ภาคนิพนธ์นิสิตระดับปริญญาตรี (Term Paper of Undergraduate Students)
Permanent URI for this community
Browse
Browsing ภาคนิพนธ์นิสิตระดับปริญญาตรี (Term Paper of Undergraduate Students) by Issue Date
Now showing 1 - 20 of 249
Results Per Page
Sort Options
- Itemผลการออกกลังกายแบบฟ้อนเจิง มพ. ต่อความทนทานของหัวใจและหลอดเลือดในนิสิตหญิง คณะสหเวชศาสตร์ มหาวิทยาลัยพะเยา (การศึกษานำร่อง)(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2013) ธนานันต์ ปัญญา; เบญจวรรณ รูปงาม; เมธาวี อินต๊ะวังวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาผลของการออกกำลังกายแบบฟ้อนเจิง มพ. ต่อความทนทานของหัวใจและหลอดเลือดในวัยรุ่นหญิง วิธีการศึกษา อาสาสมัครเป็นนิสิตหญิงสุขภาพดีที่กำลังศึกษาอยู่คณะสหเวชศาสตร์ มหาวิทยาลัยพะเยา จำนวน 20 คน ถูกแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มละ 10 คน โดยมีค่าเฉลี่ยของอายุและดัชนีมวลกายที่ใกล้เคียงกัน อาสาสมัครที่ถูกจัดไว้ 2 กลุ่ม ได้รับเงื่อนไขให้เป็นกลุ่มควบคุมและกลุ่มออกกำลังกายโดยวิธีการสุ่ม กลุ่มออกกำลังกายเข้าร่วมโปรแกรมออกกำลังกายแบบฟ้อนเจิง มพ. ใช้เวลานาน 40 นาที/ครั้ง ความถี่ 3 วัน/สัปดาห์ ระยะเวลา 6 สัปดาห์ ประเมินปริมาณการใช้ออกซิเจนสูงสุด (Maximum oxygen consumption: VOrmax) ด้วยวิธีการ Modified Bruce Treadmill Protocol โดยประเมิน 2 ครั้ง คือก่อนและหลังสิ้นสุดโปรแกรมการออกกำลังกาย วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติ Student t-test กำหนดระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ p < 0.05 ผลการศึกษา: ค่าปริมาณการใช้ออกซิเจนสูงสุดของอาสาสมัครกลุ่มออกกำลังกายมีค่าเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติภายหลังสิ้นสุดโปรแกรมออกกำลังกาย (p = 0.03) และไม่พบความแตกต่างทางสถิติสำหรับค่าปริมาณการใช้ออกซิเจนสูงสุดระหว่างก่อนและหลังสิ้นสุดโปรแกรมออกกำลังกายในอาสาสมัครกลุ่มควบคุม สรุปผลการศึกษา การออกกำลังกายแบบฟ้อนเจิง มพ. มีประสิทธิผลต่อการเพิ่มความทนทานของหัวใจและหลอดเลือดในรุ่นหญิง
- Itemผลของการออกกำลังกายเพื่อความมั่นคงที่มีปลายรยางค์ปิดแบบคงที่ต่อความเจ็บปวดในผู้ป่วยกลุ่มอาการปวดกล้างเนื้อและพังผืด(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2013) ณรงค์ อวดเหลี้ยม; นงลักษณ์ เชิงเร็ว; ภคพร นำปูนสักวัตถุประสงค์ของการศึกษาเชิงทดลองแบบสุ่ม ได้แก่ การศึกษาผลของการออกกำลังกายเพื่อความมั่นคงที่มีปลายรยางค์ปิดแบบคงที่ต่อความเจ็บปวดในผู้ป่วยกลุ่มอาการปวดกล้ามเนื้อและพังผืด (Myofascial Pain Syndrome, MPS) อาสาสมัครที่มี MPS บริเวณกล้ามเนื้อทราพีเซียสส่วนบนจำนวน 24 คน (อายุเฉลี่ย กลุ่มออกกำลังกาย 21.73 ± 0.47 ปี, กลุ่มควบคุม 20.00 ± 1.35 ปี) ได้รับการสุ่มเข้ากลุ่มออกกำลังกาย (รับการออกกำลังกายแบบเพื่อความมั่นคงที่มีปลายรยางค์ปิดแบบคงที่ จำนวน 8 ครั้ง ในระยะเวลา 4 สัปดาห์, n=12) และกลุ่มควบคุม (ได้รับคำแนะนำให้ดำเนินกิจกรรมตามปกติ, n=12) ระดับความเจ็บปวด (Visual Analog Scale, VAS) และระดับความอดกลั้นความเจ็บปวด (Pressure Pain Threshold, PPT) ของอาสาสมัครทั้งสองกลุ่มจะได้รับการประเมินก่อนและหลังการรักษา 4 สัปดาห์ ใช้สถิติ paired-Samples t-test และ Independent sample t-test เพื่อวิเคราะห์ความแตกต่างภายในกลุ่มและระหว่างกลุ่มโดยกำหนดนัยสำคัญที่ p<0.05 ผลการศึกษาพบว่า VAS ลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p=0.001) ในกลุ่มออกกำลังกาย และ PPT ลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p=0.008) ในกลุ่มควบคุม เมื่อเปรียบเทียบระหว่างกลุ่มออกกำลังกายกับกลุ่มควบคุม พบความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p=0.001) ของ VAS ผลการศึกษานี้ชี้ให้เห็นว่าการรักษาด้วยการออกกำลังกายเพื่อความมั่นคงที่มีปลายรยางค์ปิดแบบคงที่สามารถลดระดับความเจ็บปวด (VAS) และมีแนวโน้มเพิมระดับกลั้นความเจ็บปวด (PPT) ในผู้ป่วย MPS ได้
- Itemผลของผ้าเทปคิเนซิโอต่อความเจ็บปวดของกล้ามเนื้อไหล่ส่วนบนในผู้ป่วยกลุ่มอาการปวดกล้างเนื้อและเยื่อพังผืดมัยโอฟาสเชี่ยล: การศึกษานำร่อง(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2013) ฐานิศา วันชัย; นิรวิทธ์ ทองภาพ; เรวดี สมศรี; สุนทรี ปงกองแก้วการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาผลของผ้าเทปคิเนซิโอ (Kinesio tape) ต่อความเจ็บปวดของกล้ามเนื้อไหล่ส่วนบนในผู้ป่วยกลุ่มอาการปวดกล้ามเนื้อและเยื่อพังผืดมัยโอฟาสเชี่ยล (Myofascial pain syndrome: MPS) จำนวน 14 คน อาสาสมัครเป็นผู้ที่มีอายุระหว่าง 20-40 ปี ถูกแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มละ 7 คน ได้แก่ กลุ่มทดลอง (Taping group) และกลุ่มควบคุม (Placebo group) อาสาสมัครทุกคนเข้ารับการประเมินระดับการ รับรู้ความเจ็บปวดด้วยแรงกด (Pressure poin threshold: PPT) ด้วยเครื่องมือ Pressure algometer และประเมินความรู้สึกเจ็บปวดด้วย Visual analogue scale: VAS ก่อนและหลังการพันผ้าเทป อาสาสมัครทั้ง 2 กลุ่มได้รับการพันผ้าเทปด้วยเทคนิค I-strip ที่บริเวณกล้ามเนื้อไหล่ส่วนบนข้างขวา (Upper tropezius muscle) เป็นระยะเวลา 2 วัน โดยกลุ่มทดลองได้รับการพันผ้าเทปแบบให้แรงตึง ส่วนกลุ่มควบคุมได้รับการพันผ้าเทปแบบไม่ให้แรงตึง จากผลการศึกษาพบว่า กลุ่มทดลองมีระดับความเจ็บปวดลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (PPT; pre-test: 1.96±0.53 Ibs/cm", post-test: 2.63±0.76 Ibs/cm , p-value = 0.01 และ VAS; pre-test: 2.90±2.06, post-test: 1.79±2.15, p-value = 0.00) ส่วนกลุ่มควบคุมนั้นไม่พบความแตกต่าง เมื่อเปรียบเทียบความแตกต่างของค่าเฉลี่ยหลังการพันผ้าเทประหว่างกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม พบว่า ไม่มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญของค่า PPT และ VAS สรุปว่าการพันผ้าเทปคิเนซิโอที่บริเวณกล้ามเนื้อไหล่ส่วนบนเป็นระยะเวลา 2 วัน ช่วยลดอาการปวดที่เกิดจากโรค MPS ได้
- Itemการศึกษาความรู้ของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านเกี่ยวกับโรคหลอดเลือดสมองในจังหวัดพะเยา(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2013) วิกานดา ศรีคำ; สุดารัตน์ ศรีวิชัย; อภิญญา ใจหล้าที่มา: โรคหลอดเลือดสมอง เป็นกลุ่มอาการที่เกิดจากความบกพร่องของระบบประสาทซึ่งทำให้เกิดอาการอัมพาตและพิการตามมาได้ วิธีที่ดีที่สุดในการจัดการกับโรคหลอดเลือดสมอง คือ การป้องกันด้วยการให้ความรู้ โดยอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ถือเป็นผู้ที่มีบทบาทในการเผยแพร่ข้อมูลให้แก่ประชาชนเป็นอย่างมาก อย่างไรก็ตาม การศึกษาเกี่ยวกับความรู้ของ อสม. เกี่ยวกับโรคหลอดเลือดสมองยังมีอยู่อย่างจำกัด วัตถุประสงค์: เพื่อศึกษาระดับความรู้เกี่ยวกับโรคหลอดเลือดสมองของ อสม. ในเขต ตำบลแม่กา จังหวัดพะเยา วิธีการ: อาสาสมัคร จำนวน 114 คน ซึ่งได้ตอบแบบสอบถามความรู้เกี่ยวกับเรื่องโรคหลอดเลือดสมองและการปฏิบัติตัวในชีวิตประจำวัน ผลการศึกษาและสรุปผลการศึกษา: ผลการศึกษาพบว่า อสม. ส่วนใหญ่มีความรู้เกี่ยวกับโรคหลอดเลือดสมองอยู่ในระดับสูง รวมทั้งมีพฤติกรรมและการปฏิบัติตัวในชีวิตประจำวันที่จะนำไปสู่การป้องกันการเกิดโรคหลอดเลือดสมอง อย่างไรก็ตาม ยังมี อสม. จำนวนหนึ่งที่มีความรู้ในประเด็นสำคัญไม่ถูกต้อง การศึกษานี้ทำให้ได้ข้อมูลเบื้องต้นที่น่าจะเป็นประโยชน์แก่หน่วยงานด้านสาธารณสุขที่เกี่ยวข้องเพื่อใช้เป็นแนวทางในการส่งเสริมบทบาทหน้าที่ของ อสม. ในการป้องกันโรคหลอดเลือดสมอง
- Itemผลของการออกกำลังกายแบบพิลาทีสต่อร้อยละไขมันในร่างกายและระดับความมั่นคงของกระดูกสันหลังและเชิงกรานในนิสิตมหาวิทยาลัย(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2013) วิลาวัณย์ หอมนวล; สงกรานต์ ม่วงเหลือง; สุริยะ อนันต์วิไลการศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาผลของการออกกำลังกายแบบพิลาทีสต่อร้อยละไขมันในร่างกายและระดับความมั่นคงของกระดูกสันหลังและเชิงกรานในนิสิตมหาวิทยาลัย จำนวน 34 คน ทำการสุ่มโดยแบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มออกกำลังกาย 17 คน และกลุ่มควบคุม 17 คน โดยกลุ่มออกกำลังกายได้รับการฝึกตามโปรแกรมการออกกำลังกายแบบพิลาทีส เป็นระยะเวลา 4 สัปดาห์ 2 ครั้งต่อสัปดาห์ ครั้งละ 55 นาที ส่วนกลุ่มควบคุมไม่ได้รับการฝึก ทั้ง 2 กลุ่มถูกวัดค่าร้อยละไขมันในร่างกาย และค่าความมั่นคงของกระดูกสันหลังและเชิงกราน ทั้งก่อนและหลังการทดลอง นำผลที่ได้จากการทดสอบมาวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูป SPSS ผลการศึกษาพบว่า ภายหลังการฝึกค่าของร้อยละไขมันในร่างกายในกลุ่มควบคุมเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.05) ในขณะที่กลุ่มทดลองไม่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ส่วนระดับความมั่นคงของกระดูกสันหลังและเชิงกราน พบว่า ไม่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติทั้งในกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม (p>0.05) การศึกษาครั้งนี้สรุปได้ว่า กลุ่มออกกำลังกายโดยการฝึกตามโปรแกรมการออกกำลังกายแบบพิลาทีสเป็นระยะเวลา 4 สัปดาห์ ไม่สามารถเพิ่มความมั่นคงของกระดูกสันหลัง และเชิงกรานและลดร้อยละไขมันในร่างกายได้ แต่มีแนวโน้มที่จะเพิ่มระดับความมั่นคงของกระดูกสันหลังและเชิงกรานได้ ซึ่งอาจเป็นเพราะความถี่และความหนักของโปรแกรมต่ำเกินไป
- Itemผลของการออกกำลังกายแบบชี่กงต่อความจำ(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2013) สุทธินี สุภากาศ; อภิญญา ภะวะภูตา; อุไรวรรณ ศิรินารถจากการทบทวนวรรณกรรม พบว่า การออกกำลังกายมีผลเพิ่มความสามารถในการจำ อย่างไรก็ตาม การศึกษาผลการออกกำลังกายแบบชี่กงต่อความจำที่ผ่านมายังไม่เป็นที่แพร่หลาย ดังนั้นวัตถุประสงค์ในการศึกษาครั้งนี้ คือ ศึกษาผลของการออกกำลังกายแบบชี่กงต่อความจำในอาสาสมัครเพศหญิง จำนวน 30 คน อายุระหว่าง 18 - 22 ปี ถูกแบ่งด้วยวิธีการสุ่มแบบบล็อกออกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มออกกำลังกาย จำนวน 15 คน และกลุ่มควบคุม จำนวน 15 คน ซึ่งกลุ่มออกกำลังกายจะได้รับการออกกำลังกายแบบชี่กง 3 วัน/สัปดาห์ เป็นระยะเวลา 4 สัปดาห์ ในขณะที่กลุ่มควบคุมไม่ได้รับการออกกำลังกายใด ๆ โดยก่อนและหลังการทดลอง อาสาสมัครทั้ง 2 กลุ่มจะได้รับการประเมินความจำระยะสั้น ความจำขณะคิด และการเลือกสนใจ ด้วยการทดสอบ digit span forward test, digit span backward test และ stroop color and word test ตามลำดับ ผลการศึกษาพบว่าหลังจากสิ้นสุดโปรแกรมการออกกำลังกายแบบชี่กง อาสาสมัครในกลุ่มออกกำลังกายมีคะแนนเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติของการทดสอบ digit span forward test (ก่อน = 10.73.2 ± 2.28 และหลัง = 12.27 ± 2.37; p-value = 0.01), digit span backward test (ก่อน = 7.63 ± 3.71 และหลัง = 10.20 ± 3.87; p-value = 0.00) และ stroop color and word test (ก่อน = 46.00 ± 10.82 และหลัง = 54.73 ± 10.85; p-value = 0.00) แต่ในกลุ่มควบคุมไม่พบความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติในการทดสอบทั้ง 3 การทดสอบ (p-volue > 0.05) การศึกษาครั้งนี้แสดงให้เห็นว่าการออกกำลังกายแบบชี่กงมีผลเพิ่มความจำและการเลือกสนใจ ดังนั้นการออกกำลังกายแบบชี่กงจึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการออกกำลังกายเพื่อเพิ่มความสามารถในการจำ
- Itemการศึกษารูปแบบการคิดในนิสิตกายภาพบำบัด(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2013) ชื่นนภา กิ่งสละ; ทาริกา เครือวัลย์; อรัญวา ทาเหล็กรูปแบบการคิด (Cognitive style หรือ Thinking style) เป็นคำที่ใช้ในด้านจิตวิทยาการรู้คิด (Cognitive psychology) ที่อธิบายถึงวิธีการที่บุคคลคิดรับรู้และจดจำข้อมูล โดยรูปแบบการคิดแตกต่างจากความสามารถ หรือระดับทางสติปัญญา (Cognitive ability/level) ซึ่งการวัดรูปแบบการคิดไม่ใช่การวัดความฉลาด (Intelligence test) การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อวัดระดับการคิดของนิสิตกายภาพบำบัดมหาวิทยาลัยพะเยา ที่กำลังศึกษาในภาคการศึกษาที่ 1 ปีการศึกษา 2556 นิสิตการภาพบำบัดชั้นปีที่ 1-4 (188 คน) ถูกขอให้ตอบของแบบวัดการคิดโดยข้อมูลแบบการคิดถูกวิเคราะห์และแสดงเป็น 3 ระดับ ได้แก่ ระดับการคิดแบบพึ่งพา ระดับการคิดแบบอิสระ และระดับการคิดแบบร่วมพัฒนา ผลการศึกษา พบว่า นิสิตส่วนใหญ่ของชั้นปีที่ 1-4 มีระดับการคิดแบบร่วมพัฒนา (ร้อยละ 68.29. 77.55, 79.11 และ 66.00 ตามลำดับ) รองลงมาเป็นระดับการคิดแบบอิสระ (ร้อยละ 31.71 , 22.45 20.83 และ 34.00 ตามลำดับ) และไม่มีนิสิตคนใดมีระดับการคิดแบบพึ่งพาข้อมูลจากการศึกษานี้สามารถนำไปประยุกต์ใช้กับการสอนนิสิตกายภาพบำบัดเพื่อพัฒนาทักษะการคิดและการปฏิบัติของนิสิตได้
- Itemผลของผ้าเทปคิเนซิโอต่อความสามารถในการกระโดดและการทรงตัวขณะเคลื่อนไหวในนักกีฬาวอลเลย์บอลชายระดับมหาวิทยาลัย: การศึกษานำร่อง(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2013) ธนัชพร ฝั้นสกุล; รุ่งทิวา ใจเสียสุ; วุฒิพงษ์ บัวจันทร์; อธิคม ตุ้ยขมงานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาผลของผ้าเทปคิเนซิโอ (Kinesio tape) ต่อความสามารถในการกระโดดแนวดิ่ง (Vertical jump) การกระโดดแนวนอน (Horizontal jump) และการทรงตัวขณะเคลื่อนไหว (Dynamic balance) ในนักกีฬาวอลเลย์บอลชายระดับมหาวิทยาลัย จำนวน 16 คน อายุระหว่าง 18-25 ปี อาสาสมัครถูกแบ่งออกเป็นกลุ่มทดลอง (Taping group) และกลุ่มหลอก (Placebo group) กลุ่มละ 8 คน อาสาสมัครทุกคนเข้ารับการทดสอบความสามารถในการกระโดดแนวดิ่งด้วย Vertical jump test การกระโดดแนวนอนด้วย Standing long jump test และการทรงตัวขณะเคลื่อนไหวด้วย Star excursion balance test ก่อนและหลังการพันผ้าเทป อาสาสมัครทั้ง 2 กลุ่มได้รับการพันผ้าเทปดิเนชิโอด้วยเทคนิค Y-strip ที่บริเวณกล้ามเนื้อน่อง (Gastrocnemius) ทั้งสองข้างเป็นระยะเวลา 2 วัน โดยกลุ่มทดลองได้รับการพันผ้าเทปแบบให้แรงตึง ส่วนกลุ่มหลอกได้รับการพันผ้าเทปแบบไม่ให้แรงตึง จากผลการศึกษาพบว่า กลุ่มทดลองมีความสามารถในการกระโดดแนวดิ่ง (pre-test: 60.44±5.33 cm, post-test: 62.25±5.53 cm, p = 0.02) การกระโดดแนวนอน (pre-test: 217.38±38.59 cm, post-test: 234.38±28.92 cm, p = 0.05) และการทรงตัวขณะเคลื่อนไหวเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ส่วนกลุ่มหลอกพบเพียงความแตกต่างของการทรงตัวขณะเคลื่อนไหวในบางทิศทางเท่านั้น เมื่อเปรียบเทียบความแตกต่างหลังการพันผ้าเทประหว่างกลุ่มทดลองและกลุ่มหลอก พบว่า ไม่มีความแตกต่างของการกระโดดระหว่าง 2 กลุ่ม แต่ความสามารถในการทรงตัวขณะเคลื่อนไหวของกลุ่มทดลองดีกว่ากลุ่มหลอกอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ สรุปว่าการพันผ้าเทปคิเนซิโอที่น่องเป็นเวลา 2 วัน สามารถเพิ่มความสามารถในการกระโดดและการทรงตัวขณะเคลื่อนไหวได้
- Itemผลของการออกกำลังกายแบบฤาษีดัดตนต่อความจำ(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2013) จิราวรรณ จันทร์ต๊ะยศ; ธิดารัตน์ ช้างปัด; นลินี ติ๊บประสารการออกกำลังกายฤๅษีดัดตนจัดเป็นภูมิปัญญาไทยที่มีผลในการส่งเสริมสุขภาพ อย่างไรก็ตามที่ผ่านมาการศึกษาผลการออกกำลังกายแบบฤๅษีดัดตนต่อความจำยังไม่เป็นที่แพร่หลาย ดังนั้น การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาผลของการออกกำลังกายแบบฤๅษีดัดตนต่อความจำ อาสาสมัครนิสิตเพศหญิงอายุระหว่าง 18-22 ปี จำนวน 30 คน ถูกแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่ออกกำลังกาย จำนวน 15 คน และกลุ่มควบคุม จำนวน 15 คน โดยอาสาสมัครกลุ่มออกกำลังกายจะได้รับการออกกำลังกายแบบฤๅษีดัดตน 3 วันต่อสัปดาห์ เป็นระยะเวลา 4 สัปดาห์ ในขณะที่กลุ่มควบคุมไม่ได้รับการออกกกำลังกายใด ๆ โดยก่อนและหลังการทดลอง อาสาสมัครทั้ง 2 กลุ่ม จะได้รับการประเมินความจำระยะสั้น ความจำขณะคิด และการเลือกสนใจ ด้วยการทดสอบ digit span forward test, digit span backward test และ stroop color and word test ตามลำดับ ผลการศึกษาพบว่า ไม่มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติระหว่างกลุ่มในทุกการทดสอบ (p-value > 0.05) อย่างไรก็ตามในกลุ่มออกกำลังกายพบว่า มีคะแนน stroop color and word test 1 และ 2 เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติเมื่อเทียบกับก่อนออกกำลังกาย (stroop color and word test 1: ก่อน = 101.33 ± 12.19, หลัง = 113.40 ± 14.51, p-value = 0.00; stroop color and word test 2: ก่อน = 83.13 ± 11.89, หลัง = 87.60 ± 11.48, p-value = 0.03) ในขณะที่ digit span forward test, digit span backward test แaะ stroop color and word test 3 มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นแต่ไม่พบนัยสำคัญทางสถิติ (digit span forward test: ก่อน = 11.40 ± 1.84, หลัง = 11.60 ± 2.13, p-volue = 0.71; digit span backward test: ก่อน = 8.73 ± 3.28, หลัง = 10.20 ± 2.70, p-value = 0.05; stroop color and word test 3: ก่อน = 49.60 ± 7.46, หลัง = 51.60 ± 13.58, p-value = 0.53) การศึกษาครั้งนี้แสดงให้เห็นว่าการออกกำลังกายแบบฤๅษีดัดตนเป็นเวลา 4 สัปดาห์ยังไม่เห็นผลชัดเจนต่อการเปลี่ยนแปลงความสามารถในการจำ
- Itemผลของระยะเวลาในการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชต่ออาการแสดงทางระบบประสาทในเกษตรกร(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2013) ณฐพร ฝึกฝน; นิตยา ศิริจุ่ม; พัชรินทร์ พรหมเผ่าปัจจุบันมีการนำสารเคมีกำจัดศัตรูพืชมาใช้ในการเกษตรอย่างแพร่หลายและมีหลักฐาน พบว่า พิษสะสมของสารเคมีกำจัดศัตรูพืชมีความสัมพันธ์กับความบกพร่องทางระบบประสาท อย่างไรก็ตามยังไม่มีการศึกษาเกี่ยวกับผลของระยะเวลาในการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชต่ออาการแสดงทางระบบประสาทในเกษตรกร การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ เปรียบเทียบอาการแสดงทางระบบประสาทของกลุ่มที่มีระยะเวลาการใช้สารกำจัดศัตรูพืชแตกต่างกันสองกลุ่ม ดำเนินการเลือกผู้เข้าร่วมการวิจัยโดยวิธีการเลือกแบบเฉพาะเจาะจง มีผู้เข้าร่วมงานวิจัยทั้งหมด 60 คน อายุระหว่าง 30-70 ปี แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ตามระยะเวลาการใช้สารกำจัดศัตรูพืชในเกษตรกร กลุ่มที่ 1 คือ กลุ่มที่ใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชอย่างต่อเนื่องน้อยกว่า 10 ปี (n=29) และกลุ่มที่ 2 คือ กลุ่มที่ใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชอย่างต่อเนื่องนานกว่า 10 ปี (n=31) โดยผู้เข้าร่วมการวิจัยทั้ง 2 กลุ่ม จะได้รับการทดสอบการประสานสัมพันธ์ การทดสอบการทรงตัวขณะยื่น การทดสอบแรงบีบมือ การทดสอบความแข็งแรงของกล้ามเนื้อเหยียดเข่า และการทดสอบสภาพสมองเบื้องต้น ผลการศึกษาพบว่า ไม่มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติของอาการทางระบบประสาทระหว่างทั้งสองกลุ่ม (p-value > 0.05) ยกเว้น ผลการทดสอบความแข็งแรงของกล้ามเนื้อเหยียดเข่าข้างซ้ายในเพศหญิง (p-value = 0.04) อย่างไรก็ตามจากการศึกษานี้พบว่า แนวโน้มความรุนแรงของอาการแสดงทางระบบประสาทในกลุ่มที่ 2 มากกว่ากลุ่มที่ 1 และสรุปได้ว่า อาการแสดงทางระบบประสาทมีความสัมพันธ์กับระยะเวลาของการใช้สารกำจัดศัตรูพืช
- Itemผลของโปรแกรมการเต้นคัฟเวอร์ต่อสมรรถภาพทางกายในนิสิตหญิงระดับปริญญาตรี(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2013) ภาคภูมิ สิงห์แก้ว; วิภาดา สุตะวงค์; อัจจิมา แสนศิริการออกกำลังกายและการทำกิจกรรมทางกายเป็นความจำเป็นขั้นพื้นฐานของมนุษย์ซึ่งการออกกำลังกายและกิจกรรมทางกายมีหลากหลายประเภทและกิจกรรมอย่างหนึ่งที่ได้รับความสนใจในกลุ่มวัยรุ่นปัจจุบัน คือ การเต้นคัฟเวอร์ (Cover dance) อย่างไรก็ตามยังไม่มีการศึกษาใดที่ทำการศึกษาเกี่ยวกับผลของการเต้นคัฟเวอร์ต่อสมรรถภาพทางกาย ดังนั้นทางคณะผู้วิจัยจึงมีความสนใจศึกษาผลของการเต้นคัฟเวอร์ที่มีผลต่อสมรรถภาพทางกายทั้ง 5 ด้าน คือ ด้านองค์ประกอบของร่างกาย ความยึดหยุ่นของกล้ามเนื้อ ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ ความทนทานของกล้ามเนื้อ และความทนทานของการหายใจและหัวใจ โดยการศึกษานี้ได้ทำการทดสอบในนิสิตหญิงสุขภาพดีที่เป็นสมาชิกชมรมเต้นคัฟเวอร์มหาวิทยาลัยพะเยา จำนวน 39 คน แบ่งอาสาสมัครออกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มควบคุม จำนวน 17 คน และกลุ่มทดลอง จำนวน 22 คน โดยกลุ่มทดลองได้รับโปรแกรมการเต้นคัฟเวอร์วันละ 1 ชั่วโมง 3 วันต่อสัปดาห์ เป็นระยะเวลา 4 สัปดาห์ โดยอาสาสมัครทั้ง 2 กลุ่มได้รับการวัดสมรรถภาพทางกายทั้ง 5 ด้านก่อนและหลังการฝึก ผลการศึกษาพบว่า หลังจาก 4 สัปดาห์กลุ่มทดลองมีการเปลี่ยนแปลงของตัวแปรเปอร์เซ็นต์ไขมันในร่างกาย ความยึดหยุ่นของกล้ามเนื้อ ความทนทานของกล้ามเนื้อและความสามารถในการใช้ออกซิเจนสูงสุดในทิศทางที่ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value < 0.05) จึงสรุปได้ว่าการเข้าร่วมโปรแกรมการเต้นคัฟเวอร์อย่างน้อย 4 สัปดาห์ สามารถเพิ่มสมรรถภาพทางกายในด้านองค์ประกอบของร่างกาย ความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อ ความทนทานของกล้ามเนื้อ และความทนทานของการหายใจและหัวใจได้
- Itemการศึกษารูปแบบการเรียนรู้ของนิสิตกายภาพบำบัด(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2013) กฤษณา สอนศิริ; คัลธียา จันอ้น; นงค์นุช ไชยดรุณการวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษารูปแบบการเรียนรู้ของนิสิตกายภาพบำบัด มหาวิทยาลัยพะเยา ที่กำลังศึกษาในภาคการศึกษาที่ 1 ปีการศึกษา 2556 นิสิตชั้นปีที่ 1-4 (195 คน) ถูกขอให้ตอบแบบวัดรูปแบบการเรียนรู้ ซึ่งแบ่งรูปแบบการเรียนรู้ออกเป็น 7 ประเภท ได้แก่ 1) แบบพึ่งตนเอง 2) แบบแลกเปลี่ยน 3) แบบหลบหลีก 4) แบบผู้นำ 5) แบบกำหนดความคิด 6) แบบสร้างโอกาส และ 7) แบบเพิ่มพูนปัญญา ผลการศึกษา พบว่า นิสิตชั้นปีที่ 1, 3 และ 4 ส่วนใหญ่มีรูปแบบการเรียนรู้แบบแลกเปลี่ยนมากที่สุด (ร้อยละ 34.78, 35.42 และ 44.00 ตามลำดับ) และนิสิตชั้นปีที่ 2 ส่วนใหญ่มีรูปแบบการเรียนรู้แบบกำหนดความคิดมากที่สุด (ร้อยละ 28.57) แม้ว่ารูปแบบการเรียนรู้ของนิสิตกายภาพบำบัดมีความหลากหลาย แต่ผลการศึกษานี้มีประโยชน์สำหรับการเรียนการสอนตามแนวคิดการเรียนรู้โดยเน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง
- Itemสมบัติดินและการประเมินการกักเก็บคาร์บอนในดินชั้นบนบริเวณพื้นที่ป่าเต็งรัง มหาวิทยาลัยพะเยา(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2014) สุภาภรณ์ แก้วสน; หทัยชนก จรเข้การศึกษาสมบัติทางกายภาพ ทางเคมี และการประเมินการกักเก็บคาร์บอนในดินพื้นที่ป่าเต็งรัง มหาวิทยาลัยพะเยา มีวัตถุประสงค์ เพื่อประเมินปริมาณการสะสมคาร์บอนของทรัพยากรดินในป่าเต็งรัง ในการกำหนดจุดเก็บตัวอย่างดินที่เป็นตัวแทนที่ตัวดีที่สุด จำนวน 8 จุด โดยแบ่งพื้นที่ศึกษาออกเป็น 4 ลักษณะ ได้แก่ พื้นที่บริเวณเนินเขา พื้นที่ลาดเอียง พื้นที่ราบ และพื้นที่ใกล้ทางน้ำ ซึ่งเก็บตัวอย่างที่ 3 ระดับความลึก ได้แก่ 0-5, 5-15 และ 15-30 cm เพื่อวิเคราะห์สมบัติทางกายภาพและเคมี พบว่า ดินในป่าเต็งรังเป็นดินตื้นซึ่งมีเนื้อดินอยู่ในพิสัยดินร่วนเหนียวปนทรายถึงดินเหนียวปนทราย ความหนาแน่นของดิน พบว่า มีค่าเพิ่มขึ้นเมื่อมีระดับความลึกมากขึ้นโดยมีค่าเฉลี่ยในแต่ละความลึกดังนี้ 1.47, 1.78 และ 1.76 g/cm³ ค่าปฏิกิริยาของดินเป็นกรดรุนแรงมาก (pH, 4.4) ถึงกรดเล็กน้อย (pH, 6.6) ปริมาณอินทรียวัตถุในดินชั้นบนมีปริมาณต่ำไปจนถึงมาก (463.4 - 7.69g/kg) เช่นเดียวกับอินทรีย์คาร์บอนที่ระดับ 0-5, 5-15 และ 15-30 cm มีค่าเฉลี่ยเท่ากับร้อยละ 2.41, 1.13 และ 0.84 ตามลำดับ นอกจากนี้ยังสอดคล้องกับไนโตรเจน (0.01-1.29 g/kg) ในดินชั้นบนสุดพบว่า อัตราส่วน C/N มีค่าประมาณ 31.31 ซึ่งเพียงพอต่อการเกิดกระบวนการย่อยสลายของจุลินทรีย์ในดิน
- Itemอิทธิพลของสภาพจุลอุตุนิยมวิทยาต่อการแลกเปลี่ยนก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ระหว่างบรรยากาศกับป่าเต็งรังในมหาวิทยาลัยพะเยา(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2014) เบญจพร แก้วน้อย; มานะ ปันยา; วัชระพงษ์ บุญเรืองงานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ ศึกษาอิทธิพลของสภาพจุลอุตุนิยมวิทยาที่มีผลต่อการแลกเปลี่ยนก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ระหว่างบรรยากาศ (Atmosphere) กับระบบนิเวศป่าเต็งรัง (Dry dipterocarp forest ecosystem) ในมหาวิทยาลัยพะเยา โดยประยุกต์ใช้เทคนิคความแปรปรวนร่วมแบบหมุนวน (Eddy covariance technique) ตั้งแต่เดือน พฤษภาคม ถึง ตุลาคม พ.ศ. 2556 ผลการศึกษาพบว่า ปัจจัยของสมดุลพลังงาน ในแง่ของความร้อนที่ใช้ในการะเหยน้ำ (Lotent heat: LE) กับ ความร้อนที่ใช้ในการเผาอากาศ (Sensible heat: H) มีผลต่อการแลกเปลี่ยนก๊าซ CO2 (Net ecosystem exchange: NEE) ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเมื่อค่า LE และ H สูงขึ้น ทำให้ค่า NEE ก็มีแนวโน้มที่สูงขึ้นตามไปด้วย จนถึงระดับหนึ่งค่า NEE มีแนวโน้มที่คงที่และมีความสอดคล้องกับความเข้มแสงที่พืชสามารถสังเคราะห์แสงได้ (Photosynthetically active radiation: PAR) นอกจากนี้ค่าของ PAR รายเดือนยังขึ้นอยู่กับปริมาณแสงสุทธิที่เข้ามาในระบบในช่วงฤดูกาลเดียวกัน สำหรับการตอบสนองของ NEE ต่อการเปลี่ยนแปลงของความชื้นในดิน และอุณหภูมิอากาศ พบว่า มีความสัมพันธ์กันไม่ชัดเจน เนื่องจากในช่วงการศึกษาเป็นช่วงฤดูฝน โดยสรุป ปัจจัยทางจุลอุตุนิยมวิทยาที่ส่งผลต่อ NEE คือ LE, H และ PAR ส่วนความชื้นในดิน และอุณหภูมิอากาศ พบว่า ยังไม่ชัดเจน ซึ่งพบว่า ค่า NEE ในพื้นที่ป่าเต็งรัง มหาวิทยาลัยพะเยา มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ -2.12 µmol/m2/s หรือคิดเป็น 30.6 tC02/ha/yr อย่างไรก็ตามเนื่องจากการศึกษานี้ส่วนใหญ่เป็นข้อมูลอยู่ในช่วงฤดูฝนจึงทำให้เห็นรูปแบบการเปลี่ยนแปลงของ NEE ในรอบปีที่ยังไม่ชัดเจน จึงควรมีการศึกษาในระยะยาวเพื่อสามารถประเมินศักยภาพการกักเก็บคาร์บอนในรอบปีได้อย่างถูกต้องต่อไป
- Itemคุณภาพต้นน้ำในลำน้ำสาขาต้นน้ำของพื้นที่ชุ่มน้ำกว๊านพะเยา(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2014) เบญจวรรณ ประสารยากว๊านพะเยาเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำนานาชาติและเป็นแหล่งน้ำผิวดินที่มีความสำคัญของลุ่มน้ำอิง ซึ่งเป็นแหล่งทรัพยากรของชุมชนภาคเหนือตอนบนโดยกว๊านพะเยาเป็นแหล่งน้ำที่ล้อมรอบไปด้วยพื้นที่การเกษตรและชุมชนเมือง ได้ทำการสำรวจตัวแทนลำน้ำต้นน้ำที่ไหลลงสู่กว๊านพะเยา 2 ลำน้ำ ได้แก่ ลำน้ำแม่ใส และลำน้ำสันป่าถ่อน จากผลการวิเคราะห์ พบว่า ปริมาณที่จุลินทรีย์ต้องการใช้ในการย่อยสลายสารอินทรีย์ ในน้ำสูงสุด คือ 3.3 มิลลิกรัมต่อลิตร ภาระบรรทุกปีโอดี พบว่า มีภาระบรรทุกของปีโอดีสูงที่สุด คือ 3,086 กิโลกรัมต่อวัน แอมโมเนียไนโตรเจนสูงที่สุด คือ 2.52 มิลลิกรัมต่อลิตร ไนเตรตไนโตรเจนสูงที่สุด คือ 9.54 มิลลิกรัมต่อลิตร ซึ่งเกินมาตรฐานคุณภาพน้ำผิวดินจึงทำให้ส่งผลกระทบต่อความสมดุลทางระบบนิเวศพื้นที่ชุ่มน้ำกว๊านพะเยา
- Itemการประเมินมวลชีวภาพเหนือพื้นดินในป่าเต็งรัง มหาวิทยาลัยพะเยา(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2014) จริยา อีดี; พิมลดา ตันเส้าการประเมินมวลชีวภาพเหนือพื้นดินในพื้นที่ป่าเต็งรัง มหาวิทยาลัยพะเยา ในระหว่างเดือนธันวาคม พ.ศ. 2556 ถึง เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557 มีวัตถุประสงค์ เพื่อทราบปริมาณการกักเก็บคาร์บอนในรูปมวลชีวภาพเหนือพื้นดิน ดำเนินการศึกษาโดยการวางแปลงตัวอย่าง ขนาด 10 m x 10 m จำนวน 4 แปลง ทำการวัดสรีรวิทยาของต้นไม้ ได้แก่ ความสูงและเส้นผ่านศูนย์กลางระดับอก (Diameter at Breast Height; DBH) รวมถึงการจัดเก็บการร่วงหล่นของใบไม้ (Little fall) เพื่อนำไปประมาณหามวลชีวภาพเหนือดินโดยใช้สมการแอลโรเมตริก (Allometric equation) ผลการศึกษาพบว่า ปริมาณคาร์บอนในรูปมวลชีวภาพแต่ละส่วน ได้แก่ ลำต้น, กิ่ง, ใบ, มวลชีวภาพที่ร่วงหล่น เท่ากับ 7.20, 0.75, 0.35 และ 0.12 tC/ha ตามลำดับ และการศึกษาครั้งนี้พบว่า ปริมาณคาร์บอนในรูปของมวลชีวภาพเหนือพื้นดินในระบบนิเวศป่าเต็งรัง มหาวิทยาลัยพะเยา รวมทั้งหมด เท่ากับ 8.43 tC/ha
- Itemผลของการอบไอน้ำสมุนไพรพื้นบ้านต่อความยืดหยุ่นในบุคลากรเพศหญิง มหาวิทยาลัยพะเยา(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2014) ทัศนีย์ ขุนชัย; ประไพพักตร์ สาริกา; อรอนงค์ อินต๊ะมาการศึกษานี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาผลของการอบไอน้ำสมุนไพรพื้นบ้านต่อความยืดหยุ่นของร่างกายในบุคลากรเพศหญิง มหาวิทยาลัยพะเยา ที่มีความยืดหยุ่นต่ำถึงปานกลาง อาสาสมัคร จำนวน 10 คน อายุเฉลี่ย 40±4.37 ปี ได้รับโปรแกรมการอบไอน้ำสมุนไพรครั้งละ 30 นาที จำนวน 3 วันต่อสัปดาห์ เป็นระยะเวลา 2 สัปดาห์ ทดสอบความยืดหยุ่นของหลังและขาด้านหลังด้วยการประเมินการนั่งงอตัว (Sit and reach test) และทดสอบความยืดหยุ่นของข้อไหล่ด้วยการประเมินการเคลื่อนไหวของข้อไหล่ (Shoulder girdle flexibility test) โดยประเมินความยืดหยุ่นก่อนและหลังเสร็จสิ้นโปรแกรม โดยใช้สถิติ Wilcoxon signed rank test ผลการศึกษาพบว่า อาสาสมัครมีความยืดหยุ่นเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ การทดสอบการนั่งงอตัว ก่อน 5.71±5.17 ซม. หลัง 11.2±6.95 ซึม. (p<0.05) และการทดสอบการเคลื่อนไหวของข้อไหล่ข้างซ้าย ก่อน -6.07±5.87 ซม. หลัง -1.51±5.87 ชม. ข้างขวา ก่อน -2.85±5.53 ซม. หลัง 1.81±4.20 ซม. (p<0.05) โดยสรุปการอบไอน้ำด้วยสมุนไพรพื้นบ้านเป็นระยะเวลา 2 สัปดาห์ ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นของร่างกายในบุคลากรเพศหญิง มหาวิทยาลัยพะเยาได้
- Itemการคาดการณ์การล้มในผู้สูงอายุโดยใช้การทดสอบมาตรฐานและการทดสอบแบบใหม่(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2014) ขวัญฤทัย อิ่นคำ; ฐิตาพร เผ่าศรีไชย; ธิดารัตน์ สายเขียวที่มา: จำนวนผู้สูงอายุในประเทศไทย มีจำนวนเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้เกิดปัญหาความเสื่อมถอยของร่างกาย และเสี่ยงต่อการล้มตามมาได้ ซึ่งพบว่าปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อการล้มคือ ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อขา การทรงตัว และความสามารถในการเดิน วัตถุประสงค์: การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อเปรียบเทียบความสามารถในการทำนายการล้มของการทดสอบ ในผู้สูงอายุในชุมชนโดยพิจารณาจากคำความไว ค่าความจำเพาะ และพื้นที่ใต้กราฟ วิธีการ : ผู้เข้าร่วมวิจัยมีทั้งหมด 70 คน ถูกแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ตามประวัติของการล้มย้อนหลัง 6 เดือน อาสาสมัครทั้ง 2 กลุ่มได้รับการทดสอบลุกยืน 3 ครั้ง แล้วเดินไปกลับ 6 เมตร และการทดสอบเดินไปกลับ 6 เมตร ผลการทดสอบถูกวิเคราะห์ด้วยสถิติ Receiver-operating characteristic (ROC) curve และ: Independent t-test โดยกำหนดระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ p <0.05 ผลการศึกษา: ในกลุ่มที่ไม่ล้ม ใช้เวลาในการทดสอบลุกยืน 3 ครั้ง และเดินไปกลับ 6 เมตร และทดสอบเดินไปกลับ 6 เมตร น้อยกว่ากลุ่มที่ล้มอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < 0.01 และ p < 0.05 ตามลำดับ) และพบว่า อาสาสมัครที่ใช้เวลาในการทดสอบ 12.22 วินาทีขึ้นไป มีความเสี่ยงต่อการล้ม (ค่าความไวและความจำเพาะของ TTSWT = ร้อยละ 80.00 และ 85.71 ตามลำดับ และค่าความจำเพาะของ TUGT = ร้อยละ 60.00 และ 74.29 ตามลำดับ) สรุปผลการศึกษา: ผลการศึกษาช่วยให้ได้ข้อมูลสำคัญที่สามารถใช้เป็นเกณฑ์ ในการพัฒนาความสามารถทางกายของผู้สูงอายุเพื่อป้องกันการล้มได้
- Itemความสัมพันธ์ระหว่างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อขาและความสามารถในการทดสอบการทรงตัวในบุคคลวัยผู้ใหญ่ตอนต้นที่มีภาวะอ้วน(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2014) เกษมศรี จันทร์ผ่อง; ธวัชชัย ไชยกุล; วิทวัส ใจเที่ยงวัตถุประสงค์ของการศึกษาครั้งนี้ คือ ศึกษาถึงปัจจัยความแข็งแรงของกล้ามเนื้อขาที่มีผลต่อการทรงตัวในบุคคลวัยผู้ใหญ่ตอนต้นที่มีภาวะอ้วน โดยหาความสัมพันธ์ระหว่างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อขาทั้งหมด 6 กลุ่มกล้ามเนื้อและความสามารถในการทรงตัวขณะเคลื่อนไหว ในอาสาสมัครที่มีภาวะอ้วน อายุ 18-25 ปี จำนวน 30 คน (ผู้ชาย 15 คน และผู้หญิง 15 คน) อาสาสมัครทุกคนได้รับการทดสอบความแข็งแรงของกล้ามเนื้อขาด้วยเครื่อง Push-pull dynamometer และการทดสอบการทรงตัวด้วย Star Excursion Balance Test (SEBT) ใช้สถิติ Pearson's correlation หาความสัมพันธ์ของทั้งสองตัวแปร ผลการศึกษาพบว่า SEBT score มีความสัมพันธ์กับความแข็งแรงของกล้ามเนื้อเหยียดเข่า (Knee extensor) และกล้ามเนื้องอเข่า (Knee flexor) ในระดับปานกลางถึงสูง (r=0.693, p<0.01 และ r=0.507, p<0.01 ตามลำดับ) และมีความสัมพันธ์กับความแข็งแรงของกล้ามเนื้อถีบปลายเท้าลง (Ankle plantarflexor) ในระดับต่ำ (r=0.342, p<0.05) และไม่มีความสัมพันธ์กับความแข็งแรงของกล้ามเนื้องอสะโพก (Hip flexor) กล้ามเนื้อเหยียดสะโพก (Hip extensor) และกล้ามเนื้อกระดูกข้อเท้าขึ้น (Ankle dorsiflexor) ผลการศึกษาในครั้งนี้สรุปได้ว่า ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อขาเป็นปัจจัยหนึ่งมีผลต่อการทรงตัวในคนที่มีภาวะอ้วนโดยเฉพาะกล้ามเนื้อข้อเข่า ดังนั้นการออกแบบโปรแกรมการออกกำลังกายเพื่อเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อขาอาจช่วยลดความเสี่ยงต่อการหกล้มในคนที่มีภาวะอ้วนได้
- Itemการศึกษาความเที่ยงตรงของการทดสอบลุกยืน 3 ครั้งและเดินในผู้สูงอายุ(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2014) กุลจิรา เจิมเฉลิม; ฐิติมา กันทา; ณัฐพัชร์ จันทร์แก้วที่มา: การทดสอบการลุกขึ้นยืน 5 ครั้ง และการทดสอบเดินไปกลับ 6 เมตร เป็นการทดสอบเพื่อประเมินความสามารถในการทรงตัวของผู้สูงอายุ แต่การทดสอบดังกล่าวยังไม่ครอบคลุมในการตรวจประเมิน ดังนั้นการทดสอบลุกยืน 3 ครั้งและเดิน จึงถูกพัฒนาการขึ้นมา เพื่อให้การประเมินการทรงตัวมีประสิทธิภาพมากขึ้น วัตถุประสงค์: เพื่อศึกษาความเที่ยงตรงของการทดสอบ TTSW วิธีการศึกษา:ผู้สูงอายุที่มีอายุมากกว่า 60 ปี จำนวน 87 คน ได้รับการทดสอบ 3 การทดสอบ ได้แก่ FTSST TUGT และ TTSW โดยทำการทดสอบแต่ละชนิดเป็นจำนวน 3 ครั้ง นำผลที่ได้นำไปวิเคราะห์โดยใช้สถิติสหสัมพันธ์ของเพียร์สันเพื่อหาความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปร FTSST TUGT และ TTSW ผลการศึกษา: พบความสัมพันธ์เชิงบวกในระดับสูงระหว่าง FTSST และ TTSW มีค่าความสัมพันธ์เท่ากับ 0.883 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < 0.001) และพบความสัมพันธ์เชิงบวกในระดับสูงระหว่าง TUGT และ TTSW มีค่าความสัมพันธ์เท่ากับ 0.905 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < 0.001) สรุปผลการศึกษา: การทดสอบ TTSW เป็นเครื่องมือที่มีความเที่ยงตรงและสามารถนำไปใช้เพื่อประเมินความเสี่ยงในการล้มของผู้สูงอายุได้