ระดับปริญญาเอก(Doctoral Degree)

Permanent URI for this collection

Browse

Recent Submissions

Now showing 1 - 5 of 110
  • Item
    รูปแบบการพัฒนาภาวะผู้นำแบบประชาธิปไตยของผู้นำนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษา ในกรุงเทพมหานคร
    (มหาวิทยาลัยพะเยา, 2024) ธีรวัฒน์ เลื่อนฤทธิ์
    การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาปัจจัยเชิงสาเหตุ กลุ่มที่สมควรพัฒนาก่อน ปัจจัยส่งเสริม และรูปแบบปัจจัยเชิงสาเหตุของภาวะผู้นำแบบประชาธิปไตยของผู้นำนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษา และ 2) เพื่อศึกษาประสิทธิผลโปรแกรมต้นแบบการพัฒนาภาวะผู้นำแบบประชาธิปไตยของผู้นำนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษา การวิจัยมีสองระยะ ระยะที่ 1 เป็นการวิจัยเชิงสัมพันธ์เปรียบเทียบ กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้นำนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษา ในกรุงเทพฯ จำนวน 344 คน สุ่มแบบแบ่งชั้นกำหนดโควตา เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบวัดจำนวน 10 แบบวัด มีค่าความเที่ยง (α) .78 - .91 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติพรรณนา และสถิติอ้างอิง สถิติที่ใช้ในการทดสอบสมมุติฐาน ได้แก่ Stepwise Multiple Regression Analysis, t – test (independent), One way ANOVA และ Path Analysis ระยะที่ 2 เป็นการวิจัยเชิงทดลอง กลุ่มตัวอย่างมีทั้งที่เป็นผู้นำนักเรียนและไม่ใช่ผู้นำนักเรียนกลุ่มละ 32 คน ที่เป็นผู้สมัครใจจากโรงเรียนที่ยินดีเข้าร่วมการวิจัย 2 แห่ง จัดเข้ากลุ่มด้วยวิธี Random Assignment การสอบวัดมี 3 ระยะ คือ ก่อนทดลอง เมื่อสิ้นสุดการทดลอง และสองสัปดาห์หลังสิ้นสุดการทดลอง สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ t – test (independent), Two way ANOVA) การวิจัยพบผลสำคัญสี่ประการ คือ ประการที่ 1 กลุ่มตัวแปรด้านจิตลักษณะสามารถอธิบายจิตประชาธิปไตย และพฤติกรรมประชาธิปไตยของผู้นำนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาได้ร้อยละ 46.00 และ 43.00 เมื่อเพิ่มกลุ่มตัวแปรด้านสถานการณ์ทางสังคม สามารถอธิบายได้มากกว่าถึงร้อยละ 5 และ 11 ตามลำดับ ประการที่ 2 กลุ่มนักเรียนที่สมควรได้รับการพัฒนาก่อนมี 6 กลุ่ม คือ เพศชาย ระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น มีประสบการณ์ในการเป็นผู้นำที่มากกว่า 3 ปี ขึ้นไป อยู่ในสังกัด สพม.กท 1 มีคะแนนเฉลี่ยสะสม (GPA) น้อยกว่าหรือเท่ากับ 2.50 และอยู่โรงเรียนขนาดใหญ่ โดยแต่ละกลุ่มมีปัจจัยส่งเสริมเพื่อพัฒนาภาวะผู้นำแบบประชาธิปไตยทั้งจิตประชาธิปไตย และพฤติกรรมประชาธิปไตยอย่างชัดเจน ประการที่ 3 รูปแบบปัจจัยเชิงสาเหตุของภาวะผู้นำแบบประชาธิปไตยของผู้นำนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษามีความสอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์ โดยตัวแปรปัจจัยเชิงสาเหตุอธิบายความแปรปรวนของภาวะผู้นำแบบประชาธิปไตยได้ร้อยละ 92.00 และประการที่ 4 นักเรียนที่ได้รับการฝึกด้วยโปรแกรมต้นแบบมีความรู้ความเข้าใจ ทัศนคติ และภาวะผู้นำแบบประชาธิปไตยของผู้นำนักเรียนสูงกว่ากลุ่มที่ไม่ได้รับการฝึก และพบว่า เมื่อวัดหลังการฝึกทันที และเมื่อผ่านไปสองสัปดาห์ ผลดังกล่าวยังคงอยู่
  • Item
    รูปแบบการบริหารการพัฒนาการทำงานมุ่งผลสัมฤทธิ์ร่วมกับการทำงานอย่างริเริ่มสร้างสรรค์ของอาจารย์มหาวิทยาลัยราชภัฏกลุ่มรัตนโกสินทร์
    (มหาวิทยาลัยพะเยา, 2024) ปรมัตถ์ปัญปรัชญ์ ต้องประสงค์
    การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อ 1) ศึกษาปัจจัยเชิงสาเหตุการทำงานมุ่งผลสัมฤทธิ์ร่วมกับการทำงานอย่างริเริ่มสร้างสรรค์ของอาจารย์มหาวิทยาลัยราชภัฏกลุ่มรัตนโกสินทร์ 2) วิเคราะห์หากลุ่มอาจารย์ที่ควรได้รับการพัฒนาก่อนและปัจจัยส่งเสริม 3) ตรวจสอบรูปแบบปัจจัยเชิงสาเหตุการทำงานมุ่งผลสัมฤทธิ์ร่วมกับการทำงานอย่างริเริ่มสร้างสรรค์ และ 4) ประเมินรูปแบบการบริหาร การพัฒนา การทำงานมุ่งผลสัมฤทธิ์ร่วมกับการทำงานอย่างริเริ่มสร้างสรรค์ โดยใช้วิธีวิจัยแบบผสมเชิงปริมาณเสริมด้วยเชิงคุณภาพ กลุ่มตัวอย่างในการวิจัย คือ อาจารย์มหาวิทยาลัยราชภัฏกลุ่มรัตนโกสินทร์ จำนวน 472 คน ได้มาโดยการเลือกแบบแบ่งชั้นกำหนดสัดส่วน เครื่องมือที่ใช้วัดในการวิจัย คือ 1) แบบวัดตัวแปร 11 แบบวัด ที่มีค่า IOC ตั้งแต่ .60 ถึง 1.00 มีค่าอำนาจจำแนกรายข้อ (r-item total correlation) ตั้งแต่ .226 ถึง .890 ค่าความเที่ยงคำนวณโดยวิธีสัมประสิทธิ์แอลฟา (α) มีค่าตั้งแต่ .768 ถึง .914 2) แบบสัมภาษณ์ และ 3) แบบประเมินรูปแบบการบริหารการพัฒนา สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูล คือ สถิติพื้นฐาน และสถิติอ้างอิง ใช้สถิติทดสอบสมมติฐาน ได้แก่ สถิติทดสอบที การวิเคราะห์ถดถอยพหุคุณ การวิเคราะห์เส้นทางอิทธิพล โดยวิธีวิเคราะห์รูปแบบสมการเชิงโครงสร้าง ผลการวิจัยพบว่า 1) กลุ่มตัวแปรปัจจัยเชิงสาเหตุด้านจิตลักษณะ (เดิม) ของบุคคล และจิตลักษณะตามสถานการณ์ร่วมกันอธิบายการทำงานได้ร้อยละ 76.30 ซึ่งอธิบายได้มากกว่าร้อยละ 40 2) กลุ่มที่ควรได้รับการพัฒนาก่อน คือ อาจารย์ที่สังกัดกลุ่มสาขาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์สุขภาพ โดยมีปัจจัยส่งเสริมที่สำคัญ 3 ประการ คือ ลักษณะมุ่งอนาคตและควบคุมตน ความตั้งใจในการทำงาน และลักษณะมุ่งอนาคต และควบคุมตนต่อการทำงาน 3) รูปแบบปัจจัยเชิงเหตุของการทำงานมุ่งผลสัมฤทธิ์ ร่วมกับการทำงานอย่างริเริ่มสร้างสรรค์มีความสอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์ สามารถอธิบายการทำงานมุ่งผลสัมฤทธิ์ร่วมกับการทำงานอย่างริเริ่มสร้างสรรค์ได้ร้อยละ 83.70 และ 4) รูปแบบการบริหารการพัฒนาการทำงานมุ่งผลสัมฤทธิ์ ร่วมกับการทำงานอย่างริเริ่มสร้างสรรค์ของอาจารย์มหาวิทยาลัยราชภัฏกลุ่มรัตนโกสินทร์ ที่ประเมินโดยผู้ทรงคุณวุฒิ มีค่าเฉลี่ยรายด้าน และโดยภาพรวมสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 70/75 ทำให้เชื่อมั่นได้ว่ารูปแบบการบริหารการพัฒนาการทำงานมุ่งผลสัมฤทธิ์ ร่วมกับการทำงานอย่างริเริ่มสร้างสรรค์ของอาจารย์มหาวิทยาลัยราชภัฏ สามารถนำไปใช้ปฏิบัติได้จริงผลการวิจัยนี้เป็นประโยชน์ต่อผู้บริหาร ผู้ที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาการทำงานของอาจารย์ และนักวิชาการหรืออาจารย์ที่สนใจการพัฒนาตนด้านการทำงาน
  • Item
    รูปแบบการจัดการศึกษาของสถานศึกษาขั้นพื้นฐานระดับประถมศึกษาสู่คุณภาพมาตรฐานระดับสากล
    (มหาวิทยาลัยพะเยา, 2024) ภูกิจ กุละปาลานนท์
    การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์หลัก เพื่อพัฒนารูปแบบการจัดการศึกษาของสถานศึกษาขั้นพื้นฐานระดับประถมศึกษาสู่คุณภาพมาตรฐานระดับสากล วิธีการวิจัยแบ่งออกเป็น 3 ขั้นตอน ขั้นตอนที่ 1 การศึกษาองค์ประกอบและแนวทางการจัดการศึกษาของสถานศึกษาขั้นพื้นฐานระดับประถมศึกษาสู่คุณภาพมาตรฐานระดับสากล เป็นการศึกษา ในโรงเรียนที่มีแนวทางการปฏิบัติที่ดีด้านการจัดการศึกษามาตรฐานระดับสากล จำนวน 6 แห่ง โดยการสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้าง ขั้นตอนที่ 2 การสร้างและตรวจสอบรูปแบบการจัดการศึกษาของสถานศึกษาขั้นพื้นฐานระดับประถมศึกษาสู่คุณภาพมาตรฐานระดับสากล โดยการประเมินความเหมาะสม ผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 9 คน ขั้นตอนที่ 3 การประเมินรูปแบบการจัดการศึกษาของสถานศึกษาขั้นพื้นฐานระดับประถมศึกษาสู่คุณภาพมาตรฐานระดับสากล กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้บริหาร/รองผู้อำนวยการ/หัวหน้าฝ่าย/หัวหน้ากลุ่มสาระการเรียนรู้โรงเรียนนานาชาติ จำนวน 60 คน วิเคราะห์ข้อมูลโดยการหาค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า รูปแบบการจัดการศึกษาของสถานศึกษาขั้นพื้นฐานระดับประถมศึกษาสู่คุณภาพมาตรฐานระดับสากล ประกอบด้วย 4 องค์ประกอบ ได้แก่ องค์ประกอบที่ 1 ปัจจัยนำเข้า ประกอบด้วย ผู้บริหารสถานศึกษา ครู หลักสูตร และสิ่งสนับสนุนการเรียนรู้ องค์ประกอบที่ 2 กระบวนการ ประกอบด้วย 4 ขั้นตอน ขั้นตอนที่ 1 การวางแผน ขั้นตอนที่ 2 การดำเนินการ ขั้นตอนที่ 3 การติดตามตรวจสอบ และขั้นตอนที่ 4 การปรับปรุง องค์ประกอบที่ 3 ผลลัพธ์ ประกอบด้วย 1) คุณภาพตามเกณฑ์มาตรฐานการศึกษาขั้นพื้นฐาน 2) คุณภาพตามเกณฑ์มาตรฐานโรงเรียนนานาชาติ องค์ประกอบที่ 4 ปัจจัยความสำเร็จ ประกอบด้วย 1) นโยบายและกฎหมายในการส่งเสริมการจัดการศึกษาและการสนับสนุนจากภาครัฐ 2) การสื่อสารความสำเร็จในการจัดการศึกษาแก่สาธารณชน 3) การสร้างภาพลักษณ์ของสถานศึกษาในทุกมิติ 4) วัฒนธรรมองค์กรที่มุ่งเน้นความเป็นเลิศ ส่วนผลการตรวจสอบรูปแบบผู้ทรงคุณวุฒิมีความเห็นว่ามีความเหมาะสมแบบฉันทามติ และผลการประเมินรูปแบบการจัดการศึกษาของสถานศึกษาขั้นพื้นฐานระดับประถมศึกษาสู่คุณภาพมาตรฐานระดับสากลมีความเป็นไปได้และมีความเป็นประโยชน์ อยู่ในระดับมาก
  • Item
    รูปแบบการพัฒนาสมรรถนะดิจิทัลเพื่อส่งเสริมการจัดการเรียนรู้ สำหรับผู้บริหารโรงเรียนเอกชน
    (มหาวิทยาลัยพะเยา, 2024) อัสนี โปราณานนท์
    การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อพัฒนารูปแบบการพัฒนาสมรรถนะดิจิทัลเพื่อส่งเสริมการจัดการเรียนรู้สำหรับผู้บริหารโรงเรียนเอกชน วิธีดำเนินการวิจัยมี 3 ขั้นตอน ดังนี้ 1) การศึกษาองค์ประกอบและแนวทางการพัฒนาสมรรถนะดิจิทัล เพื่อส่งเสริมการจัดการเรียนรู้สำหรับผู้บริหารโรงเรียนเอกชน โดยการสังเคราะห์เอกสาร การสอบถาม และการสัมภาษณ์เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามและแบบสัมภาษณ์ วิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์เนื้อหา ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยัน 2) การสร้างและตรวจสอบรูปแบบการพัฒนาสมรรถนะดิจิทัล เพื่อส่งเสริมการจัดการเรียนรู้สำหรับผู้บริหารโรงเรียนเอกชน โดยผู้วิจัยยกร่างรูปแบบ และตรวจสอบความเหมาะสมของรูปแบบโดยผู้ทรงคุณวุฒิจากการสนทนากลุ่มเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ประเด็นการสนทนากลุ่ม แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการหาค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์เนื้อหา และ 3) การประเมินความเป็นไปได้ และความเป็นประโยชน์ของรูปแบบ โดยผู้บริหารโรงเรียนเอกชน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัย พบว่า รูปแบบการพัฒนาสมรรถนะดิจิทัล เพื่อส่งเสริมการจัดการเรียนรู้สำหรับผู้บริหารโรงเรียนเอกชน มี 5 องค์ประกอบ ได้แก่ 1) หลักการการพัฒนาสมรรถนะดิจิทัล เพื่อส่งเสริมการจัดการเรียนรู้สำหรับผู้บริหารโรงเรียนเอกชน 2) วัตถุประสงค์ของการพัฒนาสมรรถนะดิจิทัล เพื่อส่งเสริมการจัดการเรียนรู้สำหรับผู้บริหารโรงเรียนเอกชน 3) ขอบข่ายของสมรรถนะดิจิทัล เพื่อส่งเสริมการจัดการเรียนรู้ของผู้บริหารโรงเรียนเอกชน 4) แนวทางการพัฒนาสมรรถนะดิจิทัล เพื่อส่งเสริมการจัดการเรียนรู้สำหรับผู้บริหารโรงเรียนเอกชน และ 5) ปัจจัยสู่ความสำเร็จการพัฒนาสมรรถนะดิจิทัล เพื่อส่งเสริมการจัดการเรียนรู้สำหรับผู้บริหารโรงเรียนเอกชน ส่วนผลการตรวจสอบรูปแบบโดยผู้ทรงคุณวุฒิ พบว่า มีความเหมาะสมอยู่ในระดับมากที่สุด ผลการประเมินโดยผู้บริหารโรงเรียนเอกชนมีความเป็นไปได้อยู่ในระดับมาก และมีความเป็นประโยชน์อยู่ในระดับมากที่สุด
  • Item
    การพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนภาษาอังกฤษโดยใช้ทฤษฎีสรรคนิยมเชิงสังคมเพื่อส่งเสริมทักษะการสื่อสารและซอฟต์สกิลของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6
    (มหาวิทยาลัยพะเยา, 2024) รณชิต อภัยวาทิน
    การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อ 1) พัฒนารูปแบบการเรียนการสอนภาษาอังกฤษโดยใช้ทฤษฎีสรรคนิยมเชิงสังคม เพื่อส่งเสริมทักษะการสื่อสารและซอฟต์สกิลของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 2) ทดลองใช้รูปแบบการเรียนการสอนภาษาอังกฤษโดยใช้ทฤษฎีสรรคนิยมเชิงสังคม เพื่อส่งเสริมทักษะการสื่อสารและซอฟต์สกิลของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 และ 3) ศึกษาผลการใช้รูปแบบการเรียนการสอนภาษาอังกฤษ โดยใช้ทฤษฎีสรรคนิยมเชิงสังคม เพื่อส่งเสริมทักษะการสื่อสารและซอฟต์สกิลของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 วิจัยโดยใช้การวิจัยและพัฒนา แบ่งเป็น 3 ระยะ คือ ระยะที่ 1 การพัฒนาร่างรูปแบบการเรียนการสอน ระยะที่ 2 การทดลองใช้รูปแบบการเรียนการสอนที่พัฒนาขึ้น และระยะที่ 3 การศึกษาผลการใช้รูปแบบการเรียนการสอนที่พัฒนาขึ้น กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6/2 แผนการเรียนศิลป์ภาษา โรงเรียนโกวิทธำรงเชียงใหม่ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ ปีการศึกษา 2566 จำนวน 35 คน ได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) เครื่องมือประกอบการใช้รูปแบบการเรียนการสอนที่พัฒนาขึ้น คือ 1) คู่มือการใช้รูปแบบการเรียนการสอน และ 2) แผนการจัดการเรียนการสอน เครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล คือ 1) แบบทดสอบ 2) แบบประเมินทักษะซอฟต์สกิลด้านทักษะการสื่อสาร ด้านทักษะการทำงานร่วมกับผู้อื่น และด้านทักษะการแก้ปัญหา และ 3) แบบสอบถามความคิดเห็นของผู้เรียนที่มีต่อรูปแบบการเรียนการสอนที่พัฒนาขึ้น วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการหาเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสัมประสิทธิ์การแปรผัน สถิติทดสอบที (t-test one sample) และค่าความก้าวหน้าสัมพัทธ์ ผลการวิจัย พบว่า 1. รูปแบบการเรียนการสอนที่พัฒนาขึ้นมีคุณภาพอยู่ในระดับมากที่สุด ประกอบด้วย 5 องค์ประกอบ คือ 1) หลักการของรูปแบบการเรียนการสอน 2) วัตถุประสงค์ของรูปแบบการเรียนการสอน 3) กระบวนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ได้แก่ ขั้นที่ 1 ตรวจสอบความรู้เดิม (Checking Prior Knowledge: C1) ขั้นที่ 2 ผสานความรู้ใหม่ (Connecting with New Knowledge: C2) ขั้นที่ 3 ร่วมกันแก้ปัญหา (Collaborative Problem-Solving: C3) ขั้นที่ 4 ร่วมกันนำเสนอและอภิปร าย (Collaborative Presentation and Discussion: C4) ขั้นที่ 5 ประยุกต์ใช้อย่างเข้าใจ (Comprehensive Application: C5) 4) การวัดและประเมินผลของรูปแบบการเรียนการสอน และ 5) ปัจจัยสนับสนุนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ 2. ผลการประเมินประสิทธิภาพเชิงประจักษ์ เท่ากับ 81.08/80.38 และผลการวิเคราะห์ประสิทธิผล มีค่าดัชนีประสิทธิผล 0.65 และ 3. นักเรียนที่เรียนด้วยรูปแบบการเรียนการสอนที่พัฒนาขึ้น มีคะแนนทักษะการสื่อสารสูงกว่าก่อนใช้รูปแบบการเรียนการสอนที่พัฒนาขึ้น อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ ระดับ 0.05 มีค่าเฉลี่ยความก้าวหน้าสัมพัทธ์ของซอฟต์สกิล ด้านทักษะการสื่อสาร เท่ากับ 51.85 พัฒนาการอยู่ในระดับสูง ด้านการทำงานร่วมกับผู้อื่น เท่ากับ 54.64 พัฒนาการอยู่ในระดับสูง และด้านการแก้ปัญหา เท่ากับ 37.15 พัฒนาการอยู่ในระดับปานกลาง และมีความคิดเห็นต่อรูปแบบการเรียนการสอนที่พัฒนาขึ้น อยู่ในระดับมากที่สุด