คณะสหเวชศาสตร์
Permanent URI for this collection
Browse
Browsing คณะสหเวชศาสตร์ by Subject "Body mass index"
Now showing 1 - 2 of 2
Results Per Page
Sort Options
- Itemความสัมพันธ์ของปัจจัยเสี่ยงต่อระดับน้ำตาลในเลือดของผู้สูงอายุที่เป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2016) จาตุรนต์ ฟูแสง; ศศิวิมล พวงคำที่มา: ในประเทศไทยพบผู้ป่วยเบาหวานเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมักพบในวัยผู้ใหญ่ และวัยผู้สูงอายุ การรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในระดับใกล้เคียงกับค่าปกติเป็นสิ่งสำคัญ การศึกษาที่ผ่านมาได้ศึกษาการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดที่ทั้งวัยผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ แต่ผู้สูงอายุมีลักษณะทางกายภาพแตกต่างจากวัยผู้ใหญ่ จึงทำให้ผลการศึกษาเกี่ยวกับปัจจัยในการทำนายระดับน้ำตาลในเลือดของผู้สูงอายุยังไม่ชัดเจน วัตถุประสงค์: เพื่อหาความสัมพันธ์ของตัวแปร (อายุ ดัชนีมวลกาย ความดันโลหิต ความยาวเส้นรอบเอว ระดับกิจกรรมทางกาย ระยะเวลาของการเป็นโรคเบาหวาน) กับระดับน้ำตาลในเลือดของผู้สูงอายุที่เป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 วิธีการศึกษา: อาสาสมัครผู้สูงอายุที่เป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 จำนวน 49 คน ตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือด ข้อมูลทั่วไป ได้แก่ อายุ น้ำหนัก ส่วนสูง ความดันโลหิต วัดความยาวเส้นรอบเอว และแบบสอบถามกิจกรรมทางกาย ผลการศึกษา: ระดับน้ำตาลในเลือดและอายุ ค่าดัชนีมวลกาย ความดันโลหิตขณะหัวใจบีบตัวและคลายตัว ความยาวเส้นรอบเอว มีความสัมพันธ์เชิงบวกอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-0.001) และพบว่า มีความสัมพันธ์ในระดับสูง (r=0.78, r=0.91, r=0.70, r=0.81, r=0.80 ตามลำดับ) ส่วนระดับน้ำตาลในเลือดกับระยะเวลาของการเป็นโรคเบาหวานและระดับกิจกรรมทางกาย มีความสัมพันธ์อยู่ในระดับต่ำ (r=0.19, r=0.26 ตามลำดับ) อย่างไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ (p=0.196,p=0.073 ตามลำดับ) สรุปผลการศึกษา: ระดับน้ำตาลในเลือดกับอายุ ค่าดัชนีมวลกาย ความดันโลหิต ความยาวของเส้นรอบเอวมีความสัมพันธ์เชิงบวกอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ส่วนระยะเวลาของการเป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 และระดับกิจกรรมทางกายมีความสัมพันธ์อยู่ในระดับต่ำ เนื่องจากผู้สูงอายุมีการดูแลตนเองที่น้อยลง และกลัวการเคลื่อนไหว ผู้สูงอายุจึงขาดการทำกิจกรรมทางกาย น้ำตาลในเลือดจึงสูงในผู้ป่วยที่มีระยะเวลาของการเป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 มานาน ดังนั้นผู้สูงอายุที่เป็นโรคเบาหวานผิดที่ 2 ควรใจการดูแลตัวเองและออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
- Itemความสัมพันธ์ระหว่างองค์ประกอบของร่างกายระดับน้ำตาลในเลือดกับค่าสมรรถภาพปอดในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่สอง(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2016) ชญากาณฑ์ จำอินทร์; เสาวลักษณ์ แก้วหมื่นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 เกิดจากการสูญเสียหน้าที่ของ β-cells ของตับอ่อน ที่พยายามผลิตอินซูลินให้เพียงพอกับความต้องการของร่างกายเพื่อทดแทนการดื้อต่ออินซูลินของเนื้อเยื่อต่างๆ ภาวะการดื้อต่ออินซูลินยังมีความสัมพันธ์กับไขมันในช่องท้อง ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะมีรูปร่างอ้วน มีไขมันสะสมในส่วนต่างๆ ของร่างกาย ทำให้เกิดพยาธิสภาพของหลอดเลือด โดยจะส่งผลให้ผนังหลอดเลือดหนาตัวขึ้น รวมถึงหลอดขนาดเล็กภายในปอด ระดับน้ำตาลในเลือดที่สูงจะทำให้เกิดการเสื่อมและการอักเสบของผนังหลอดเลือด และเนื้อเยื่อปอดหนาตัว ซึ่งความผิดปกติที่เกิดขึ้นบริเวณเส้นเลือดในปอดและเนื้อเยื่อปอดนี้ จึงเป็นสาเหตุหลักที่ขัดขวางการแลกเปลี่ยนก๊าชภายในปอดส่งผลให้สมรรถภาพปอดผิดปกติตามมา การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาค่าสมรรถภาพปอดในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 และหาความสัมพันธ์ของสมรรถภาพปอดกับองค์ประกอบของร่างกาย และระดับน้ำตาลในเลือด โดยทำการศึกษาในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ที่มีอายุมากกว่าหรือเท่ากับ 40 ปี จำนวน 28 คน ทำการบันทึกข้อมูลสุขภาพเบื้องต้น ได้แก่ อายุ น้ำหนัก ส่วนสูง ดัชนีมวลกาย (BMI) เส้นรอบวงเอว และรอบสะโพก เปอร์เซ็นต์ไขมันในร่างกาย ระดับน้ำตาลในเลือด และระยะเวลาในการเป็นโรคเบาหวาน ประเมินสมรรถภาพปอดโดยใช้เครื่องสไปโรมิเตอร์ ผลการศึกษาพบว่า ผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 มีสมรรถภาพปอดลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ เมื่อเปรียบเทียบกับค่าคาดคะเน โดยเฉพาะค่า FVC, FEV1 และ PEF และด่า FVC มีความสัมพันธ์เชิงบวกกับสัดส่วนรอบเอวต่อรอบสะโพก ระดับน้ำตาลในเลือดและระยะเวลาในการเป็นโรคเบาหวานไม่มีความสัมพันธ์กับค่าสมรรถภาพปอด ผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 มีสมรรถภาพปอดที่ลดลงแบบปอดถูกจำกัด (restrictive lung) ) ระยะเวลาในการเป็นโรคเบาหวานที่ยาวนาน ส่งผลให้มีการสะสมไขมันในช่องท้อง ทำให้สัดส่วนรอบเอวต่อรอบสะโพกเพิ่มขึ้น ผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 จึงมีลักษณะอ้วนลงพุง