบคทีเรีย จำนวน 8 ไอโซเลท ที่ให้ค่าสัดส่วนเส้นผ่านศูนย์กลางของบริเวณใสต่อเส้นผ่านศูนย์กลางโคโลนีสูง (3.50-7.0 เท่า) มาประเมินประสิทธิภาพการละลายโพแทสเซียมในอาหารเหลวด้วยเทคนิค flame atomic absorption spectrophotometry (FAAS) พบว่า ไอโซเลท KC7 ให้ค่าการละลายโพแทสเซียมสูงที่สุดที่ 2.63 มิลลิกรัมต่อลิตร รองลงมา คือ ไอโซเลท KC1 ให้ค่าการละลายโพแทสเซียมที่ 2.43 มิลลิกรัมต่อลิตร นอกจากนี้ได้จำแนกชนิดของแบคทีเรียโดยใช้ลำดับเบสของยีน 16s rDNA พบว่า KC7 และ KC1 คือ แบคทีเรีย Burkholderia gladioli และ Burkholderia cepacia ตามลำดับ
- Itemการคำนวณค่าพารามิเตอร์ทางจักรวาลวิทยาจากแบบจำลองกฎกำลังแฟนธอม(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2018) วชิรวิทย์ สีเสนเอกภพในปัจจุบันมีการขยายตัวแบบเร่งออก นักฟิสิกส์และนักจักรวาลวิทยาเชื่อว่าเป็นผลมาจากพลังงานมืด และมีการนำเสนอแบบจำลองต่าง ๆ เพื่ออธิบายถึงการขยายตัวแบบเร่งออกเนื่องจากพลังงานมืดนี้จากการศึกษาแบบจำลองเตคิออนกฎกำลัง และแบบจำลองควินเทสเซนส์กฎกำลัง พบว่า ยังไม่สามารถนำมาอธิบายการขยายตัวของเอกภพได้ ดังนั้นจึงได้มีการขยายแนวคิดจากเดิมไปเป็นการศึกษาแบบแฟนธอมซึ่ง a x (ts - t)β โดย β < 0 จะสอดคล้องกับการขยายตัวแบบเร่งออกของเอกภพ และจากแบบจำลองแฟนธอมเตคิออนกฎกำลัง และแบบจำลองแฟนธ่อมควินเทสเซนส์ พบว่า พารามิเตอร์เลขชี้กำลังเบตา , พารามิเตอร์ ความหน่วง q0 และสมการสถานะ wϕ มีค่าพารามิเตอร์ที่คำนวณได้เท่ากัน คือ β = -10:81+13:73-13:58 (WMAP9 + eCMB+BAO+H0), β = -42:08+167:8-178:9 (TT; TE;EE+lowP+Lensing+ext), q0 = -1:093+0:117-0:116 (WMAP9+eCMB + BAO+H0), q0 = -1:0237+0:0943-0:1005 (TT; TE;EE+lowP + Lensing+ext), wϕ = -1:06+3:54-5:89 (WMAP9+eCMB+BAO+H0) และ wϕ = -1:02+2:54 -1:74 (TT; TE;EE+lowP+Lensing+ext) ซึ่งค่าพารามิเตอร์เลขชี้กำลังสอดคล้องกับเงื่อนไขที่ทำให้เกิดการเร่งออกของเอกภพ เช่นเดียวกับค่าพารามิเตอร์ความหน่วงที่มีค่าน้อยกว่าศูนย์ และเมื่อเทียบกับค่าสมการสถานะของยานสำรวจอวกาศ คือ wϕ;0;obs=-1:073+0:090-0:089 (WMAP9+eCMB+BAO+H0), wϕ;0;obs =-1:019+0:075-0:080 (TT; TE;EE+lowP +Lensing+ext) พบว่า ค่าสมการสถานะที่คำนวณได้มีค่าใกล้เคียงกับค่าจากยานสำรวจ ดังนั้นแบบจำลองแฟนธอมเตคิออนกฎกำลัง และแบบจำลองแฟนธอมควินเทสเซนส์กฎกำลัง สามารถใช้อธิบายการขยายตัวแบบเร่งออกของเอกภพได้
- Itemการจัดการมูลฝอยโดยการลดใช้โฟมบรรจุอาหารในมหาวิทยาลัยพะเยา เพื่อขับเคลื่อนมหาวิทยาลัยสีเขียว(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2015) ปัทมา เซ็นหอม; อรทัย พิศวาทUP Green เป็นยุทธศาสตร์ด้านสิ่งแวดล้อมของมหาวิทยาลัยพะเยา โดยมีการประเมินตนเองเบื้องต้นตามเกณฑ์สากลมหาวิทยาลัยสีเขียว (UI) หนึ่งในหกเกณฑ์ที่ใช้พิจารณา คือ การประเมินการจัดการของเสียให้สอดคล้องกับการเป็น Green University เพื่อขับเคลื่อนให้บรรลุเป้าหมาย จากการศึกษาองค์ประกอบทางกายภาพของมูลฝอยโดยวิธี Quartering method ในมหาวิทยาลัยพะเยา พบว่า มีปริมาณมูลฝอย 2.05 ตัน/วัน สัดส่วนขยะที่พบมากที่สุด 3 อันดับ ได้แก่ 1) มูลฝอยประเภทพลาสติก ร้อยละ 62.5 2. ขยะอินทรีย์ร้อยละ 43.5 3. มูลฝอยทั่วไป ร้อยละ 25.16 ซึ่งโฟมเป็นมูลฝอยชนิดที่ไม่สามารถย่อยสลายเองได้มีความจำเป็นต้องดำเนินการจัดการเพื่อจัดการโฟมเนื่องจากโฟมไม่สามารถย่อยสลายได้ มีที่ฝังกลบไม่เพียงพอ โฟมมีอันตรายต่อผู้บริโภคและส่งผลกระทบต่อระบบสิ่งแวดล้อม ซึ่งปัจจุบันมีบรรจุภัณฑ์ที่สามารถใช้แทนโฟมได้ การจัดทำโครงการรณรงค์การใช้บรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมแทนการใช้กล่องโฟมภายในมหาวิทยาลัยพะเยาซึ่งทำให้มีการลดใช้โฟมได้วันละ 2,570 ใบต่อวัน ใช้กล่องไบโอชานอ้อยทดแทน 560 ใบต่อวัน การจัดทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือกับร้านค้าในมหาวิทยาลัยพะเยาในการไม่ใช้โฟมซึ่งมีจำนวนร้านที่เข้าร่วม 16 ร้านจาก 24 ร้าน ผลสำรวจความพึงพอใจของผู้ร่วมโครงการพบว่า ผู้ประกอบการให้ความสำคัญการไม่ใช้โฟมร้อยละ 66.67 การศึกษานี้พบว่า แนวทางงดใช้โฟมและมาตรการใช้กล่องไบโอชานอ้อยทดแทนจะสามารถช่วยขับเคลื่อนการเป็นมหาวิทยาลัยสีเขียวของมหาวิทยาลัยพะเยาโดยการลดใช้โฟมสามารถทำให้ลดการปล่อยคาร์บอนจากโฟมได้เท่ากับ 2.7227 kgCO2e และส่งผลให้มีคะแนนตามเกณฑ์ Green University เพิ่มขึ้นได้
- Itemการจำลองการทำงานของแขนกลด้วย ROS Moveit!(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2020) นันทพงศ์ บัวพัฒน์เทคโนโลยีหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติมันถูกใช้อย่างกว้างขวางในโรงงานอุตสาหกรรมโดยเฉพาะแขนกล ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อใช้ในงานอุตสาหกรรมที่ต้องการงานซ้ำ ๆ และงานที่เป็นอันตรายแทนมนุษย์ การจำลองมีบทบาทสำคัญในการวิจัยหุ่นยนต์สำหรับการทดสอบแนวคิดการทำงานที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพซึ่งช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายและเวลา ในศึกษานี้ได้ศึกษาการทำงานของแขนกลในการเคลื่อนย้ายหลบสิ่งกีดขวาง และการจับ-วางวัตถุ ซึ่งเป็นพื้นฐานของแขนกลผ่านการจำลอง ซึ่งเราสามารถทำได้โดยใช้แพคเกจ Moveit! ของระบบปฏิบัติการหุ่นยนต์ (ROS) โดยการจำลองสภาพแวดล้อม และวางแผนการเคลื่อนไหวของแขนกล
- Itemการจำลองรถขับเคลื่อนตนเองแบบการเรียนรู้เชิงลึก(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2020) ณัฐนันท์ น้อยโตงานวิจัยนี้ได้ทำการจำลองสถานการณ์รถขับเคลื่อนตนเองที่ใช้การ simulation ผ่านโปรแกรม Car simulator ซึ่งมีการจำลองสถานการณ์โดยใช้กระบวณการเรียนรู้โครงข่าย ประสาทเทียมการเรียนรู้เชิงลึก หรือเรียกอีกชื่อว่าโครงข่ายประสาทเทียมแบบคอนโวลูชัน เพื่อการจำแนกรูปภาพการเคลื่อนที่ของรถขับเคลื่อนตนเอง ที่มีการเคลื่อนที่ตรงไปด้านหน้าเลี้ยวซ้าย เลี้ยวขวา ที่ได้จากการขับรถขับเคลื่อนตนเองผ่านโปรแกรม ที่ใช้การขับแบบบังคับเอง (manual) โดยมีการสร้างการจำลองสถานการณ์ทั้งหมด 2 สนาม คือ จำลองสถานการณ์รถขับเคลื่อนตนเองแบบทางโค้งปกติ (สนามที่ 1) และจำลองสถานการณ์รถขับเคลื่อนตนเองแบบทางโค้งขึ้นเนิน (สนามที่ 2) และมีการใช้จำนวนภาพสีสำหรับการเรียนรู้แบบจำลองที่ต่างกัน สนามที่ 1 ใช้ทั้งสิ้น 1696 รูป สนามที่ 2 ใช้ทั้งสิ้น 3639 รูป ตัวแปรสำคัญที่ทำให้ความแม่นยำของแบบจำลองเพิ่มมากขึ้น ได้แก่ Hidden Layer และ จำนวน epoch ในส่วนของ Neural Network ที่เพิ่มขึ้นส่งผลต่อความแม่นยำของแบบจำลอง ผลการทดลองที่ได้จากการสร้างการจำลองสถานการณ์ทั้ง 2 สถานการณ์ แสดงค่าความผิดพลาดของสนามที่ 1 มีค่า 0.0271 และสนามที่ 2 มีค่า 0.1004 และค่าความแม่นยำของสนามที่ 1 มีค่า 0.9721 และสนามที่ 2 มีค่า 0.8996
- Itemการตรวจจับวัตถุด้วยโครงข่ายประสาทเชิงลึก(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2020) วิศรุต นาทันตองในงานวิจัยนี้ทางผู้วิจัยได้ทำการศึกษาโครงข่ายประสาทเทียมและทำการสร้างชุดข้อมูลเพื่อใช้ชุดข้อมูลทำการตรวจจับวัตถุ 4 ชนิด ได้แก่ Arduino, Battery, Kid Bright และ Motor โดยจำนวนภาพที่ใช้ในการเรียนรู้ประกอบด้วยรูปภาพทั้งหมด 400 รูปโดยแบ่งเป็นชนิดละ 100 รูป โดยใช้กระบวนการเรียนรู้ชุดข้อมูลผ่านโมเดล YOLOv3 ซึ่งเป็นโมเดลที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน ทั้งนี้ผู้วิจัยยังได้ศึกษาเกี่ยวกับกระบวนการเรียนรู้ของโมเดล ค่าความน่าจะเป็นเฉลี่ย (IoU) ค่าความแม่นยำเฉลี่ย (mAP) และศึกษาค่าความสูญเสียเฉลี่ยของชุดข้อมูล (Avg loss) ในการทดลอง ผู้วิจัยได้ทำการสร้างชุดข้อมูลทั้งหมด 3 ชุดซึ่งประกอบด้วยชุดข้อมูลมีการเรียนรู้ทั้งหมด 1,000-3,000 รอบ ตามลำดับ พบว่า ชุดข้อมูลที่มีการเรียนรู้ 1,000 รอบ มีค่าความน่าจะเป็นเฉลี่ยเท่ากับ 61.43% ค่าความแม่นยำเฉลี่ยมีค่าเท่ากับ 88.09% ค่าความน่าจะเป็นเฉลี่ยของรูปภาพที่ทำการตรวจจับของชุดข้อมูลที่มีการเรียนรู้ 2,000 รอบ มีค่าเท่ากับ 87.01% ค่าความแม่นยำเฉลี่ยมีค่าเท่ากับ 98.75% ค่าความน่าจะเป็นของรูปภาพที่ทำการตรวจจับของชุดข้อมูลที่มีการเรียนรู้ 3,000 รอบ มีค่าเท่ากับ 90.08% ค่าความแม่นยำเฉลี่ยมีค่าเท่ากับ 98.75% และค่าเฉลี่ยอัตราการสูญข้อมูลมีค่าลดลงอยู่ในระดับ 0.05-0.10 จากข้อมูลข้างต้นจึงสรุปได้ว่าประสิทธิภาพในการตรวจจับวัตถุจะเพิ่มมากขึ้นก็ต่อเมื่อมีการเรียนรู้ในปริมาณที่มากขึ้น ทั้งนี้ยังมีปัจจัย อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น จำนวนภาพที่ใช้ในการเรียนรู้ รูปแบบของภาพที่ใช้ในการเรียนรู้ และความละเอียดของภาพที่ใช้ในการเรียนรู้และความละเอียดภาพที่ต้องการตรวจจับวัตถุอีกด้วย
- Itemการตรวจวัดความสุกของผลไม้ด้วยหลักการเชิงแสง(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2020) วาทิน ยะวงค์การศึกษาการตรวจวัดความสุกของผลไม้ด้วยหลักการเชิงแสง ด้วยตัวตรวจวัด ZX-03, ตัวตรวจวัด Vishay, BPW21R Visible Light Si Photodiode และตัวตรวจวัด Mini-spectrometer micro series C12880MA นำมาทดสอบกับผลอาโวคาโด จำนวน 3 ผลเป็นระยะเวลา 3 วัน ตั้งแต่วันที่ 18 มีนาคม ถึง วันที่ 20 มีนาคม โดยแบ่งการตรวจวัดออกเป็น 3 ตำแหน่ง ได้แก่ โคนก้าน, กลางผล และท้ายผล พบว่า ผลการตรวจวัดของตัวตรวจวัด ZX-03 G ของอาโวคาโดทั้ง 3 ผล ตำแหน่งกลางผลความเข้มของแสงที่ตรวจวัดมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นในแต่ละวัน ผลการตรวจวัดของตัวตรวจวัด Vishay, BPW21R Visible Light Si Photodiode พบว่า ไม่สอดคล้องตามความสุกของผลอาโวคาโดที่สุกเพิ่มขึ้นในแต่ละวัน ส่วนผลการวิเคราะห์ตัวตรวจวัด ZX-03 ร่วมกับตัวตรวจวัด Mini-spectrometer micro series C12880MA และผลการวิเคราะห์ตัวตรวจวัด Vishay, BPW21R Visible Light Si Photodiode ร่วมกับตัวตรวจวัด Mini-spectrometer micro series C12880MA พบว่า ไม่มีความสอดคล้องกัน
- Itemการตรวจสอบความหลากหลายทางพันธุกรรมของพืชสกุล Zanthoxylum spp. ในเขตภาคเหนือของประเทศไทย ด้วยเทคนิค HAT-RAPD(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2020) ภัทรวรรณ สุวรรณพงษ์; วราภรณ์ วาจนสุนทรพืชสกุล Zanthoxylum spp. ส่วนใหญ่พบได้ในเขตภาคเหนือของประเทศไทย พืชสกุล Zanthoxylum spp. มีการใช้กันอย่างแพร่หลายในการแพทย์แผนโบราณในการรักษาโรคต่าง ๆ เนื่องจากพืชสกุลนี้ มีลักษณะทางพฤกษศาสตร์ที่คล้ายคลึงกันมาก การจำแนกตามลักษณะทางสัณฐานวิทยาของพืชจึงเป็นเรื่องยาก ดังนั้น การศึกษาในระดับโมเลกุลจึงถูกนำมาใช้เพื่อตรวจสอบความหลากหลายทางพันธุกรรมของพืชสกุล Zanthoxylum spp. เพื่อเป็นแนวทางในการอนุรักษ์และการใช้ประโยชน์ การศึกษาอิสระครั้งนี้จึงรวบรวมพืชสกุล Zanthoxylum spp. ในเขตภาคเหนือของประเทศไทย จำนวน 15 ตัวอย่างจาก 15 สถานที่ เพื่อสร้างลายพิมพ์ดีเอ็นเอด้วยเทคนิค HAT-RAPD โดยใช้ไพรเมอร์แบบสุ่ม 14 ไพรเมอร์ ซึ่งปรากฏแถบดีเอ็นเอทั้งหมด 431 แถบ เมื่อนำข้อมูลแถบดีเอ็นเอที่ได้มาสร้างแผนภูมิวิวัฒนาการ พบว่า สามารถจำแนกพืชสกุล Zanthoxylum spp. ได้เป็น 7 กลุ่ม โดยมีค่าสัมประสิทธิ์ความหลากหลายทางพันธุกรรมระหว่าง 0.10 ถึง 0.66 นอกจากนี้สามารถคัดเลือกแถบดีเอ็นเอที่พบเฉพาะในพืชมะข่วงที่รวบรวมจากเชียงคำ จังหวัดพะเยา ซึ่งมีสรรพคุณทางยาสูง จำนวน 6 แถบ ที่แตกต่างกันซึ่งสามารถพัฒนาเป็นเครื่องหมายโมเลกุลสำหรับสายพันธุ์นี้
- Itemการทดสอบความเหมาะสมของวัสดุรองนอนจากซังข้าวโพดโดยการใช้เชื้อรา Beauveria bassiana และ Trichoderma harzianum ในการทำเป็นปุ๋ยหมัก(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2020) นุชนาฏ หมื่นสิทธิโรจน์; สุทธิพงศ์ สงพิมพ์การศึกษาความเหมาะสมของวัสดุรองนอนจากชังข้าวโพดโดยการใช้เชื้อรา Beauveria bossiona waะ Trichoderma harzianum ในการทำเป็นปุ๋ยหมัก มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาลักษณะทางกายภาพและเคมีบางประการของวัสดุรองนอนใช้แล้วหลังหมัก เพื่อศึกษาธาตุอาหารหลัก ไนโตรเจน, ฟอสฟอรัส และโพแทสเซียม ในวัสดุรองนอนใช้แล้วก่อนหมักและหลังหมัก และเพื่อศึกษาการเจริญเติบโตของถั่วเขียวที่ปลูกด้วยวัสดุรองนอนใช้แล้วทำการศึกษาโดยการนำเชื้อรา B. bossiona ที่ความเข้มข้น 1.9 x 1010 sporesiml และเชื้อรา T. harzionum ที่ความเข้มข้น 2.3 x 1010 spores/ml มาหมักกับวัสดุรองนอนแล้วทำการวัดอุณหภูมิภายนอก-ภายในถังหมัก, ค่าความเป็นกรด-เบส และค่าการนำไฟฟ้า ทุก 5 วันของการหมัก ตลอด 30 วัน แล้วทำการวิเคราะห์ปริมาณธาตุอาหารหลักของวัสดุรองนอนทั้งก่อนหมักและหลังหมัก จากนั้นนำวัสดุรองนอนที่ได้หลังจากการหมัก มาใช้ในการปลูกถั่วเขียว โดยผลการศึกษาพบว่า ในสามชุดทดลองประกอบไปด้วย กลุ่มควบคุม (C) คือ ไม่ใส่เชื้อรา, กลุ่มทดลอง (B) คือ ใส่เชื้อรา B. bossiona และ กลุ่มทดลอง (T) คือ ใส่เชื้อรา T. harzionum ลักษณะทางกายภาพและเคมีบางประการในวัสดุรองนอน ไม่มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ในด้านของอุณหภูมิ, ค่าความเป็นกรด-เบส และค่าการนำไฟฟ้า การวิเคราะห์ค่าผลต่างของธาตุอาหารหลักก่อนหมักและหลังหมัก ทุกกลุ่มทดลองมีค่าเปอร์เซ็นต์ไนโตรเจนลดลงแต่ค่าฟอสฟอรัส และโพแทสเซียมของทุกกลุ่มทดลอง มีค่าเปอร์เซ็นต์ที่เพิ่มขึ้น การทดสอบการเจริญเติบโตของถั่วเขียว พบว่า ในด้านความกว้าง และความยาวของใบถั่วเขียว มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < 0.05)
- Itemการทำดิจิตอลซับสเตรทในรูปแบบต่าง ๆ สำหรับใช้ในการทำเซนเซอร์ก๊าซ(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2018) ปิยะพร ชัยเจริญโดยปกติแล้ว ความไวของก๊าซเซ็นเซอร์จะขึ้นอยู่กับอุณหภูมิ ความเข้มข้นของก๊าซสารที่ใช้ทำเซนเซอร์ โครงสร้างของสารและรูปแบบของอิเล็กโทรด ในงานวิจัยนี้ได้ออกแบบ และสร้างลวดลายขั้วอิเล็กโทรดแบบอินเตอร์ดิจิตอล สำหรับเป็นแผ่นรองรับหัวตรวจจับก๊าซแบบต่าง ๆ โดยใช้สารโครงสร้างนาโนซิงก์ออกไซด์เป็นสารตรวจจับก๊าซ และนำไปทดสอบสมบัติการตรวจจับก๊าซแก๊สเอทานอล ขั้วอิเล็กโทรดแบบอินเตอร์ดิจิตอลเตรียมด้วยกระบวนการระเหยสุญญากาศทองคำลงบนแผ่นอลูมิน่าและแกะสลักฟิล์มทองด้วยเลเซอร์มาร์กเกอร์ เพื่อสร้างลวดลายอิเลคโทรด หลังจากนั้นขั้วอิเล็กโทรดแบบอินเตอร์ดิจิตอล ถูกเคลือบด้วยสารโครงสร้างนาโนซิงก์ออกไซด์ โดยควบคุมความหนาและพื้นที่สัมผัส และทำการตรวจวัดความไวของก๊าซเซ็นเซอร์ต่อก๊าซเอทานอลที่ความเข้มข้นต่าง ๆ ผลการทดลองพบว่า ความไวของก๊าซเซ็นเซอร์ขึ้นอยู่กับลวดลายของขั้วอิเล็กโทรดแบบอินเตอร์ดิจิตอลหลังจากนั้นจึงศึกษาลวดลายของหัวตรวจจับก๊าซที่ดีที่สุด
- Itemการนำใบของไก่แดง (Aeschynanthus sp.) มาชักนำให้เกิดแคลลัสโดยการใช้ BA Kn และ TDZ(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2020) กุลวัฒน์ บัวป้อม; ศศิธร ปัญญาสิทธิ์การศึกษาการเพาะเลี้ยงไก่แดง (Aeschynanthus sp.) มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาผลของสารควบคุมการเจริญเติบไซโตไคนินที่ความเข้มข้นต่าง ๆ ที่มีผลต่อการพัฒนาเป็นแคลลัส ต้นใหม่ ราก และใบ และศึกษาสูตรอาหารที่เหมาะสมในการชักนำแคลลัสให้เกิดต้นใหม่ โดยการนำชิ้นส่วนเริ่มต้นของไก่แดง คือ ใบ เพาะเลี้ยงบนอาหารสูตร MS ที่เติมด้วย BA Kn และ TDZ ที่ระดับความเข้มข้น 0.1 0.5 1.0 และ 2.0 มิลลิกรัมต่อลิตร พบว่า สูตรอาหาร MS ที่เติม BA ความเข้มข้น 0.5 มิลลิกรัมต่อลิตร สามารถชักนำให้เกิดยอดใหม่สูงสุดเฉลี่ย 1.12 ยอดต่อชิ้นส่วนเริ่มต้น สูตรอาหาร MS ที่เติม TDZ ความเข้มข้น 2.0 มิลลิกรัมต่อลิตร สามารถชักนำให้เกิดต้นใหม่และใบสูงสุดเฉลี่ย 4.35 ต้นต่อชิ้นส่วนเริ่มต้น และ 4.62 ใบต่อชิ้นส่วนตามลำดับ สูตรอาหาร MS ที่เติม Kn ความเข้มข้น 0.5 มิลลิกรัมต่อลิตร สามารถชักนำให้เกิดรากสูงสุดเฉลี่ย 0.07 รากต่อชิ้นส่วน และสูตรอาหาร MS ที่เติม TDZ ความเข้มข้น 2.0 มิลลิกรัมต่อลิตร สามารถชักนำให้เกิดแคลลัสสูงสุดเฉลี่ย 0.33 มิลลิเมตรต่อชิ้นส่วน
- Itemการประยุกต์ใช้ภาพถ่ายดาวเทียม Landsat เพื่อการสำรวจเส้นทางการเดินป่า เขตอุทยานแห่งชาติดอยหลวง (จังหวัดพะเยา) เส้นทางหมายเลข 1-3(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2017) กฤษณ รัตนปัญญา; กวิน นามุนทาการศึกษาการประยุกต์ใช้ภาพถ่ายดาวเทียม Landsat เพื่อการสำรวจธรรมชาติบริเวณอุทยานแห่งชาติดอยหลวง จังหวัดพะเยา ในเส้นทางหมายเลข 1, 2 และ 3 ซึ่งเป็นเส้นทางการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ธรรมชาติและพรรณพืช โดยแบ่งการศึกษาข้อมูลออกเป็น 4 ด้าน ได้แก่ การศึกษาเส้นทางการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์, การศึกษาด้านอนุกรมวิธาน, การวิเคราะห์ข้อมูลจากฐานข้อมูลทางดาวเทียม Landsat ด้วยโปรแกรมประยุกต์ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ ArcGIS 10.3 และการออกแบบทางภูมิทัศน์และสถานจำลองสำคัญ ด้วยโปรแกรม Google SketchUp จากการศึกษาพบว่า การวิเคราะห์เส้นทางการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ แบ่งเป็นเส้นทางหมายเลข 1, 2 และ 3 มีระยะทางรวม 9.49, 5.57 และ 4.18 กิโลเมตร ตามลำดับ นอกจากพันธุ์พืชแล้ว บนเส้นทางการเดินศึกษาธรรมชาตินี้ยังพบแหล่งน้ำธรรมชาติ, พื้นที่ลาดชัน และพื้นที่อยู่อาศัยของทาก การศึกษาทางด้านอนุกรมวิธานของพืชบางชนิดในเส้นทางสามารถจัดจำแนกได้ 17 วงศ์ 34 สกุล และ 50 ชนิด โดยแบ่งเป็น เฟิร์น จำนวน 14 วงศ์ 30 สกุล 36 ชนิด มีการกระจายตัวในช่วงระดับความสูง 400 เมตร ถึง 1,638 เมตร ส่วนใหญ่เป็นเฟิร์นในวงศ์ Polypodiaceae และ Parkeriaceae , พบพืชวงศ์ก่อ จำนวน 2 สกุล 11 ชนิด มีการกระจายตัวในช่วงระดับความสูง 922 เมตร ถึง 1,401 เมตร สกุลที่พบ ได้แก่ Castanopsis และ Lithocarpus, พืชวงศ์สน ที่พบได้แก่ Pinus kesiya Royle ex Gordon และ Pinus merkusii Jungh. & de Vriese มีการกระจายตัวในช่วงระดับความสูง 900 เมตร ถึง 1,400 เมตร และพบพืชพวกปรง (Cycas sp.) มีการกระจายตัวในช่วงระดับความสูง 1,100 เมตร ถึง 1,300 เมตร ด้านการศึกษาข้อมูลจากฐานข้อมูลทางดาวเทียม โดยมีการวิเคราะห์ค่าดัชนีพืชพรรณ (NDVI) เพื่อศึกษาความหนาแน่นพื้นที่ป่าไม้ จากภาพถ่ายดาวเทียม Landsat 7 ปี พ.ศ. 2546 และ Landsat 8 ปี พ.ศ.2559 พบว่า ข้อมูลภาพถ่ายดาวเทียม Landsat 7 แสดงสัดส่วนพื้นที่ป่าไม้แบบหนาแน่นมากที่สุด 23%, แบบหนาแน่นมาก 32%, แบบหนาแน่นปานกลาง 27%, แบบหนาแน่นน้อย 14% และแบบหนาแน่นน้อยที่สุด 4% สำหรับข้อมูลจากดาวเทียม Landsat 8 นั้น พบพื้นที่ป่าไม้แบบหนาแน่นมากที่สุด 13%, แบบหนาแน่นมาก 22%, แบบหนาแน่นปานกลาง 26%, แบบหนาแน่นน้อย 25% และแบบหนาแน่นน้อยที่สุด 14% นอกจากนี้ทางผู้วิจัยยังได้ออกแบบสถานที่จำลองเพื่อตรวจวัดความเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศซึ่งมี สถานีตรวจวัดอากาศ (ชุดเครื่องวัดทิศทางและความเร็วลม, เครื่องวัดอุณหภูมิ และเครื่องวัดปริมาณน้ำฝนแบบแก้วตวง), พื้นที่ให้ความรู้ทางพฤกษศาสตร์และข้อมูลสำคัญ ซึ่งมีลักษณะเป็นป้ายความรู้ โดยด้านหน้าของป้ายให้ความรู้เกี่ยวกับพื้นที่นั้น ๆ เช่น สันหมูแม่ด้อง, ทุ่งเด่นสะแกง, บันไดก่ายฟ้า และยอดดอยหลวง เป็นต้น ในส่วนด้านหลังของป้ายให้ความรู้ จะแสดงตำแหน่งที่นักท่องเที่ยวหรือนักศึกษาธรรมชาติยืนอยู่ และแสดงพื้นที่พักแรมที่กางเต็นท์ และอาคารอเนกประสงค์ที่มีพื้นที่ใช้ซอยภายในประมาณ 27.75 ตารางเมตร
- Itemการประยุกต์ใช้ภาพถ่ายดาวเทียม Landsat เพื่อการสำรวจเส้นทางการเดินป่าเขตอุทยานแห่งชาติดอยหลวง (จังหวัดพะเยา-ลำปาง) เส้นทางหมายเลข 4 และ 5(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2017) เทพพิทักษ์ ยศธสาร; ลัทธพล กล้าหาญประเทศไทยอยู่ในภูมิภาคเขตร้อนชื้นบริเวณเส้นศูนย์สูตร มีความหลากหลายทางชีวภาพสูง งานวิจัยครั้งนี้ได้ศึกษาความหลากหลายทางชีวภาพบริเวณอุทยานแห่งชาติดอยหลวง (จังหวัดพะเยา-ลำปาง) เส้นทางหมายเลข 4 และ 5 โดยนำเทคนิคการถ่ายภาพระยะไกลด้วยดาวเทียมมาใช้ในการวิเคราะห์ค่าดัชนีความหนาแน่นของพรรณพืชเพราะสามารถครอบคลุมพื้นที่ขนาดใหญ่ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และมีการลงพื้นที่เก็บข้อมูลภาคสนาม เพื่อหาเอกลักษณ์พืชโดยใช้ Pictorial key จากนั้น วิเคราะห์ข้อมูลดาวเทียม Landsat โดยใช้ฐานข้อมูล USGS เพื่อสร้างแผนที่วิเคราะห์พื้นที่ป่าไม้ โดยใช้ค่าดัชนีพรรณพืช (NDVI) จากโปรแกรม ArcGIS 10.3 สร้างแผนที่การเดินศึกษาธรรมชาติโดยใช้ค่าพิกัดทางภูมิศาสตร์ และออกแบบแบบจำลองสถานีตรวจอากาศ, พื้นที่ให้ความรู้ และพื้นที่พักแรม โดยใช้โปรแกรม Google SketchUp จากการศึกษาพบว่า เส้นทางหมายเลข 4 มีระยะทางรวม 4.00 กิโลเมตร ตามเส้นทางมีน้ำตก 5 ขั้น พบเฟิร์นกระจายตัวอยู่ที่ช่วงความสูง 521 เมตร ถึง 1,638 เมตร จำนวน 11 วงศ์ 25 สกุล และ 34 ชนิด โดยวงศ์ที่พบมากที่สุด คือ Polypodiaceae จำนวน 10 ชนิด และเส้นทางหมายเลข 5 มีระยะทางรวม 7.14 กิโลเมตร เส้นทางนี้พบจุดพักทั้งหมด 5 จุด และแหล่งน้ำ 1 จุด พบเฟิร์น จำนวน 9 วงศ์ 14 สกุล และ 27 ชนิด โดยวงศ์ที่พบมากที่สุด คือ Polypodiaceae และ Pteridaceae จำนวน 6 ชนิด, ก่อจำนวน 1 วงศ์, 3 สกุล และ 9 ชนิด กระจายตัวอยู่ที่ช่วงความสูง 922 เมตร ถึง 1,295 เมตรโดย 3 สกุลที่พบ คือ Castanopsis, Lithocarpus และ Quercus ซึ่งชนิดที่พบมากที่สุด คือ Quercus auricoma A. Camus และชนิดที่มีลักษณะเด่นกาบหุ้มคล้ายจาน คือ Quercus rambottomii A. Camus, หญ้าถอดปล้อง 1 ชนิด กระจายตัวอยู่ที่ช่วงความสูง 668 เมตร คือ Equisetum ramosissimum Desf. subsp. debile (Roxb. ex Vaucher) Hauke, ยางนา 1 ชนิด กระจายตัวอยู่ที่ช่วงความสูง 586 เมตร ถึง 1,064 เมตร คือ Dipterocarpus alatus Roxb. ex G. Don. และปรง 1 ชนิด กระจายตัวอยู่ที่ช่วงความสูง 1,275 เมตร ถึง 1,319 เมตร คือ Cycas sp. ทางด้านการวิเคราะห์ข้อมูลพื้นที่ป่าไม้ใช้ค่าดัชนีพรรณพืช (NDVI) Landsat 7 มีพื้นที่ป่าไม้หนาแน่นมากที่สุด 23%, หนาแน่นมาก 32%, หนาแน่นปานกลาง 27%, หนาแน่นน้อย 14% และหนาแน่นน้อยที่สุด 4% ส่วนข้อมูลจากดาวเทียม Landsat 8 มีพื้นที่ป่าไม้หนาแน่นมากที่สุด 12%, หนาแน่นมาก 21%, หนาแน่นปานกลาง 25%, หนาแน่นน้อย 25% และหนาแน่นน้อยที่สุด 14% ด้านการออกแบบแบบจำลองสถานีตรวจอากาศ ประกอบด้วยเครื่องมือ 3 ชุด คือ เครื่องวัดทิศทางและความเร็วลม เครื่องวัดอุณหภูมิ และเครื่องวัดปริมาณน้ำฝนแบบแก้วตวง ออกแบบพื้นที่ให้ความรู้ โดยแบ่งเป็น 2 ด้าน คือ ด้านหน้าเป็นข้อมูลให้ความรู้ของพื้นที่นั้น ๆ เช่น น้ำตกผาเกล็ดนาค, สันตาดจาน เป็นต้น ด้านหลังแสดงตำแหน่งของนักท่องเที่ยว แบบจำลองพื้นที่พักแรมโดยออกแบบจากโครงสร้างแบบเดิมประกอบด้วย 1 ห้องนอน 1 ห้องครัว และ 1 ห้องน้ำ มีพื้นที่ใช้สอย 27.75 ตารางเมตร
- Itemการประเมินความต้านทานต่อราก่อโรคของข้าว กข 15 ที่ถูกระดมยิงด้วยเทคนิคพลาสมาพลังงานต่่ำชั่วรุ่น M3(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2018) ปวีณา จำมิ่งการศึกษาอิสระครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อประเมินความสามารถในการต้านทานต่อเชื้อราก่อโรค Curvalaria sp. ของข้าว กข 15 ที่ถูกระดมยิงด้วยเทคนิคพลาสมาพลังงานต่ำชั่วรุ่น M3 โดยการคัดแยกเชื้อรา Curvalaria sp. จากใบข้าวที่แสดงอาการของโรคใบไหม้ จากนั้นนำใบข้าว กข 15 ที่ถูกระดมยิงด้วยเทคนิคพลาสมาพลังงานต่ำชั่วรุ่น M3 ที่มีอายุ 40 วัน จำนวน 10 สายพันธุ์ มาประเมินความต้านทานต่อเชื้อราก่อโรค Curvalaria sp. ที่แยกได้ โดยพิจารณาจากคะแนนความเสียหายซึ่งดัดแปลงจากคะแนนมาตรฐานของสถาบันวิจัยข้าวนานาชาติ IRRI (IRRI, 2002) ผลการวิจัยพบว่า ข้าวที่ถูกระดมยิงมีความต้านทานต่อเชื้อราก่อโรค Curvalaria sp. โดยมีระดับคะแนนตั้งแต่ 2 ถึง 9 ซึ่งเป็นระดับต้านทานจนถึงอ่อนแอ ซึ่งบ่งบอกถึงความไม่เสถียรของลักษณะของความต้านทานต่อเชื้อราก่อโรคในชั่วรุ่น M3 โดยพบต้นข้าว 1 ต้นที่มีระดับคะแนนความเสียหายเท่ากับ 2 ซึ่งเป็นระดับต้านทาน คือ สายพันธุ์ T5-154-10 และมีข้าว จำนวน 9 ต้นที่อยู่ในระดับค่อนข้างต้านทาน โดยมีระดับคะแนนความเสียหายเท่ากับ 4 คือ สายพันธุ์ T5-109-5, T5-53-2 และคะแนนความเสียหายเท่ากับ 5 คือ สายพันธุ์ T5-271-2, T5-217-10, T5-178-2, T5-109-1, T5-109-4, T5-162-5, T5-57-3 นอกจากนี้จากการตรวจสอบลายพิมพ์ดีเอ็นเอของข้าว กข 15 ที่ถูกระดมยิงด้วยเทคนิคพลาสมาพลังงานต่ำเปรียบเทียบกับข้าว กข 15 ด้วยเทคนิค HAT-RAPD โดยใช้ไพรเมอร์ทั้งหมด 10 ไพรเมอร์ พบว่า มีไพรเมอร์ จำนวน 3 ไพรเมอร์ คือ OPH15, OPBH15 และ OPAA14 ที่สามารถบ่งบอกความแตกต่างของลายพิมพ์ดีเอ็นเอได้ โดยไพรเมอร์ OPH15 ให้แถบดีเอ็นเอขนาดประมาณ 700 คู่เบส ที่น่าสนใจในการพัฒนาต่อเพื่อเป็นเครื่องหมายโมเลกุลในการติดตามข้าว กข 15 ที่ถูกระดมยิงด้วยเทคนิคพลาสมาพลังงานต่ำสายพันธุ์ที่ต้านทานต่อเชื้อรา Curvalaria sp. ได้