Browse
Recent Submissions
Now showing 1 - 5 of 216
- Itemการหาค่าดัชนีความสำคัญป่าเต็งรังในพื้นที่อุทยานการเรียนรู้การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อมเพื่อการอนุรักษ์พันธุกรรมพืช อันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี มหาวิทยาลัยพะเยา(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2018) ปรีญาดา อภิวงค์งาม; ธัญญรัตน์ ศรีหาบุตการศึกษาค้นคว้าครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาค่าดัชนีความสำคัญของชนิดพันธุ์ไม้ และสังคมพืชในแปลงตัวอย่างป่าเต็งรังภายในพื้นที่อุทยานการเรียนรู้การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม เพื่อการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดาริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี มหาวิทยาลัยพะเยา อำเภอเมือง จังหวัดพะเยาในช่วงเดือนสิงหาคม ถึงเดือนตุลาคมปี 2561 ซึ่งจะนำมาใช้ในการวิเคราะห์ค่าดัชนีความสำคัญ และลักษณะสังคมพืชเชิงปริมาณ ซึ่งประกอบด้วย ความหนาแน่น ความหนาแน่นสัมพัทธ์ ความถี่ ความถี่สัมพัทธ์ ความเด่น ความเด่นสัมพัทธ์ และความอุดมสมบูรณ์ ทำการศึกษาโดยการวางแปลงตัวอย่างขนาด 40 X 40 เมตรหรือประมาณ 1 ไร่ เพื่อศึกษาพรรณไม้ยืนต้นที่มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางระดับอก (DBH 2 4.5 เซนติเมตร) ขึ้นไป และวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพ คือ การทำบัญชีรายชื่อพันธุ์ไม้ ผลการศึกษาพบพันธุ์ไม้ จำนวน 942 ต้น 19 วงศ์ 41 ชนิด มีค่าความหนาแน่นสัมพัทธ์ ค่าความถี่สัมพัทธ์ และดัชนีความสำคัญสูงสุด 3 อันดับแรก คือ ต้นพลวง (Dipterocorpus tuberculatus) ต้นเต็ง (Shorea obtuso) และต้นรัง (Shoreo siamensis) ตามลำดับ ส่วนค่าความเด่นสัมพัทธ์สูงสุด คือ ต้นเต็ง ลักษณะโครงสร้างของสังคมพืชในป่าเต็งรังภายในพื้นที่อุทยานการเรียนรู้การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม เพื่อการอนุรักษ์พันธุกรรมพืช อันเนื่องมาจากพระราชดาริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี มหาวิทยาลัย พะเยา พบว่า ชั้นเรือนยอดที่สูงที่สุด ได้แก่ เหียง (Dipterocarpus obtusifolius)
- Itemคุณภาพต้นน้ำในลำน้ำสาขาต้นน้ำของพื้นที่ชุ่มน้ำกว๊านพะเยา(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2014) เบญจวรรณ ประสารยากว๊านพะเยาเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำนานาชาติและเป็นแหล่งน้ำผิวดินที่มีความสำคัญของลุ่มน้ำอิง ซึ่งเป็นแหล่งทรัพยากรของชุมชนภาคเหนือตอนบนโดยกว๊านพะเยาเป็นแหล่งน้ำที่ล้อมรอบไปด้วยพื้นที่การเกษตรและชุมชนเมือง ได้ทำการสำรวจตัวแทนลำน้ำต้นน้ำที่ไหลลงสู่กว๊านพะเยา 2 ลำน้ำ ได้แก่ ลำน้ำแม่ใส และลำน้ำสันป่าถ่อน จากผลการวิเคราะห์ พบว่า ปริมาณที่จุลินทรีย์ต้องการใช้ในการย่อยสลายสารอินทรีย์ ในน้ำสูงสุด คือ 3.3 มิลลิกรัมต่อลิตร ภาระบรรทุกปีโอดี พบว่า มีภาระบรรทุกของปีโอดีสูงที่สุด คือ 3,086 กิโลกรัมต่อวัน แอมโมเนียไนโตรเจนสูงที่สุด คือ 2.52 มิลลิกรัมต่อลิตร ไนเตรตไนโตรเจนสูงที่สุด คือ 9.54 มิลลิกรัมต่อลิตร ซึ่งเกินมาตรฐานคุณภาพน้ำผิวดินจึงทำให้ส่งผลกระทบต่อความสมดุลทางระบบนิเวศพื้นที่ชุ่มน้ำกว๊านพะเยา
- Itemการสำรวจวัดความเข้าใจเชิงความคิดรวบยอดเกี่ยวกับฟิสิกส์ ดาวหาง ของนักเรียนโรงเรียนพินิตประสาธน์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 นักเรียนโรงเรียนพะเยาพิทยาคม ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 นักเรียนโรงเรียนประชาบำรุง และนักเรียนโรงเรียนเทศบาล 2 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ในอำเภอเมืองพะเยา ปีการศึกษา 2559(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2016) พิมพ์ประกา สัมพันธ์พงค์การค้นคว้าอิสระ การสำรวจความเข้าใจผิดของผู้เรียนเรื่อง ดาวหาง ของกลุ่มตัวอย่างที่ใช้สำรวจในการวิจัย คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนพินิตประสาธน์ จำนวน 19 คน นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนพะเยาพิทยาคม จำนวน 27 คน นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนโรงเรียนประชาบำรุง จำนวน 25 คน และโรงเรียนเทศบาล 2 จำนวน 19 คน ปีการศึกษา 2559 ผลของความคิดรวบยอด และวัดความเข้าใจ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนพินิตประสาธน์ จำนวน 19 คน นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนพะเยาพิทยาคม จำนวน 27 คน นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนโรงเรียนประชาบำรุง จำนวน 25 คน และโรงเรียนเทศบาล 2 จำนวน 19 คน ปีการศึกษา 2559 จากการเก็บรวบรวมข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างดังกล่าว การสำรวจความเข้าใจผิด พบว่า นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนพะเยาพิทยาคมมีความเข้าใจผิดน้อยที่สุด รองลงมา คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนประชาบำรุง และโรงเรียนเทศบาล 2 โรงเรียนพินิตประสาธน์ มีความเข้าใจผิดมากที่สุด ผลการศึกษาพบว่า การศึกษาความคิดรวบยอดที่ถูกต้อง เรื่อง ดาวหาง โรงเรียนพะเยาพิทยาคม มีความคิดรวบยอดที่ถูกต้องมากที่สุด รองลงมา คือ โรงเรียนประชาบำรุง และโรงเรียนเทศบาล 2 โรงเรียนพินิตประสาธน์ มีความคิดรวบยอดที่ถูกต้องในระดับต่ำกว่าทุกโรงเรียน ผลการวัดความเข้าใจเกี่ยวกับดาราศาสตร์ ของดาวหาง ในทางเดียวกัน โรงเรียนพะเยาพิทยาคม มีความเข้าใจที่ถูกต้องมากที่สุด รองลงมา คือ โรงเรียนประชาบำรุง และโรงเรียนเทศบาล 2 โรงเรียนพินิตประสาธน์ มีความเข้าใจที่ถูกต้องในระดับต่ำกว่า ทุกโรงเรียน
- Itemคุณภาพน้ำในระบบบึงประดิษฐ์แบบลอยน้ำโดยใช้แพลงก์ตอนพืชเป็นดัชนีชี้วัด(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2016) รัฐธนานุพนต์ ใจยะเขียว; จักรกฤษณ์ โทจรัญการศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาคุณภาพน้ำในระบบบึงประดิษฐ์แบบลอยน้ำโดยใช้แพลงก์ตอนพืชเป็นดัชนีชี้วัด ระหว่างเดือนมกราคมถึงเดือนมีนาคม 2559 ซึ่งพบแพลงก์ตอนพืชทั้งหมด ดังนี้ 1) น้ำเสียก่อนเข้าระบบ พบแพลงก์ตอนพืชทั้งหมด 4 Divisions 31 genera 64 species โดยแพลงก์ตอนพืชที่มีจำนวนชนิดมากที่สุด คือ Division Chlorophyta 56% และต่ำสุด ได้แก่ Division Euglenophyta 9% และ Division Cyanophyta 9% 2) ชุดการทดลองควบคุมไม่มีแพลอยน้ำ พบแพลงก์ตอนพืชทั้งหมด 4 Divisions 34 genera 61 species โดยแพลงก์ตอนพืชที่มีจำนวนชนิดมากที่สุด คือ Division Bacillariophyta 49% และต่ำสุด คือ Division Cyanophyta 9% 3) ชุดการทดลองควบคุมมีแพลอยน้ำ พบแพลงก์ตอนพืชทั้งหมด 4 Divisions 33 genera 56 species โดยแพลงก์ตอนพืชที่มีจำนวนชนิดมากที่สุด คือ Division Bacillariophyta 41% และตํ่าสุด คือ Division Cyanophyta 4% 4) ชุดการทดลองพืชกกลังกา พบแพลงก์ตอนพืชทั้งหมด 4 Divisions 33 genera 60 species โดยแพลงก์ตอนพืชที่มีจำนวนชนิดมากที่สุดคือ Division Chlorophyta 44% และต่ำสุด คือ Division Cyanophyta 7% 5) ชุดการทดลองพืชไอริส พบแพลงก์ตอนพืชทั้งหมด 4 Divisions 34 genera 61 species โดยแพลงก์ตอนพืชที่มีจำนวนชนิดมากที่สุด คือ Division Bacillariophyta 37% และต่ำสุด คือ Division Cyanophyta 13% คุณภาพน้ำโดยใช้แพลงก์ตอนพืชชนิดเด่นที่พบ โดยวิธี AARL-PP Score จัดอยู่ในระดับ 5.6-7.5 คะแนน บ่งชี้คุณภาพอยู่ในระดับ Meso-eutrophic หรือสารอาหารปานกลางถึงสูง โดยแพลงก์ตอนพืชจีนัส Scenedesmus และ Cyclotella เป็นจีนัสที่พบมากที่สุดในน้ำเสียก่อนเข้าระบบซึ่งสามารถบ่งชี้สภาพคุณภาพน้ำต่ำได้ นอกจากนี้พบว่าเมื่อวิเคราะห์ข้อมูลทางสถิติโดยใช้ Canonical Correspondence Analysis (CCA) เพื่อหาความสัมพันธ์ของแพลงก์ตอนพืชกับคุณภาพน้ำบางประการ สามารถแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ (1) กลุ่ม Euglena sp.5 Euglena sp.6 Nitzchia palea Monoraphidium contortum และ Phocus ranula มีแนวโน้มสัมพันธ์เชิงบวกกับแอมโมเนียไนโตรเจน (2) กลุ่ม Euglena sp.7 Phacus sp.1 Phacus sp.2 Golenkinia sp.1 และ Cosmarium sp.1 มีแนวโน้มสัมพันธ์เชิงบวกกับ DO และ (3) กลุ่ม Closteriopsis sp.2 มีแนวโน้มสัมพันธ์เชิงบวกกับไนโตรเจนรวมและปริมาณของแข็งแขวนลอย
- Itemการประเมินองค์ประกอบของการคายระเหยรวมของน้ำในพื้นที่ป่าเต็งรัง มหาวิทยาลัยพะเยา(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2017) พิทักษ์ธรรม ตรีกลึง; พิษณุนาถ นาพิลาการเปลี่ยนแปลงการใช้ประโยชน์ที่ดินบริเวณพื้นที่ป่าต้นน้ำ ส่งผลต่ลต่อวัฏจักรน้ำโดยเฉพาะการคายระเหยรวมของน้ำ (Evapotranspiration) ซึ่งมีผลต่อการสูญเสียน้ำในระบบนิเวศ ทำให้น้ำท่าลดลง (Runoff) การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อประเมินองค์ประกอบการคายระเหยรวมของน้ำในป่าเต็งรังมหาวิทยาลัยพะเยา ผลการศึกษาพบว่า การคายระเหยของน้ำในพื้นที่บำเต็งรังมหาวิทยาลัยพะเยา โดยการประยุกต์ใช้เทคนิคความแปรปรวนร่วมแบบหมุนวน พบว่า การคายระเหยรวม (Evapotranspiration) อยู่ 49.2% ของปริมาณน้ำฝนทั้งหมด โดยแบ่งเป็นการระเหยของน้ำพืชยึด (Conopy intercept evaporation) 50.1% และการคายน้ำของพืชรวมกับการระเหยจากดิน (Tree transpiration and soil evaporation) 49.9% ของการคายระเหยรวมในระบบนิเวศ ตามลำดับ อย่างไรก็ตามการศึกษานี้เป็นการศึกษาช่วงระยะเวลาสั้นควรจะมีการศึกษาอย่างต่อเนื่องเพื่อให้เห็นความแตกต่างขององค์ประกอบการคายระเหยอย่างชัดเจน