ผลของการประยุกต์ใช้ทฤษฎีแรงจูงใจเพื่อป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ของผู้สูงอายุที่ยังไม่ได้รับวัคซีน อำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่

dc.contributor.authorสิริจิตต์ วชิราวงศ์
dc.date.accessioned2024-05-01T06:44:47Z
dc.date.available2024-05-01T06:44:47Z
dc.date.issued2022
dc.descriptionThe Coronavirus Disease 2019 or COVID-19 pandemic was impacted on the lives of people, especially the elderly who are at high risk of Covid-19 infection. This research were 2 parts. This research aimed to study effects of protection motivation theory for prevention Coronavirus Disease 2019 of unvaccinated elderly at Sankamphaeng District, Chiang Mai Province. Part 1 of the research focuses on knowledge, attitude, preventative behaviors of Coronavirus Disease 2019. The simple random sampling of 374 people. The first set of 374 questionnaires had been used to collect data. The data were analyzed by descriptive statistics as mean percentage standard division and Part 2 is Quasi-experimental research by one group pretest-posttest design. Specifically, 30 people with the lowest mean result from Part 1 were selected for the COVID-19 prevention incentive program by using the second questionnaires. The results showed that the samples were males with similar proportions as females. (50.30 and 49.70 percent), aged group between 60-69 years (36.10 percent), and Buddhist (97.10 percent), graduated from primary school (58.00 percent), had a congenital disease (62.80 percent) and they didn't require vaccination for COVID-19 prevention (73.3 percent). The average scores of knowledge and attitude were moderate, preventive behaviors were high (= 9.05, S.D. = 2.57, = 3.25, S.D. = 0.55 and = 3.15, S.D. = 0.53 respectively). Part 2 shows that the samples were males with similar proportions as females. (53.30 and 46.70 percent), aged group between 70-79 years (43.70 percent), and Buddhist (100.00 percent), Mostly not studied (66.70 percent) and follow by graduated from primary school (33.30 percent), had a congenital disease (56.70 percent), they didn't need vaccination for preventive COVID-19 (50.00 percent) and the samples had average scores of protective motivation and preventative behaviors of Coronavirus Disease 2019 were significantly higher than before at 0.05 significant level. COVID-19 has a higher level of motivation for disease prevention and prevention behavior. It will assist produce more appropriate and effective disease prevention behaviors. If it is promoted to with both family members and communities.
dc.description.abstractสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด 19 อย่างต่อเนื่องส่งผลกระทบเป็นวงกว้างต่อการดำรงชีวิตของประชาชน โดยเฉพาะผู้สูงอายุซึ่งเป็นกลุ่มวัยที่มีความเสี่ยงสูงต่อการติดเชื้อโควิด 19 การวิจัยครั้งนี้แบ่งเป็นสองตอน มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมการสร้างแรงจูงใจ เพื่อป้องกันโรคโควิด 19 จากการประยุกต์ใช้ทฤษฎีแรงจูงใจ เพื่อป้องกันโรคของผู้สูงอายุที่ยังไม่ได้รับวัคซีนป้องกัน โรคโควิด 19 อำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่ โดยตอนที่ 1 เป็นการวิจัยเชิงสำรวจ (Survey Research) เพื่อศึกษา ความรู้ ทัศนคติ พฤติกรรมการป้องกันโรคโควิด 19 สุ่มตัวอย่างแบบง่าย เก็บข้อมูลด้วยแบบสอบถามชุดที่ 1 จำนวน 374 ชุด วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติพรรณนา ค่าเฉลี่ย ร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ส่วนตอนที่ 2 การวิจัยแบบกึ่งทดลอง (Quasi-Experimental Research) ใช้กลุ่มตัวอย่างแบบกลุ่มเดียวเปรียบเทียบก่อนและหลังการทดลอง (One Group Pretest-Posttest Design) คัดเลือกกลุ่มตัวอย่างที่มีคะแนนเฉลี่ยต่ำที่สุดแบบเฉพาะเจาะจงจากตอนที่ 1 จำนวน 30 คน ในการเข้ารับโปรแกรมการสร้างแรงจูงใจเพื่อป้องกันโรคโดวิด 19 โดยเก็บข้อมูล ด้วยแบบสอบถามชุดที่ 2 ผลการวิจัยพบว่า ตอนที่ 1 กลุ่มตัวอย่างเป็นเพศชายมีสัดส่วนใกล้เคียงกับเพศหญิง อายุอยู่ในช่วง 60-69 ปี (ร้อยละ 36.10) นับถือศาสนาพุทธ (ร้อยละ 97.10) จบการศึกษาระดับชั้นประถมศึกษา (ร้อยละ 58.00) มีโรคประจำตัว (ร้อยละ 62.80) และไม่มีความต้องการรับวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 (ร้อยละ 73.3) ค่าเฉลี่ยคะแนนความรู้และทัศนคติอยู่ในระดับปานกลาง (= 9.05, S.D. = 2.57 และ = 3.25, S.D. = 0.55 ตามลำดับ) ส่วนพฤติกรรมการป้องกันโรคโควิด 19 อยู่ในระดับสูง (= 3.15, S.D. = 0.53) ในตอนที่ 2 พบว่า กลุ่มตัวอย่างเป็นเพศชายมีสัดส่วนใกล้เคียงกับเพศหญิง อายุส่วนใหญ่อยู่ในช่วง 70-79 ปี (ร้อยละ 43.70) ทั้งหมดนับถือศาสนาพุทธ ไม่ได้ศึกษาเป็นส่วนใหญ่ (ร้อยละ 66.70) รองลงมา คือ จบการศึกษาระดับชั้นประถมศึกษา (ร้อยละ 33.30) กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่มีโรคประจำตัว (ร้อยละ 56.70) มีความต้องการ และไม่มีความต้องการรับวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 ในสัดส่วนที่เท่ากัน (ร้อยละ 50.00) ด้านแรงจูงใจเพื่อป้องกันโรคและพฤติกรรมการป้องกันโรคโควิด 19 ก่อนและหลังได้รับโปรแกรมการสร้างแรงจูงใจเพื่อป้องกันโรคโควิด 19 มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ซึ่งระดับแรงจูงใจเพื่อป้องกันโรค และพฤติกรรมการป้องกันโรคโควิด 19 อยู่ในระดับที่ดีขึ้น หากได้รับการส่งเสริมกับบุคคลทั้งในครอบครัว และชุมชนจะช่วยให้เกิดพฤติกรรมการป้องกันโรคที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
dc.description.sponsorshipมหาวิทยาลัยพะเยา
dc.identifier.urihttps://updc.up.ac.th/handle/123456789/459
dc.language.isoother
dc.publisherมหาวิทยาลัยพะเยา
dc.subjectทฤษฎีแรงจูงใจ
dc.subjectโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019
dc.subjectผู้สูงอายุ
dc.subjectProtection Motivation Theory
dc.subjectCoronavirus Disease 2019
dc.subjectElderly
dc.titleผลของการประยุกต์ใช้ทฤษฎีแรงจูงใจเพื่อป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ของผู้สูงอายุที่ยังไม่ได้รับวัคซีน อำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่
dc.title.alternativeEffects of Protection Motivation Theory for Prevention Coronavirus Disease 2019 Of Unvaccinated Elderly at Sankamphaeng District, Chiang Mai Province
dc.typeThesis
Files
Original bundle
Now showing 1 - 1 of 1
Loading...
Thumbnail Image
Name:
Sirijit Wachirawong.pdf
Size:
2.26 MB
Format:
Adobe Portable Document Format
Description:
License bundle
Now showing 1 - 1 of 1
Loading...
Thumbnail Image
Name:
license.txt
Size:
1.71 KB
Format:
Item-specific license agreed to upon submission
Description: