ผลของโปรแกรมการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการดูแลอนามัยช่องปาก โดยประยุกต์ใช้ทฤษฎีการรับรู้ความสามารถของตนเองในผู้สูงอายุที่ป่วยเป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 โรงพยาบาลเสริมงาม จังหวัดลำปาง
Loading...
Date
2022
Authors
Journal Title
Journal ISSN
Volume Title
Publisher
มหาวิทยาลัยพะเยา
Abstract
การวิจัยครั้งนี้เป็นการศึกษากึ่งทดลองมีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาประสิทธิผลของโปรแกรมปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการดูแลอนามัยช่องปากในผู้สูงอายุที่ป่วยเป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 โรงพยาบาลเสริมงาม จังหวัดลำปาง แบ่งการศึกษาออกเป็นกลุ่มศึกษา และกลุ่มเปรียบเทียบ กลุ่มละ 31 คน ซึ่งมาจากการสุ่มแบบหลายขั้นตอน ทำการวัดผลก่อนการเข้าร่วม หลังการเข้าร่วม และระยะติดตามผลของโปรแกรม โดยกลุ่มศึกษาเข้าร่วมโปรแกรมปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการดูแลอนามัยช่องปาก โดยใช้หลักการสร้างการรับรู้ความสามารถของตนเองร่วมกับความรอบรู้ด้านสุขภาพขั้นพื้นฐาน ใช้ระยะเวลา 10 สัปดาห์ เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม วิเคราะห์ด้วยการแจกแจงความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน Independent T-test, One-way ANOVA และ Repeated measure ANOVA กำหนดระดับนัยสำคัญ < 0.05 ผลการศึกษาพบว่า ภายหลังที่ได้เข้าร่วมกิจกรรมตามโปรแกรมที่พัฒนาขึ้น กลุ่มศึกษามีคะแนนเฉลี่ยความรอบรู้ด้านสุขภาพขั้นพื้นฐาน เรื่องการดูแลอนามัยช่องปากสูงขึ้น (F = 66.682, p < 0.001) การรับรู้ความสามารถแห่งตนต่อการป้องกันโรคสูงขึ้น (F = 7.16, p-value < 0.001) ความคาดหวังในผลที่เกิดจากการปฏิบัติตัวในการป้องกันโรคสูงขึ้น (F = 4.235, p-value < 0.001) และพฤติกรรมการดูแลอนามัยช่องปากสูงขึ้น (F = 71.280, p-value < 0.001) มากกว่าก่อนเข้าร่วมโปรแกรม และมากกว่ากลุ่มเปรียบเทียบอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ในขณะที่ค่าเฉลี่ยคราบจุลินทรีย์น้อยลงกว่าก่อนเข้าร่วม และน้อยลงกว่ากลุ่มเปรียบเทียบ (F = 127.796, p-value < 0.001) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ จึงแสดงให้เห็นว่าโปรแกรมการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการดูแลอนามัยช่องปากนี้ สามารถประยุกต์ใช้กับกลุ่มที่มีลักษณะทางประชากรคล้ายคลึงกัน เพื่อส่งเสริมพฤติกรรมสุขภาพของผู้สูงอายุให้มีความมั่นใจในตนเอง มีความสามารถที่จะกำหนดพฤติกรรมที่เหมาะสมกับตนเองได้ และเกิดพฤติกรรมการดูแลอนามัยช่องปากที่ดีขึ้นต่อไป
Description
A quasi-experimental research was conducted to identify the effectiveness of oral hygiene care behavioral modification program by applying self-efficacy theory among older person with type 2 diabetes mellitus SoemNgam hospital, Lampang province. This research was study groups and comparison groups each 31 participants from multi-stage random sampling which take measurements before intervention, and after follow-up period of the program. The study group participated an application from the theory of self-efficacy together with functional health literacy for 10 weeks. Data were collected by using a questionnaire, and analyzed by frequency distribution, percentage, mean scores, standard deviation, and inferential statistics, independent T-test, One-way ANOVA and Repeated measure ANOVA determination the significance level p-value < 0.05. The results revealed that after the experiment, the study group had the mean score in functional health literacy on oral hygiene care (F = 66.682, p-value < 0.001), self-efficacy for prevention (F = 7.16, p-value < 0.001), outcome expectancies (F = 4.235, p-value < 0.001), oral hygiene care behavioral (F = 71.280, p-value < 0.001) was significantly higher than before participating and more than the comparison group. Whereas plaque control mean scores was significantly less than before participating and lower than the comparison group (F = 127.796, p-value < 0.001) in the experiment. The oral hygiene behavior modification program showed it can be applied to groups with similar demographic characteristics for promoting health behaviors in older persons to have self-confidence, have the ability to determine behaviors that are appropriate for themselves and improve oral hygiene behaviors.
Keywords
โปรแกรมการดูแลทันตสุขภาพ, ความรอบรู้ด้านสุขภาพ, การรับรู้ความสามารถแห่งตน, ผู้สูงอายุ, โรคเบาหวานชนิดที่ 2, Oral health care program, Health literacy, Self-efficacy, Older person, Type 2 diabetes melitus