ภาคนิพนธ์นิสิตระดับปริญญาตรี (Term Paper of Undergraduate Students)
Permanent URI for this community
Browse
Browsing ภาคนิพนธ์นิสิตระดับปริญญาตรี (Term Paper of Undergraduate Students) by Issue Date
Now showing 1 - 20 of 216
Results Per Page
Sort Options
- Itemสมบัติดินและการประเมินการกักเก็บคาร์บอนในดินชั้นบนบริเวณพื้นที่ป่าเต็งรัง มหาวิทยาลัยพะเยา(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2014) สุภาภรณ์ แก้วสน; หทัยชนก จรเข้การศึกษาสมบัติทางกายภาพ ทางเคมี และการประเมินการกักเก็บคาร์บอนในดินพื้นที่ป่าเต็งรัง มหาวิทยาลัยพะเยา มีวัตถุประสงค์ เพื่อประเมินปริมาณการสะสมคาร์บอนของทรัพยากรดินในป่าเต็งรัง ในการกำหนดจุดเก็บตัวอย่างดินที่เป็นตัวแทนที่ตัวดีที่สุด จำนวน 8 จุด โดยแบ่งพื้นที่ศึกษาออกเป็น 4 ลักษณะ ได้แก่ พื้นที่บริเวณเนินเขา พื้นที่ลาดเอียง พื้นที่ราบ และพื้นที่ใกล้ทางน้ำ ซึ่งเก็บตัวอย่างที่ 3 ระดับความลึก ได้แก่ 0-5, 5-15 และ 15-30 cm เพื่อวิเคราะห์สมบัติทางกายภาพและเคมี พบว่า ดินในป่าเต็งรังเป็นดินตื้นซึ่งมีเนื้อดินอยู่ในพิสัยดินร่วนเหนียวปนทรายถึงดินเหนียวปนทราย ความหนาแน่นของดิน พบว่า มีค่าเพิ่มขึ้นเมื่อมีระดับความลึกมากขึ้นโดยมีค่าเฉลี่ยในแต่ละความลึกดังนี้ 1.47, 1.78 และ 1.76 g/cm³ ค่าปฏิกิริยาของดินเป็นกรดรุนแรงมาก (pH, 4.4) ถึงกรดเล็กน้อย (pH, 6.6) ปริมาณอินทรียวัตถุในดินชั้นบนมีปริมาณต่ำไปจนถึงมาก (463.4 - 7.69g/kg) เช่นเดียวกับอินทรีย์คาร์บอนที่ระดับ 0-5, 5-15 และ 15-30 cm มีค่าเฉลี่ยเท่ากับร้อยละ 2.41, 1.13 และ 0.84 ตามลำดับ นอกจากนี้ยังสอดคล้องกับไนโตรเจน (0.01-1.29 g/kg) ในดินชั้นบนสุดพบว่า อัตราส่วน C/N มีค่าประมาณ 31.31 ซึ่งเพียงพอต่อการเกิดกระบวนการย่อยสลายของจุลินทรีย์ในดิน
- Itemอิทธิพลของสภาพจุลอุตุนิยมวิทยาต่อการแลกเปลี่ยนก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ระหว่างบรรยากาศกับป่าเต็งรังในมหาวิทยาลัยพะเยา(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2014) เบญจพร แก้วน้อย; มานะ ปันยา; วัชระพงษ์ บุญเรืองงานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ ศึกษาอิทธิพลของสภาพจุลอุตุนิยมวิทยาที่มีผลต่อการแลกเปลี่ยนก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ระหว่างบรรยากาศ (Atmosphere) กับระบบนิเวศป่าเต็งรัง (Dry dipterocarp forest ecosystem) ในมหาวิทยาลัยพะเยา โดยประยุกต์ใช้เทคนิคความแปรปรวนร่วมแบบหมุนวน (Eddy covariance technique) ตั้งแต่เดือน พฤษภาคม ถึง ตุลาคม พ.ศ. 2556 ผลการศึกษาพบว่า ปัจจัยของสมดุลพลังงาน ในแง่ของความร้อนที่ใช้ในการะเหยน้ำ (Lotent heat: LE) กับ ความร้อนที่ใช้ในการเผาอากาศ (Sensible heat: H) มีผลต่อการแลกเปลี่ยนก๊าซ CO2 (Net ecosystem exchange: NEE) ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเมื่อค่า LE และ H สูงขึ้น ทำให้ค่า NEE ก็มีแนวโน้มที่สูงขึ้นตามไปด้วย จนถึงระดับหนึ่งค่า NEE มีแนวโน้มที่คงที่และมีความสอดคล้องกับความเข้มแสงที่พืชสามารถสังเคราะห์แสงได้ (Photosynthetically active radiation: PAR) นอกจากนี้ค่าของ PAR รายเดือนยังขึ้นอยู่กับปริมาณแสงสุทธิที่เข้ามาในระบบในช่วงฤดูกาลเดียวกัน สำหรับการตอบสนองของ NEE ต่อการเปลี่ยนแปลงของความชื้นในดิน และอุณหภูมิอากาศ พบว่า มีความสัมพันธ์กันไม่ชัดเจน เนื่องจากในช่วงการศึกษาเป็นช่วงฤดูฝน โดยสรุป ปัจจัยทางจุลอุตุนิยมวิทยาที่ส่งผลต่อ NEE คือ LE, H และ PAR ส่วนความชื้นในดิน และอุณหภูมิอากาศ พบว่า ยังไม่ชัดเจน ซึ่งพบว่า ค่า NEE ในพื้นที่ป่าเต็งรัง มหาวิทยาลัยพะเยา มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ -2.12 µmol/m2/s หรือคิดเป็น 30.6 tC02/ha/yr อย่างไรก็ตามเนื่องจากการศึกษานี้ส่วนใหญ่เป็นข้อมูลอยู่ในช่วงฤดูฝนจึงทำให้เห็นรูปแบบการเปลี่ยนแปลงของ NEE ในรอบปีที่ยังไม่ชัดเจน จึงควรมีการศึกษาในระยะยาวเพื่อสามารถประเมินศักยภาพการกักเก็บคาร์บอนในรอบปีได้อย่างถูกต้องต่อไป
- Itemคุณภาพต้นน้ำในลำน้ำสาขาต้นน้ำของพื้นที่ชุ่มน้ำกว๊านพะเยา(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2014) เบญจวรรณ ประสารยากว๊านพะเยาเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำนานาชาติและเป็นแหล่งน้ำผิวดินที่มีความสำคัญของลุ่มน้ำอิง ซึ่งเป็นแหล่งทรัพยากรของชุมชนภาคเหนือตอนบนโดยกว๊านพะเยาเป็นแหล่งน้ำที่ล้อมรอบไปด้วยพื้นที่การเกษตรและชุมชนเมือง ได้ทำการสำรวจตัวแทนลำน้ำต้นน้ำที่ไหลลงสู่กว๊านพะเยา 2 ลำน้ำ ได้แก่ ลำน้ำแม่ใส และลำน้ำสันป่าถ่อน จากผลการวิเคราะห์ พบว่า ปริมาณที่จุลินทรีย์ต้องการใช้ในการย่อยสลายสารอินทรีย์ ในน้ำสูงสุด คือ 3.3 มิลลิกรัมต่อลิตร ภาระบรรทุกปีโอดี พบว่า มีภาระบรรทุกของปีโอดีสูงที่สุด คือ 3,086 กิโลกรัมต่อวัน แอมโมเนียไนโตรเจนสูงที่สุด คือ 2.52 มิลลิกรัมต่อลิตร ไนเตรตไนโตรเจนสูงที่สุด คือ 9.54 มิลลิกรัมต่อลิตร ซึ่งเกินมาตรฐานคุณภาพน้ำผิวดินจึงทำให้ส่งผลกระทบต่อความสมดุลทางระบบนิเวศพื้นที่ชุ่มน้ำกว๊านพะเยา
- Itemการประเมินมวลชีวภาพเหนือพื้นดินในป่าเต็งรัง มหาวิทยาลัยพะเยา(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2014) จริยา อีดี; พิมลดา ตันเส้าการประเมินมวลชีวภาพเหนือพื้นดินในพื้นที่ป่าเต็งรัง มหาวิทยาลัยพะเยา ในระหว่างเดือนธันวาคม พ.ศ. 2556 ถึง เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557 มีวัตถุประสงค์ เพื่อทราบปริมาณการกักเก็บคาร์บอนในรูปมวลชีวภาพเหนือพื้นดิน ดำเนินการศึกษาโดยการวางแปลงตัวอย่าง ขนาด 10 m x 10 m จำนวน 4 แปลง ทำการวัดสรีรวิทยาของต้นไม้ ได้แก่ ความสูงและเส้นผ่านศูนย์กลางระดับอก (Diameter at Breast Height; DBH) รวมถึงการจัดเก็บการร่วงหล่นของใบไม้ (Little fall) เพื่อนำไปประมาณหามวลชีวภาพเหนือดินโดยใช้สมการแอลโรเมตริก (Allometric equation) ผลการศึกษาพบว่า ปริมาณคาร์บอนในรูปมวลชีวภาพแต่ละส่วน ได้แก่ ลำต้น, กิ่ง, ใบ, มวลชีวภาพที่ร่วงหล่น เท่ากับ 7.20, 0.75, 0.35 และ 0.12 tC/ha ตามลำดับ และการศึกษาครั้งนี้พบว่า ปริมาณคาร์บอนในรูปของมวลชีวภาพเหนือพื้นดินในระบบนิเวศป่าเต็งรัง มหาวิทยาลัยพะเยา รวมทั้งหมด เท่ากับ 8.43 tC/ha
- Itemการจัดการมูลฝอยโดยการลดใช้โฟมบรรจุอาหารในมหาวิทยาลัยพะเยา เพื่อขับเคลื่อนมหาวิทยาลัยสีเขียว(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2015) ปัทมา เซ็นหอม; อรทัย พิศวาทUP Green เป็นยุทธศาสตร์ด้านสิ่งแวดล้อมของมหาวิทยาลัยพะเยา โดยมีการประเมินตนเองเบื้องต้นตามเกณฑ์สากลมหาวิทยาลัยสีเขียว (UI) หนึ่งในหกเกณฑ์ที่ใช้พิจารณา คือ การประเมินการจัดการของเสียให้สอดคล้องกับการเป็น Green University เพื่อขับเคลื่อนให้บรรลุเป้าหมาย จากการศึกษาองค์ประกอบทางกายภาพของมูลฝอยโดยวิธี Quartering method ในมหาวิทยาลัยพะเยา พบว่า มีปริมาณมูลฝอย 2.05 ตัน/วัน สัดส่วนขยะที่พบมากที่สุด 3 อันดับ ได้แก่ 1) มูลฝอยประเภทพลาสติก ร้อยละ 62.5 2. ขยะอินทรีย์ร้อยละ 43.5 3. มูลฝอยทั่วไป ร้อยละ 25.16 ซึ่งโฟมเป็นมูลฝอยชนิดที่ไม่สามารถย่อยสลายเองได้มีความจำเป็นต้องดำเนินการจัดการเพื่อจัดการโฟมเนื่องจากโฟมไม่สามารถย่อยสลายได้ มีที่ฝังกลบไม่เพียงพอ โฟมมีอันตรายต่อผู้บริโภคและส่งผลกระทบต่อระบบสิ่งแวดล้อม ซึ่งปัจจุบันมีบรรจุภัณฑ์ที่สามารถใช้แทนโฟมได้ การจัดทำโครงการรณรงค์การใช้บรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมแทนการใช้กล่องโฟมภายในมหาวิทยาลัยพะเยาซึ่งทำให้มีการลดใช้โฟมได้วันละ 2,570 ใบต่อวัน ใช้กล่องไบโอชานอ้อยทดแทน 560 ใบต่อวัน การจัดทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือกับร้านค้าในมหาวิทยาลัยพะเยาในการไม่ใช้โฟมซึ่งมีจำนวนร้านที่เข้าร่วม 16 ร้านจาก 24 ร้าน ผลสำรวจความพึงพอใจของผู้ร่วมโครงการพบว่า ผู้ประกอบการให้ความสำคัญการไม่ใช้โฟมร้อยละ 66.67 การศึกษานี้พบว่า แนวทางงดใช้โฟมและมาตรการใช้กล่องไบโอชานอ้อยทดแทนจะสามารถช่วยขับเคลื่อนการเป็นมหาวิทยาลัยสีเขียวของมหาวิทยาลัยพะเยาโดยการลดใช้โฟมสามารถทำให้ลดการปล่อยคาร์บอนจากโฟมได้เท่ากับ 2.7227 kgCO2e และส่งผลให้มีคะแนนตามเกณฑ์ Green University เพิ่มขึ้นได้
- Itemผลอัลลีโลพาธีของสารสกัดจากพืชต่อการงอกและการเจริญเติบโตของวัชพืชหญ้าก้นจ้ำขาว(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2015) รัสชญา คำมี; สุภชา ธุวะคำ; กมลลักษณ์ ธรรมราชการวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาประสิทธิภาพของสารสกัดจากพืชที่มีคุณสมบัติอัลลิโลพาธีในการควบคุมการงอก และการเจริญเติบโตของหญ้าก้นจ้ำขาว โดยสกัดจากพืช 5 ชนิด ได้แก่ พญาสัตบรรณ (Alstonia scholaris) ราชพฤกษ์ (Cassia fistula) หญ้าดอกขาว (Leptochloa chinensis Nees) ต้อยติ่ง (Ruellia tuberose Linn.) และหญ้าก้นจ้ำขาว (Bindens pilosa Linn.) สกัดด้วยตัวทำละลายอินทรีย์สามชนิด คือ เมทานอล เอทิลอะซิเตต และเฮกเซน นำมาทดสอบความเป็นพิษเบื้องต้นต่อไรทะเล ทดสอบประสิทธิภาพในการยับยั้งการเจริญเติบโตของพืชโดยการตรวจสอบการงอก ความเร็วในการงอก ความยาวยอด ความยาวราก น้ำหนักสด และน้ำหนักแห้งของเมล็ดหญ้าก้นจ้ำขาว เปรียบเทียบกับสารเคมีกำจัดวัชพืช ผลการทดลองพบว่า สารสกัดที่มีความเป็นพิษต่อไรทะเลสูงที่สุด คือ สารสกัดจากพญาสัตบรรณ ที่สกัดด้วยตัวทำละลายทั้งสามชนิดมีค่า LC50 เท่ากับ 0.010 เปอร์เซ็นต์ สารสกัดจากพืชที่มีประสิทธิภาพในการยับยั้งอัตราการงอกของเมล็ดก้นจ้ำขาวได้ดีที่สุด คือ สารสกัดจากพืชทุกชนิด ที่ความเข้มข้น 0.5 0.25 และ 0.125 เปอร์เซ็นต์ สามารถยับยั้งการงอกของเมล็ดก้นจ้ำขาวได้ถึง 100 เปอร์เซ็นต์ สารสกัดที่สามารถยับยั้งความยาวยอดได้ดีที่สุด คือ สารสกัดจากหญ้าก้นจ้ำขาวที่สกัดด้วยเมทานอล ที่ความเข้มข้นระหว่าง 0.5 0.25 และ 0.125 เปอร์เซ็นต์ สามารถยับยั้งความยาวยอดได้ 100 เปอร์เซ็นต์ ในขณะที่สารสกัดจากพืชทุกชนิดที่สกัดด้วยตัวทำละลายเฮกเซนที่ความเข้มข้นระหว่าง 0.5 0.25 และ 0.125 เปอร์เซ็นต์สามารถยับยั้งความยาวรากของก้นจ้ำขาวได้ถึง 100 เปอร์เซ็นต์ จากการตรวจสอบน้ำหนักสดและน้ำหนักแห้งของ ต้นอ่อนหญ้าก้นจ้ำขาว พบว่า สารสกัดจากพญาสัตบรรณที่สกัดด้วยตัวทำละลายเอทิลลอะซิเตต ให้ประสิทธิภาพในการยับยั้งได้ดีที่สุดถึง 100 เปอร์เซ็นต์ที่ความเข้มข้น 0.5 0.25 และ 0.125 เปอร์เซ็นต์ จากผลการทดลองนี้จึงสรุปได้ว่าสารสกัดจากก้นจ้ำขาว และพญาสัตบรรณมีประสิทธิภาพในการยับยั้งการงอก และการเจริญเติบโตของหญ้าก้นจ้ำข้าวได้ดีกว่าสารเคมีกำจัดวัชพืชไกลโฟเสท
- Itemความคิดรวบยอดเรื่องความสว่างของดาวฤกษ์ของนักเรียนชั้น ม.6/1 โรงเรียนพะเยาประสาธน์วิทย์ และนักเรียนชั้น ม.6/11 โรงเรียนพะเยาพิทยาคม อำเภอเมืองพะเยา จังหวัดพะเยา ปีการศึกษา 2559(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2016) หนึ่งฤทัย สุทธสมการศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาความเข้าใจของนักเรียน เกี่ยวกับเรื่องความสว่างของดาวฤกษ์ 2) เปรียบเทียบความเข้าใจของนักเรียน จากโรงเรียนขนาดเล็ก และขนาดใหญ่พิเศษ ว่ามีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับเรื่อง ความสว่างของดาวฤกษ์ เหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร โดยมีกลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนจากโรงเรียนพะเยาประสาธน์วิทย์ จำนวน 32 คน และนักเรียนจากโรงเรียนพะเยาพิทยาคม จำนวน 37 คน โดยเป็นการสุ่มแบบเจาะจง ผลของการศึกษาพบว่า ในส่วนของนักเรียนโรงเรียนพะเยาประสาธน์วิทย์ มีนักเรียนเฉลี่ยเกือบร้อยละ 15% ของนักเรียนทั้งหมด ที่มีความเข้าใจถูกต้องครบถ้วนสมบูรณ์ และนักเรียนเฉลี่ยเกือบร้อยละ 37% ของนักเรียนทั้งหมด ที่มีความเข้าใจค่อนข้างที่จะถูกต้อง แต่อาจจะไม่ได้ถูกต้องครบถ้วนสมบูรณ์ และมีนักเรียนที่เข้าใจผิด และไม่ทราบคำตอบ เฉลี่ยเกือบร้อยละ 49% ของนักเรียนทั้งหมด และในส่วนของนักเรียนโรงเรียนพะเยาพิทยาคม มีนักเรียนเฉลี่ยเกือบร้อยละ 45% ของนักเรียนทั้งหมด ที่มีความเข้าใจถูกต้องครบถ้วนสมบูรณ์ และนักเรียนเฉลี่ยเกือบร้อยละ 25% ของนักเรียนทั้งหมด ที่มีความเข้าใจค่อนข้างที่จะถูกต้องแต่อาจจะไม่ได้ถูกต้องครบถ้วนและสมบูรณ์ และมีนักเรียนที่เข้าใจผิดและไม่ทราบคำตอบ เฉลี่ยเกือบร้อยละ 30% ของนักเรียนทั้งหมด
- Itemการสำรวจความเข้าใจผิดเกี่ยวกับการเกิดปฏิกิริยานิวเคลียร์ในดวงอาทิตย์ของนักเรียน โรงเรียนพินิตประสาธน์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 และนักเรียนโรงเรียนประชาบำรุง ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 อำเภอเมือง จังหวัดพะเยา ปีการศึกษา 2559(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2016) ยุธิดา จุตตโนการศึกษาอิสระ การสำรวจความเข้าใจผิดเกี่ยวกับการเกิดปฏิกิริยานิวเคลียร์ในดวงอาทิตย์ ของนักเรียนโรงเรียนพินิตประสาธน์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 และนักเรียนโรงเรียนประชาบำรุง ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 อำเภอเมือง จังหวัดพะเยา ปีการศึกษา 2559 จำนวนทั้งสิ้น 42 คน เครื่องมือของการสำรวจ คือ แบบสำรวจความรู้ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับการเกิดปฏิกิริยานิวเคลียร์ในดวงอาทิตย์ โดยมีเนื้อหาเกี่ยวกับการเกิดปฏิกิริยานิวเคลียร์ในดวงอาทิตย์ พลังงานที่ได้จากการเกิดปฏิกิริยา ปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิวชัน ปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิชชัน แบบอัตนัย จำนวน 5 ข้อ ผลการสำรวจพบว่า โรงเรียนที่ตอบคำถามถูกต้องและสมบูรณ์แบบมากที่สุด คือ นักเรียนโรงเรียนประชาบำรุง คิดเป็น 7 เปอร์เซ็นต์ โรงเรียนที่ตอบผิดหรือมีความเข้าใจผิดมากที่สุด คือ นักเรียนโรงเรียนประชาบำรุง คิดเป็นร้อยละ 48 โดยคำถามที่เข้าใจผิดมากที่สุด คือ ข้อ 4 นักเรียนส่วนมากเข้าใจผิดคิดว่าสมการการเกิดปฏิกิริยานิวเคลียร์ในดวงอาทิตย์เป็นสมการสัมพัทธภาพพิเศษหลักสมมูลมวลพลังงานของไอน์สไตน์ และเป็นธาตุยูเรเนียมโรงเรียนที่ตอบคำถามผิดหรือเข้าใจผิดลองลงมา คือ นักเรียนโรงเรียนพินิตประสาธน์ คิดเป็นร้อยละ 45.56 ข้อที่นักเรียนตอบคำถามผิดมากที่สุด หรือเข้าใจผิดมากที่สุด คือ ข้อที่ 1 นักเรียนส่วนใหญ่ตอบมาว่าปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิวชันเกิดจากการยิงอนุภาคเข้าไปยังนิวเคลียสธาตุหนัก ซึ่งเป็นคำตอบที่สลับกันกับปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิชชัน
- Itemคุณภาพน้ำในระบบบึงประดิษฐ์แบบลอยน้ำโดยใช้แพลงก์ตอนพืชเป็นดัชนีชี้วัด(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2016) รัฐธนานุพนต์ ใจยะเขียว; จักรกฤษณ์ โทจรัญการศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาคุณภาพน้ำในระบบบึงประดิษฐ์แบบลอยน้ำโดยใช้แพลงก์ตอนพืชเป็นดัชนีชี้วัด ระหว่างเดือนมกราคมถึงเดือนมีนาคม 2559 ซึ่งพบแพลงก์ตอนพืชทั้งหมด ดังนี้ 1) น้ำเสียก่อนเข้าระบบ พบแพลงก์ตอนพืชทั้งหมด 4 Divisions 31 genera 64 species โดยแพลงก์ตอนพืชที่มีจำนวนชนิดมากที่สุด คือ Division Chlorophyta 56% และต่ำสุด ได้แก่ Division Euglenophyta 9% และ Division Cyanophyta 9% 2) ชุดการทดลองควบคุมไม่มีแพลอยน้ำ พบแพลงก์ตอนพืชทั้งหมด 4 Divisions 34 genera 61 species โดยแพลงก์ตอนพืชที่มีจำนวนชนิดมากที่สุด คือ Division Bacillariophyta 49% และต่ำสุด คือ Division Cyanophyta 9% 3) ชุดการทดลองควบคุมมีแพลอยน้ำ พบแพลงก์ตอนพืชทั้งหมด 4 Divisions 33 genera 56 species โดยแพลงก์ตอนพืชที่มีจำนวนชนิดมากที่สุด คือ Division Bacillariophyta 41% และตํ่าสุด คือ Division Cyanophyta 4% 4) ชุดการทดลองพืชกกลังกา พบแพลงก์ตอนพืชทั้งหมด 4 Divisions 33 genera 60 species โดยแพลงก์ตอนพืชที่มีจำนวนชนิดมากที่สุดคือ Division Chlorophyta 44% และต่ำสุด คือ Division Cyanophyta 7% 5) ชุดการทดลองพืชไอริส พบแพลงก์ตอนพืชทั้งหมด 4 Divisions 34 genera 61 species โดยแพลงก์ตอนพืชที่มีจำนวนชนิดมากที่สุด คือ Division Bacillariophyta 37% และต่ำสุด คือ Division Cyanophyta 13% คุณภาพน้ำโดยใช้แพลงก์ตอนพืชชนิดเด่นที่พบ โดยวิธี AARL-PP Score จัดอยู่ในระดับ 5.6-7.5 คะแนน บ่งชี้คุณภาพอยู่ในระดับ Meso-eutrophic หรือสารอาหารปานกลางถึงสูง โดยแพลงก์ตอนพืชจีนัส Scenedesmus และ Cyclotella เป็นจีนัสที่พบมากที่สุดในน้ำเสียก่อนเข้าระบบซึ่งสามารถบ่งชี้สภาพคุณภาพน้ำต่ำได้ นอกจากนี้พบว่าเมื่อวิเคราะห์ข้อมูลทางสถิติโดยใช้ Canonical Correspondence Analysis (CCA) เพื่อหาความสัมพันธ์ของแพลงก์ตอนพืชกับคุณภาพน้ำบางประการ สามารถแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ (1) กลุ่ม Euglena sp.5 Euglena sp.6 Nitzchia palea Monoraphidium contortum และ Phocus ranula มีแนวโน้มสัมพันธ์เชิงบวกกับแอมโมเนียไนโตรเจน (2) กลุ่ม Euglena sp.7 Phacus sp.1 Phacus sp.2 Golenkinia sp.1 และ Cosmarium sp.1 มีแนวโน้มสัมพันธ์เชิงบวกกับ DO และ (3) กลุ่ม Closteriopsis sp.2 มีแนวโน้มสัมพันธ์เชิงบวกกับไนโตรเจนรวมและปริมาณของแข็งแขวนลอย
- Itemความหลากหลายของแพลงก์ตอนพืชและคุณภาพน้ำในอ่างเก็บน้ำเหมืองเชียงม่วนและอ่างเก็บน้ำห้วยสระ ปี 2559(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2016) กรวิชญ์ ดวงกิจ; ธรรมรัตน์ ปัจฉิม; นิพิชฌน์ สามพิมพ์; ศุภกร รินวงศ์การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างความหลากหลายของแพลงก์ตอนพืชกับคุณภาพน้ำในอ่างเก็บน้ำเหมืองเชียงม่วน และอ่างเก็บน้ำห้วยสระ โดยทำการเก็บตัวอย่างในเดือนสิงหาคมถึงเดือนตุลาคม พ.ศ. 2559 ในอ่างเก็บน้ำเหมืองเชียงม่วน บริเวณที่มีความลึกมากที่สุดตามระดับความลึกทุก ๆ 20 เมตร (0-60 เมตร) รวมทั้งผิวน้ำ และอ่างเก็บน้ำห้วยสระ บริเวณผิวน้ำ ผลการศึกษาพบว่า ในอ่างเก็บน้ำเหมืองเชียงม่วน มีแพลงก์ตอนพืชทั้งหมด 7 Division 29 species โดยแพลงก์ตอนพืชที่มีจำนวนชนิดมากที่สุด คือ Division Chlorophyta (44.83%) รองลงมา คือ Division Cyanophyta (17.24%) Division Euglenophyta (13.79%) Division Bacillariophyta (10.34%) Division Pyrrophyta (6.90%) Division Chrysophyta (3.45%) และ Division Cryptophyta (3.45%) ตามลำดับ ส่วนในอ่างเก็บน้ำห้วยสระ พบว่า มีแพลงก์ตอนพืชทั้งหมด 7 Division 38 species โดยแพลงก็ตอนพืชที่มีจำนวนชนิดมากที่สุด คือ Division Euglenophyta (34.21%) รองลงมา คือ Division Chlorophyta (26.32%) Division Cyanophyta (13.16%) Division Bacillariophyta (13.16%) Division Chrysophyta (5.26%) Division Pyrrophyta (5.26%) และ Division Cryptophyta (2.63%) ตามลำดับ ตลอดระยะเวลา 3 เดือน พบว่า แพลงก์ตอนพืชที่มีความถี่สัมพัทธ์ และการกระจายตัวสัมพัทธ์สูงที่สุด คือ Peridiniopsis sp. จากการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างชนิดของแพลงก์ตอนพืชกับปัจจัยคุณภาพน้ำโดยวิธี Canonical Correspondence Analysis (CCA) พบว่า มี 3 กลุ่มที่มีความสัมพันธ์กับปัจจัยทางด้านกายภาพและเคมีบางประการ ได้แก่ กลุ่มที่ 1 คือ Coelastrun sp. Euglena sp.1 Euglena sp.2. Euglena sp.3 Euglena sp.4 Pandorina sp. Strombomonas sp. Trachelomonas sp.1 และ Trachelomonas sp.2 มีแนวโน้มความสัมพันธ์เชิงบวกกับ DO และมีความสัมพันธ์เชิงลบกับปริมาณของแข็งละลายน้ำทั้งหมด และปริมาณของแข็งทั้งหมด กลุ่มที่ 2 คือ Aphanocapsa holsatica Dinabryon divergens Encyonema sp. Heteronema sp. Navicula sp. Oscillatoria sp. Petalomonas sp. Strombomonas acuminata Tetroedron incus และ Trachelomonas volvocinopsis มีความสัมพันธ์เชิงบวกกับโคลิฟอร์มแบคทีเรียทั้งหมด ฟิคัลโคลิฟอร์ม ฟอสฟอรัสทั้งหมด และความขุ่น และมีความสัมพันธ์เชิงลบกับ E. coli pH แอมโมเนียไนโตรเจน ไนโตรเจนรวม ความลึกที่แสงส่องถึง และอุณหภูมิอากาศ กลุ่มที่ 3 คือ Botryococcus braunii Closterium sp. Cosmarium sp. Cosmocladium constrictum Didymocystis sp. แaะ Synedra ulno มีความสัมพันธ์เชิงบวกกับ E. coli และมีความสัมพันธ์เชิงลบกับโคลิฟอร์มแบคทีเรียทั้งหมด ฟีคัลโคลิฟอร์ม ฟอสฟอรัสทั้งหมดความขุ่น และปริมาณของแข็งแขวนลอยในน้ำทั้งหมด การประเมินคุณภาพน้ำโดยใช้แพลงก์ตอนพืช ชนิดเด่นที่พบโดย วิธี AARL-PP Score พบว่า ตลอดระยะเวลาศึกษาคุณภาพน้ำในอ่างเก็บน้ำเหมืองเชียงม่วนและอ่างเก็บน้ำหัวยสระ อยู่ในระดับคะแนนที่ 5.6-7.5 คะแนน จัดคุณภาพน้ำตามระดับสารอาหารอยู่ในระดับ Meso-eutrophic (สารอาหารปานกลางถึงสูง) ส่วนการประเมินคุณภาพน้ำตามดัชนีคุณภาพน้ำ Water Quality Index (WQI) พบว่า คุณภาพน้ำในอ่างเก็บน้ำเหมืองเชียงม่วนและอ่างเก็บน้ำห้วยสระ อยู่ในระดับคะแนนที่ 49-76 คะแนน ซึ่งอยู่ในเกณฑ์คุณภาพน้ำเสื่อมโทรม-ดี และจัดอยู่ในแหล่งน้ำผิวดินประเภทที่ 2-4-4 นอกจากนี้ยัง พบว่า ปริมาณของสารหนูในอ่างเก็บน้ำเหมืองเชียงม่วน และอ่างเก็บน้ำห้วยสระ มีปริมาณต่ำกว่าระดับที่สามารถตรวจวัด (0.01 มิลลิกรัม ต่อ ลิตร) ในทุกตัวอย่างน้ำ
- Itemความเข้าใจเชิงความคิดรวบยอดเรื่อง สภาพอวกาศ (space weather) ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนดอกคำใต้วิทยาคม และโรงเรียนถ้ำปินวิทยาคม ปีการศึกษา 2559(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2016) ธีรภัทร์ สิงห์งามการวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาความรู้พื้นฐาน วิเคราะห์เนื้อหานักเรียนเข้าใจผิดเรื่อง สภาพอวกาศของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 (สายวิทย์-คณิต) โรงเรียนถ้ำปินวิทยาคม อำเภอดอกคำใต้ จังหวัดพะเยา และโรงเรียนดอกคำใต้วิทยาคม อำเภอดอกคำใต้ จังหวัดพะเยา และนำผลจากการวิเคราะห์ความเข้าใจผิดของนักเรียน เรื่อง สภาพอวกาศ เป็นข้อมูลสำหรับผู้ที่สนใจทำสื่อการสอน หรือปรับปรุงการเรียนการสอนต่อไป วิเคราะห์เนื้อหาเรื่องสภาพอวกาศที่นักเรียนเข้าใจผิดโดยใช้แบบทดสอบแบบปลายเปิด มีเวลาในการทำ 30 นาที กลุ่มเป้าหมายของการวิจัยนี้ คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 (สายวิทย์-คณิต) โรงเรียนถ้ำปินวิทยาคม จำนวน 35 คน และโรงเรียนดอกคำใต้วิทยาคม จำนวน 26 คน จากผลการศึกษาพบว่า นักเรียนโรงเรียนดอกคำใต้วิทยาคมมีความเข้าใจถูกต้องคิดเป็นร้อยละ 60 มีความเข้าใจผิดคิดเป็นร้อยละ 40 นักเรียนโรงเรียนถ้ำปินวิทยาคมมีความเข้าใจถูกต้องคิดเป็นร้อยละ 40 มีความเข้าใจผิดคิดเป็นร้อยละ 52 และไม่ตอบคำถามคิดเป็นร้อยละ 8 ข้อมูลเบื้องต้นแสดงให้เห็นว่านักเรียนที่ได้ทำแบบทดสอบมีความเข้าใจเรื่อง สภาพอวกาศ แตกต่างกัน นักเรียนโรงเรียนดอกคำใต้วิทยาคมส่วนใหญ่มีความเข้าใจเรื่อง สภาพอวกาศ มากกว่านักเรียนโรงเรียนถ้ำปินวิทยาคม ทั้งนี้นักเรียนที่คำตอบถามแบบสอบถามถูกต้องของทั้งสองโรงเรียนจะตอบคำถามเพียงส่วนเดียวยังไม่มีการอธิบายถึงสาเหตุการเกิด และผลกระทบต่อโลก ต่อสิ่งมีชีวิตบนโลก และต่อมนุษย์ได้ดีเท่าที่ควรเหมือนกับเป็นการท่องจำยังมิได้เป็นความเข้าใจที่ถูกต้องอย่างแท้จริง
- Itemผลของมูลไส้เดือนดินต่อการเจริญเติบโตของต้นกล้าผักกาดหอมสายพันธุ์เรดโอคและกรีนโอค(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2016) พรนภา กาเรียน; ศิรประภา ฉลองแดนการศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อวิเคราะห์ธาตุอาหารหลัก (ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และโพแทสเซียม) อินทรียวัตถุและกรดฮิวมิคในมูลไส้เดือนดินเปรียบเทียบกับปุ๋ยหมัก และดินชุดควบคุม และเปรียบเทียบผลของมูลไส้เดือนดิน ปุ๋ยหมัก และดินชุดควบคุมต่อการเจริญเติบโตของต้นกล้าผักกาดหอมสายพันธุ์เรดโอคและกรีนโอค โดยใช้อัตราส่วนผสมดินต่อปุ๋ย 70:30 โดยปริมาตร ซึ่งพบว่า ปริมาณธาตุอาหารหลัก ได้แก่ ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และโพแทสเซียมในมูลไส้เดือนดินเท่ากับ 12.302 7.736 และ 0.004 เปอร์เซ็นต์ ตามลำดับซึ่งมากกว่าดินชุดควบคุมและปุ๋ยหมัก (p<0.05) ในขณะที่ปริมาณอินทรียวัตถุ และกรดฮิวมิคที่พบในปุ๋ยหมักมีค่าเท่ากับ 1.695 และ 26.690 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งมากกว่าดินชุดควบคุมและมูลไส้เดือนดิน (p<0.05) นอกจากนี้ยังพบว่า มูลไส้เดือนดินทำให้การงอกเฉลี่ยของต้นกล้า ผักกาดหอมเครื่องหมายการค้าเจ (J) สายพันธุ์เรดโอด และกรีนโอด เท่ากับ 5.44 และ 1.58 เปอร์เซ็นต์ ตามลำดับ มีความสูงเฉลี่ยต่อต่อต้นเท่ากับ 0.23 และ 0.73 เซนติเมตร ตามลำดับซึ่งมากกว่าดินชุดควบคุมและปุ๋ยหมัก (p<0.05) ส่วนดินชุดควบคุมมีจำนวนใบเฉลี่ยต่อต้น เท่ากับ 3.00 และ 2.83 ใบ ตามลำดับ ซึ่งมากกว่ามูลไส้เดือนดินและปุ๋ยหมัก (p40.05) ในขณะที่ปุ๋ยหมักทำให้การงอกเฉลี่ยของต้นกล้าผักกาดหอมเครื่องหมายการค้าเอส (S) สายพันธุ์เรดโอคและกรีนโอค เท่ากับ 36.18 และ 40.63 เปอร์เซ็นต์ ตามลำดับ มีความสูงเฉลี่ยต่อต้น เท่ากับ 0.43 และ 3.53 ตามลำดับซึ่งมากกว่าดินชุดควบคุมและมูลไส้เดือนดิน (p<0.05) แต่มูลไส้เดือนดินมีจำนวนใบเฉลี่ยต่อต้นของผักกาดหอมเท่ากับ 3.16 และ 5.63 ใบ ตามลำดับซึ่งมากกว่าดินชุดควบคุมและปุ๋ยหมัก (p<0.05)
- Itemการศึกษาการผลิตเชื้อเพลิงเขียวอัดแท่งจากเปลือกส้มเขียวหวานสายพันธุ์บางมด(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2016) จุฑารัตน์ เปี้ยสุยะงานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาการนำเปลือกส้มเขียวหวานซึ่งเป็นวัสดุเหลือทิ้งจากร้านค้าผลไม้มาผลิตเป็นเชื้อเพลิงเขียวอัดแท่ง และศึกษาอัตราส่วนที่เหมาะสมในการอัดแท่งเชื้อเพลิง ในงานวิจัยนี้ใช้น้ำแป้งมันสำปะหลังเป็นตัวประสาน โดยมีอัตราส่วนผสมของแท่งเชื้อเพลิงเขียวระหว่างเปลือกส้มเขียวหวาน (กิโลกรัม) ต่อนํ้าแป้งมันสำปะหลัง (ลิตร) คือ 1:0, 1:1.25, 1:1.50, 1:1.75 และ 1:2 โดยทำการอัดขึ้นรูปด้วยวิธีการอัดเย็นและได้ทดสอบคุณสมบัติของแท่งเชื้อเพลิงตามมาตรฐาน ASTM ผลจากการศึกษาพบว่า ค่าความร้อนของแท่งเชื้อเพลิงเขียวที่ได้อยู่ในช่วงประมาณ 4,200-4,400 แคลอรีต่อกรัม ในขณะที่ค่าความชื้น สารระเหยปริมาณเถ้า และคาร์บอนคงตัวอยู่ในช่วงประมาณร้อยละ 1.42-3.38, 69.13-76.69, 10.09-17.54 และ 9.70-11.77 ตามลำดับ นอกจากนั้นแท่งเชื้อเพลิงเขียวมีค่าความหนาแน่น และความทนทานประมาณ 2.98-4.15 กรัมต่อลูกบาศก์เซนติเมตร และ 0.91-0.99 ตามลำดับ และระยะเวลาในการเผาไหม้ของแท่งเชื้อเพลิงเขียวปริมาณ 100 กรัม อยู่ในช่วง 76-93 นาที จากผลการทดลองได้พบว่า อัตราส่วนผสมที่มีคุณสมบัติด้านเชื้อเพลิงดีที่สุด คือ เปลือกส้มเขียวหวาน 1 กิโลกรัม ต่อนํ้าแป้งมันสำปะหลัง 0 ลิตร (ไม่มีตัวประสาน) และพบว่า แท่งเชื้อเพลิงเขียวจากเปลือกส้มเขียวหวานมีค่าความร้อนสูงกว่าเชื้อเพลิงจากวัสดุชีวมวลอื่น เช่น เปลือกสับปะรด เปลือกมังคุด เปลือกทุเรียน และทางมะพร้าว ดังนั้นเชื้อเพลิงเขียวอัดแท่งจากเปลือกส้มเขียวหวานสามารถนำมาประยุกต์ใช้เป็นเชื้อเพลิงทางเลือกชนิดหนึ่ง เพื่อทดแทนการใช้ฟืนไม้ในครัวเรือนและภาคอุตสาหกรรม นอกจากนั้น ยังเป็นแนวทางหนึ่งของการนำวัสดุเหลือทิ้งมาใช้ให้เกิดประโยชน์และลดขยะที่ไม่จำเป็น
- Itemประสิทธิภาพการบำบัดน้ำเสียจากโรงงานปลาส้ม โดยใช้น้ำหมักมูลไส้เดือนดิน(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2016) พัชรีภรณ์ จันทร์มณี; ศรีวิไล ทูลมากการศึกษาประสิทธิภาพการบำบัดน้ำเสียจากโรงงานปลาส้มด้วยการเติมน้ำหมักมูลไส้เดือนดิน (Pheretima peguano) ในอัตราเจือจาง 1% 3% และ 5% ภายใต้สภาพแวดล้อมในห้องปฏิบัติการเป็นเวลา 35 วัน ได้ดำเนินการโดยแบ่งการทดลองออกเป็น 4 ชุดการทดลอง ประกอบด้วย ชุดที่ 1 น้ำเสียชุดควบคุม ซึ่งไม่มีการเติมน้ำหมักมูลไส้เดือนดิน ชุดที่ 2 3 และ 4 ประกอบด้วย น้ำเสียผสมน้ำหมักมูลไส้เดือนดิน 1% 3% และ 5% ตามลำดับ ผลการศึกษาพบว่า pH มีแนวโน้มสูงขึ้นทุกชุดการทดลอง ส่วนปริมาณ TSS มีคำเพิ่มขึ้นในน้ำเสียผสมน้ำหมักมูลไส้เดือนดิน 1% 3% และ 5% ในขณะที่น้ำเสียผสมน้ำหมักมูลไส้เดือนดิน 1% และ 3% สามารถลดปริมาณ TKN ได้มากกว่าน้ำเสียชุดควบคุมเพียง 1.40% และ 1.46% ตามลำดับ (P<0.05) ส่วนน้ำเสียผสมน้ำหมักมูลไส้เดือนดิน 5% สามารถลดปริมาณ BODg และ TKN ได้มากกว่าน้ำเสียชุดควบคุมเพียง 1.00% และ 4.49% ตามลำดับ (P<0.05) จากการศึกษาครั้งนี้สรุปได้ว่าน้ำเสียผสมน้ำหมักมูลไส้เดือนดิน 1% 3% และ 5% มีประสิทธิภาพต่ำในการบำบัดน้ำเสียจากโรงงานปลาส้ม
- Itemการเตรียมตัวดูดซับจากวัสดุเหลือใช้ทางธรรมชาติเพื่อกำจัดสีย้อมเมทิลีนบลู(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2016) สุจินดา แสนธิ; ณัฐฐา ธิวงศ์คำในการศึกษานี้ทำการเตรียมตัวดูดซับซิลิกา-ไคโตซานแบบเม็ด เพื่อกำจัดเมทิลีนบลูในสารละลายน้ำโดยใช้เทคนิคยูวี-วิสิเบิล สเปกโทรสโกปีที่ตรวจวัดที่ความยาวคลื่น 664 นาโน เมตร ทำการสังเคราะห์ตัวดูดซับซิลิกา-ไคโตซานแบบเม็ด โดยทำการสังเคราะห์ซิลิกาจากเถ้าแกลบแล้วปรับปรุงด้วยไคโตซาน ซึ่งจะทำให้เป็นเม็ดในสารละลายโซเดียมไฮดรอกไซด์ด้วยวิธี Ball dropping ทำการศึกษาอัตลักษณ์ของตัวดูดซับโดยใช้เทคนิคฟูเรียร์ทรานสฟอร์มอินฟราเรดสเปกโทรสโกปี ศึกษาผลของสภาวะที่เหมาะสมต่อการดูดซับโดยทำการศึกษาเวลาความเข้มข้น พีเอช และอุณหภูมิที่เหมาะสมในการกำจัดเมทิลีนบลู อธิบายสมดุลการดูดซับโดยใช้ไอโซเทอมการดูดซับของแลงเมียร์ ฟรุนดิชและเทมคิน และศึกษาจลนพลศาสตร์การดูดซับจากปฏิกิริยาอันดับหนึ่งเทียมและปฏิกิริยาอันดับสองเทียม จลนพลศาสตร์การดูดซับและไอโซเทอมการดูดซับสามารถอธิบายได้โดยใช้ปฏิกิริยาอันดับสองเทียมและไอโซเทอมการดูดซับแบบแลงเมียร์ (R2 = 0.9911) พบว่า ความสามารถในการดูดซับสูงสุดของตัวดูดซับซิลิกา-ไคโตซานเม็ด ค่าเท่ากับ 5000 มิลลิกรัมต่อกรัม จากพารามิเตอร์ทางเทอร์โมไดนามิกส์ เช่น พลังงานอิสระกิบส์ เอนทาลปี และเอนโทรปี สามารถอธิบายได้ว่าการดูดซับสีย้อมเมทิลีนบลูเป็นการดูดความร้อนและสามารถเกิดขึ้นได้เอง
- Itemการสร้างและพัฒนาอุปกรณ์ตรวจวัดปริมาณน้ำฝนเพื่อบันทึกข้อมูลสภาพแวดล้อมและสภาพภูมิอากาศเบื้องต้นในเขตพื้นที่เกษตรอินทรีย์(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2016) สายชล ขุนใจในงานวิจัยนี้ ได้ศึกษาและสร้างเครื่องมือเพื่อใช้ในการวัดปริมาณน้ำฝนอย่างง่าย ซึ่งมีกลไกการทำงาน คือ เมื่อน้ำฝนไหลลงถ้วยกระดกข้างหนึ่งจนเต็มในขณะนั้นจะทำให้เกิดสภาพไม่สมดุล เป็นผลให้ถ้วยกระดกข้างนี้เทน้ำทิ้งขณะเดียวกันถ้วยกระดกอีกข้างก็จะขึ้นมารับน้ำฝนแทนและสลับไปมา ซึ่งการที่ถ้วยกระดกแต่ละครั้ง จะทำให้เกิดการปิด-เปิดไฟฟ้า (Switch) โดยใช้ต่อวงจรร่วมกับบอร์ด Arduino เมื่อสร้างอุปกรณ์วัดปริมาณน้ำฝนเสร็จสมบูรณ์ ได้ทำการสอบเทียบกับปริมาณน้ำฝนจริง และนำมาต่อวงจรรวมกับเซ็นเซอร์ อื่น ๆ ซึ่งประกอบด้วยเซนเซอร์วัดความชื้นในดินและในอากาศ อุณหภูมิ ความเข้มแสง ความเร็วลม และทิศทางลม ประกอบกันเป็นหุ่นไล่กาอัฉริยะ เพื่อบันทึกข้อมูลสภาพแวดล้อมในพื้นที่การเกษตร แล้วนำข้อมูลที่ได้ไปใช้หาความสัมพันธ์ทางคณิตศาสตร์ของตัวแปร สำหรับการแก้ไขและพัฒนาการทำเกษตรอินทรีย์ในอนาคต
- Itemการสำรวจวัดความเข้าใจเชิงความคิดรวบยอดเกี่ยวกับฟิสิกส์ ดาวหาง ของนักเรียนโรงเรียนพินิตประสาธน์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 นักเรียนโรงเรียนพะเยาพิทยาคม ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 นักเรียนโรงเรียนประชาบำรุง และนักเรียนโรงเรียนเทศบาล 2 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ในอำเภอเมืองพะเยา ปีการศึกษา 2559(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2016) พิมพ์ประกา สัมพันธ์พงค์การค้นคว้าอิสระ การสำรวจความเข้าใจผิดของผู้เรียนเรื่อง ดาวหาง ของกลุ่มตัวอย่างที่ใช้สำรวจในการวิจัย คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนพินิตประสาธน์ จำนวน 19 คน นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนพะเยาพิทยาคม จำนวน 27 คน นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนโรงเรียนประชาบำรุง จำนวน 25 คน และโรงเรียนเทศบาล 2 จำนวน 19 คน ปีการศึกษา 2559 ผลของความคิดรวบยอด และวัดความเข้าใจ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนพินิตประสาธน์ จำนวน 19 คน นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนพะเยาพิทยาคม จำนวน 27 คน นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนโรงเรียนประชาบำรุง จำนวน 25 คน และโรงเรียนเทศบาล 2 จำนวน 19 คน ปีการศึกษา 2559 จากการเก็บรวบรวมข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างดังกล่าว การสำรวจความเข้าใจผิด พบว่า นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนพะเยาพิทยาคมมีความเข้าใจผิดน้อยที่สุด รองลงมา คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนประชาบำรุง และโรงเรียนเทศบาล 2 โรงเรียนพินิตประสาธน์ มีความเข้าใจผิดมากที่สุด ผลการศึกษาพบว่า การศึกษาความคิดรวบยอดที่ถูกต้อง เรื่อง ดาวหาง โรงเรียนพะเยาพิทยาคม มีความคิดรวบยอดที่ถูกต้องมากที่สุด รองลงมา คือ โรงเรียนประชาบำรุง และโรงเรียนเทศบาล 2 โรงเรียนพินิตประสาธน์ มีความคิดรวบยอดที่ถูกต้องในระดับต่ำกว่าทุกโรงเรียน ผลการวัดความเข้าใจเกี่ยวกับดาราศาสตร์ ของดาวหาง ในทางเดียวกัน โรงเรียนพะเยาพิทยาคม มีความเข้าใจที่ถูกต้องมากที่สุด รองลงมา คือ โรงเรียนประชาบำรุง และโรงเรียนเทศบาล 2 โรงเรียนพินิตประสาธน์ มีความเข้าใจที่ถูกต้องในระดับต่ำกว่า ทุกโรงเรียน
- Itemการศึกษาความหลากหลายของแพลงก์ตอนพืชและคุณภาพน้ำในอ่างเก็บน้ำห้วยทับช้าง(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2016) เบญจวรรณ เจริญสุข; ปิยะวรรณ ศรีโสดาการศึกษาความหลากหลายของแพลงก์ตอนพืชและคุณภาพน้ำในแหล่งน้ำ 3 สถานีในช่วงเดือนกันยายนถึงเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2559 ได้แก่ สถานีที่ 1 คือ อ่างเก็บน้ำบริเวณสะพานห้วยทับช้างตรงข้ามหอพักนิสิตเวียงพะเยา สถานีที่ 2 คือ อ่างเก็บน้ำอยู่บริเวณตรงข้ามประตูศรีโคมคำ สถานีที่ 3 คือ อ่างเก็บน้ำห้วยทับช้าง ซึ่งตั้งอยู่บ้านห้วยเคียน ตำบลแม่กา อำเภอเมือง จังหวัดพะเยา โดยมีวัตถุประสงค์ในการศึกษา เพื่อศึกษาปัจจัยทางชีวภาพของแหล่งน้ำ ได้แก่ แพลงก์ตอนพืช โดยใช้การจัดระดับคุณภาพน้ำโดยใช้แพลงก์ตอนพืชตามวิธี AARL-PP Score และเพื่อศึกษาปัจจัยทางกายภาพและทางเคมีของแหล่งน้ำ โดยใช้การจัดคุณภาพน้ำตามปริมาณของสารอาหารโดยวิธี AARL-PC Score จากการศึกษาปัจจัยทางชีวภาพ (แพลงก์ตอนพืช) พบแพลงก์ตอนพืชทั้งหมด 7 Division 47 Genus โดยแพลงก์ตอนพืชที่มีจำนวนชนิดมากที่สุด คือ Division Chlorophyta รองลงมา คือ Division Euglenophyta และ Division Cyanophyta ตามลำดับ โดยสถานีที่ 1 แพลงก์ตอนชนิดเด่น ได้แก่ Oscillatoria, Trachelomonas, Phacus และ Euglena สถานีที่ 2 แพลงก์ตอนชนิดเด่น ได้แก่ Trachelomonas, Merismopedia, Oscillatoria และ Micractinium และสถานีที่ 3 แพลงก์ตอนชนิดเด่น ได้แก่ Dictyospherium, Peridinium, Pediastrum และ Lepocinclis คุณภาพน้ำสถานีที่ 1 และ สถานีที่ 2 อยู่ในระดับ Eutrophic สารอาหารสูง คุณภาพน้ำไม่ดี และคุณภาพน้ำในสถานีที่ 3 อยู่ในระดับ Meso-eutrophic สารอาหารปานกลางถึงสูง คุณภาพน้ำปานกลางถึงไม่ดี และจากการศึกษาคุณภาพน้ำทางกายภาพและเคมี พบว่า ค่าอุณหภูมิอยู่ในช่วง 22.8-30.5 oC, ค่าการนำไฟฟ้าอยู่ในช่วง 216-428 μs/cm, ค่าความเป็นกรด-เบสอยู่ในช่วง 7.5-8.5, ค่า DO อยู่ในช่วง 1.06- 4.63 mg/l, ค่า Ammonia-Nitrogen อยู่ในช่วง 1.16-8.88 mg/l, ค่า Nitrate-Nitrogen อยู่ในช่วง 0.10-0.20 mg/l, ค่า Nitrite-Nitrogen อยู่ในช่วง 0.04-0.23 mg/l, ค่า Phosphate-phosphorus อยู่ในช่วง 0.65-3.48 mg/l พบว่า คุณภาพน้ำทั้ง 3 สถานี อยู่ในระดับ น้ำคุณภาพปานกลางค่อนข้างเสีย
- Itemความคิดรวบยอดเรื่องสนามแม่เหล็กของดาวเคราะห์และสนามแม่เหล็กดาวฤกษ์ของนักเรียนชั้น ม. 5/1 โรงเรียนพะเยาประสาธน์วิทย์และนักเรียนชั้น ม. 5/11 โรงเรียนพะเยาพิทยาคม อำเภอเมืองพะเยา จังหวัดพะเยา ปีการศึกษา 2559(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2016) เพชรรัตน์ มิ่งเล็กการศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาความเข้าใจของนักเรียน เกี่ยวกับเรื่องสนามแม่เหล็กของดาวเคราะห์และสนามแม่เหล็กดาวฤกษ์ 2) เปรียบเทียบความเข้าใจของนักเรียนจากโรงเรียนขนาดเล็ก และขนาดใหญ่พิเศษ ว่ามีความเข้าใจผิดเกี่ยวเรื่องสนามแม่เหล็กของดาวเคราะห์และสนามแม่เหล็กดาวฤกษ์เหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร โดยมีกลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนเรียนจากโรงเรียนพะเยาประสาธน์วิทย์ จำนวน 32 คน และนักเรียนจากโรงเรียนพะเยาพิทยาคน จำนวน 42 คน โดยเป็นการสุ่มแบบเจาะจง ผลของการศึกษา พบว่า นักเรียนโรงเรียนพะเยาประสาธน์วิทย์ มีนักเรียนเฉลี่ยเกือบร้อยละ 14.85 ของนักเรียนทั้งหมดที่มีความเข้าใจถูกต้องครบถ้วนสมบูรณ์ และนักเรียนเฉลี่ยเกือบร้อยละ 17.97% ของนักเรียนทั้งหมด ที่มีความเข้าใจค่อนข้างที่จะถูกต้องแต่อาจจะไม่ได้ถูกต้องครบถ้วนและสมบูรณ์ และมีนักเรียนที่เข้าใจผิดและไม่ทราบคำตอบ เฉลี่ยเกือบร้อยละ 67.19% ของนักเรียนทั้งหมดในส่วนของนักเรียนโรงเรียนพะเยาพิทยาคม มีนักเรียนเฉลี่ยเกือบร้อยละ 18.45% ของนักเรียนทั้งหมดที่มีความเข้าใจถูกต้องครบถ้วนสมบูรณ์ และนักเรียนเฉลี่ยเกือบร้อยละ 42.26% ของนักเรียนทั้งหมด ที่มีความเข้าใจค่อนข้างที่จะถูกต้องแต่อาจจะไม่ได้ถูกต้องครบถ้วนและสมบูรณ์ และมีนักเรียนที่เข้าใจผิดและไม่ทราบคำตอบ เฉลี่ยเกือบร้อยละ 39.28% ของนักเรียนทั้งหมด
- Itemการศึกษาคุณภาพน้ำและความหลากหลายของแพลงก์ตอนพืชในอ่างเก็บน้ำแม่นาเรือ(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2016) กาญจนา สวนดอกไม้การศึกษาความหลากหลายของแพลงก์ตอนพืชและคุณภาพน้ำทางกายภาพ เคมี และชีวภาพในอ่างเก็บน้ำแม่นาเรือ ตำบลแม่นาเรือ จังหวัดพะเยา ตั้งแต่เดือนกันยายนถึงเดือน พฤศจิกายน 2559 เป็นระยะเวลา 3 เดือน ทำการเก็บตัวอย่างทุก 2 สัปดาห์ จากการเก็บตัวอย่าง 3 จุด พบแพลงก์ตอนพืชทั้งหมด 7 Division 27 Family 36 Genus โดย Division ที่มีความหลากหลายทางด้าน Family มากที่สุดคือ Chlorophyta (35%) รองลงมา คือ Bacilaliophyta (18%), Cyanophyta (10%), Euglenophyta (15%), Chrysophyta (13%), Pyrrophyta (3%) และ Cryptophyta (3%) แพลงก์ตอนจีนัสเด่น ได้แก่ Eudorina, Ceratium และ Dinobryon เมื่อจัดคุณภาพน้ำด้านชีวภาพโดยใช้แพลงก์ตอนพืชเป็นดัชนีบ่งชี้ตาม AARL – PP score จะอยู่ในระดับ คุณภาพน้ำปานกลาง (Mesotrophic status) และเมื่อจัดคุณภาพน้ำตามความมากน้อยของสารอาหารตาม AARL – PC Score พบว่า ในเดือนกันยายน คุณภาพน้ำอยู่ในระดับ ปานกลางค่อนข้างเสีย (Mesotrophic – eutrophic status) เดือนตุลาคมและเดือนพฤศจิกายน คุณภาพน้ำอยู่ในระดับปานกลาง (Mesotrophic status) รวมทั้งการจัดคุณภาพน้ำตามมาตรฐานน้ำจืดผิวดินจัดอยู่ในประเภทที่ 3 ซึ่งสามารถนำไปอุปโภค บริโภคได้โดยต้องผ่านกระบวนการบาบัดน้ำเสียทั่วไปก่อน