งานวิจัย (Research)
Permanent URI for this community
Browse
Browsing งานวิจัย (Research) by Title
Now showing 1 - 20 of 54
Results Per Page
Sort Options
- Itemการประยุกต์ใช้ QR Code Google form และ Google Calendar ในการบริหารจัดการระบบจองห้องเรียน(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2021) ณัฎฐนิช พยนต์ยิ้ม; ลักษิกา สว่างยิ่ง; ปภาอร เขียวสีมาการวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ เพื่อพัฒนาระบบจองห้องโดยประยุกต์ใช้ QR Code จาก Google form และ Google Calendar โดยประเมินความพึงพอใจโดยรวมของผู้ใช้งานระบบการจองห้องด้วย QR Code Google form ร่วมกับ Google Calendar และ เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างความพึงพอใจของผู้ใช้งานระบบก่อนการพัฒนาระบบ กับความพึงพอใจของผู้ใช้งานระบบหลังการพัฒนาระบบ โดยการสร้างระบบการจองห้อง และการตรวจสอบสถานะห้อง และสำรวจความพึงพอใจจากบุคลากรและนิสิตคณะทันตแพทยศาสตร์ เครื่องมือที่ใช้ในการรวบรวมข้อมูล คือ แบบสอบถามประมาณค่า 5 ระดับ นำเสนอข้อมูลด้วยค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน เปรียบเทียบค่าเฉลี่ยด้วยสถิติ Paired T-test ผลการวิจัยพบว่า QR Code Google form และ Google Calendar สามารถนำมาประยุกต์ใช้พัฒนาระบบได้เป็นอย่างดี จากการประเมินความพึงพอใจของผู้ใช้งานระบบ จำนวน 108 คน พบว่า ระบบ QR Code Google form มีความพึงพอใจโดยรวมอยู่ที่ 4.43 และระบบ Google Calendar มีความพึงพอใจโดยรวมอยู่ที่ 4.36 ซึ่งอยู่ในระดับดี เมื่อเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยด้วยสถิติ Paired T-test ความพึงพอใจของผู้ใช้งานระบบ QR Code Google form ร่วมกับ Google Calendar หลังการพัฒนาระบบมากกว่าก่อนการพัฒนาระบบ และเมื่อวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างความพึงพอใจของผู้ใช้งานระบบก่อนการพัฒนาระบบ กับความพึงพอใจของผู้ใช้งานระบบหลัง จากผลการวิจัยสรุปได้ว่า การประยุกต์ใช้ระบบ ระบบ QR Code Google form ร่วมกับ Google Calendar ในการบริหารจัดการระบบการจองห้องคณะทันตแพทยศาสตร์ มีความรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น สามารถลดขั้นตอนและเวลาในการจองห้อง ระบบมีความเป็นปัจจุบันทันสมัย ช่วยประหยัดเวลา และแบ่งเบาภาระของเจ้าหน้าที่ได้เป็นอย่างดี
- Itemการประเมินความเสี่ยงด้านการจัดการระบบสารเคมีของห้องปฏิบัติการชีวเคมีตามมาตรฐานความปลอดภัย ESPReL คณะวิทยาศาสตร์การแพทย์ มหาวิทยาลัยพะเยา(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2022) ปิยะวรรณ นันตาบุญการศึกษานี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อสำรวจและประเมินความเสี่ยงด้านการจัดการระบบสารเคมีในห้องปฏิบัติการชีวเคมี ในการดำเนินการวิจัยนี้ได้ใช้ ESPReL Checklist ในองค์ประกอบที่ 2 ระบบการจัดการสารเคมี เป็นเครื่องมือในการสำรวจและทำการประเมินความเสี่ยง โดยพิจารณาถึงโอกาสและความรุนแรงในเหตุการณ์ต่าง ๆ โดยใช้เกณฑ์การประเมินความเสี่ยงตามแนวปฏิบัติเพื่อความปลอดภัยทางชีวภาพของศูนย์บริหารความปลอดภัยอาชีวอนามัยและสิ่งแวดล้อม (COSHEM) มหาวิทยาลัยมหิดล จากการศึกษาพบว่า การจัดการสารเคมีของห้องปฏิบัติการชีวเคมี ไม่มีความเสี่ยงในด้านการจัดการข้อมูลสารเคมี ส่วนด้านการจัดเก็บสารเคมี และการเคลื่อนย้ายสารเคมีภายในห้องปฏิบัติการ มีผลการประเมินความเสี่ยงต่ำซึ่งมีผลต่อสุขภาพเล็กน้อยโดยไม่จำเป็นต้องรักษาและไม่มีผลต่อการปฏิบัติงาน ส่วนการเคลื่อนย้ายสารเคมีภายนอกห้องปฏิบัติการ พบว่า มีความเสี่ยงปานกลาง มีผลต่อสุขภาพปานกลางที่สามารถหายได้ อาจมีผลกระทบจากการสัมผัสในลักษณะซ้ำ ๆ หรือเป็นระยะเวลานาน โดยไม่มีอันตรายถึงชีวิต ซึ่งจะต้องมีการสร้างมาตรการป้องกันความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้น และจัดทำแผนความเสี่ยงในขั้นตอนต่อไป
- Itemการประเมินปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการขนส่งมวลชนในมหาวิทยาลัยพะเยา(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2018) เทวา หมื่นจันทร์การศึกษาในครั้งนี้ เป็นการประเมินปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก จากระบบขนส่งมวลชน ในมหาวิทยาลัยพะเยา ใช้วิธีการคำนวณและค่าสัมประสิทธิ์การปล่อยก๊าซเรือนกระจก ตามคำแนะนำของคู่มือการจัดทำบัญชีการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ของคณะกรรมาธิการระหว่างประเทศ ว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ปี 2006 (Revised 2006 IPCC Guidelines for National Greenhouse Gas Inventories) โดยมีรถโดยสารทั้งหมด 40 คัน ทั้งหมดเป็นเครื่องยนต์ที่ใช้ก๊าซธรรมชาติ (NGV) เป็นเชื้อเพลิงเพียงอย่างเดียว โดยประเมินก๊าซเรือนกระจกหลักที่สำคัญ 3 ชนิด ได้แก่ ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ก๊าซมีเทน (CH4) และก๊าซไนรตรัสออกไซด์ (N2O) ผลการศึกษาปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากระบบขนส่งมวลชน ในมหาวิทยาลัยพะเยา ปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 ที่ใช้เชื้อเพลิง NGV จะปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งหมด 1,579.48 tCO2eq/ปี เมื่อเปรียบเทียบตามอัตราส่วนการสิ้นเปลืองกับเชื้อเพลิงน้ำมันดีเซล ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงที่นิยมใช้ในการขนส่งมวลชนโดยทั่วไปแล้ว การใช้เชื้อเพลิงจากน้ำมันดีเซลจะทำให้เกิดปริมาณก๊าซเรือนกระจกทั้งหมด 1,605.24 tCO2eq/ปี เพราะฉะนั้นการขนส่งมวลชนในมหาวิทยาลัยพะเยาในปีงบประมาณ 2560 จึงสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ 25.77 tCO2eq นอกจากนี้ จากการศึกษาการปล่อยมลพิษของการขนส่งมวลชนในมหาวิทยาลัยพะเยา โดยประเมินจากมลพิษหลัก 4 ชนิด พบว่า มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ (CO) 1,857.66 Kg/ปี ก๊าซไฮโดรคาร์บอน (HC) 3,096.10 Kg/ปี ออกไซด์ของไนโตรเจน (NOx) 8,669.07 Kg/ปี และเกิดฝุ่นละออง (PM) 123.84 Kg/ปี เมื่อเปรียบเทียบตามอัตราส่วนการสิ้นเปลืองกับเชื้อเพลิงน้ำมันดีเซล พบว่า การใช้ก๊าซธรรมชาติ (NGV) มีการปล่อยมลพิษที่น้อยกว่าการใช้เชื้อเพลิงน้ำมันดีเซล โดยคิดเป็นปริมาณดังนี้ การปล่อยก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ (CO) น้อยกว่า 8.33 เท่า ก๊าซไฮโดรคาร์บอน (HC) น้อยกว่า 1.40 เท่า ออกไซด์ของไนโตรเจน (NOx) น้อยกว่า 3.71 เท่า และเกิดฝุ่นละออง(PM) น้อยกว่า 11.00 เท่า
- Itemการประเมินผลโครงการในแผนปฏิบัติการประจำปี 2563 คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยพะเยา(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2021) ดวงใจ ใจกล้าการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาถึงจำนวนโครงการที่สามารถนำไปใช้จริงในการปฏิบัติงาน อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อเสนอแนวทางในการพัฒนาโครงการตามแผนการปฏิบัติงานประจำปี และเพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างโครงการที่ดำเนินการแล้วเสร็จ กับแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาคณะทันตแพทยศาสตร์ เครื่องมือที่ใช้ในการรวบรวมข้อมูล คือ แบบสอบถามประมาณค่า 5 ระดับ การวิเคราะห์ข้อมูลและวิธีทางสถิติที่ใช้ ได้แก่ ร้อยละ (Percentage) ค่าเฉลี่ย (Mean) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน (Pearson Product Moment Correlation Coefficient) และใช้สถิติ Student T-test เปรียบเทียบความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญระหว่างกลุ่ม ผลการวิจัยพบว่า ความคิดเห็นของบุคลากรคณะทันตแพทยศาสตร์ ต่อการประเมินผลโครงการที่ดำเนินการแล้วเสร็จในปี 2563 มีความคิดเห็นอยู่ในระดับดีในทุก ๆ ด้าน โดยค่าเฉลี่ยรวมของทุกโครงการเท่ากับ 4.02 และเมื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างโครงการที่ดำเนินการแล้วเสร็จในปี 2563 กับแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาคณะ พบว่า มีความสัมพันธ์กันในระดับสูงทุกโครงการที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ 0.05 จากผลการวิจัยสรุปได้ว่า โครงการตามแผนปฏิบัติงานปี 2563 สามารถดำเนินการต่อได้ในปีต่อไปทั้ง 11 โครงการได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- Itemการผลิตสไลด์ถาวรของตัวอย่างโปรโตซัวเพื่อใช้เป็นสื่อการเรียนการสอน(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2021) วาสนา เมืองวงค์; ช่อผกา พวงศรีงานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาหาสภาวะที่เหมาะสมในการทำสไลด์ถาวรของตัวอย่างเชื้อโปรโตซัว Giardia /amblia ระยะ cyst ที่ได้จากโครงการออกตรวจพยาธิ เก็บรักษาสภาพเชื้อไว้ในน้ำยา 10% formain นำมาปรับปริมาณเชื้อเริ่มต้นเท่ากับ 105 cel/m/ ในการหาสภาวะที่เหมาะสมการทำสไลด์ถาวร จากผลการศึกษาพบว่า สภาวะที่เหมาะสมในการทำสไลด์ถาวร คือ การใช้เจลาตินต่อกลีเซอรอล ในอัตราส่วน 90:10 ในการช่วยให้เชื้อเกาะติดสไลด์ และทำการ fixation ด้วย 70% Alcoho จากนั้นทำการย้อมด้วยสี Trichrome ที่มีการปรับปรุงจากสูตร Wheatley 's modification โดยปรับความเข้มข้นของสี ight green เป็นร้อยละ 0.45 ระยะเวลาในการย้อม 15 นาที และล้างสีออกจากเซลล์ด้วย 70% alcohol ที่ผสม acetic เป็นเวลา 1 นาที และดึงน้ำด้วย 70% alcohol, 80% alcohol, 90% alcohol และ absolute alcohol ตามลำดับ จากการศึกษาสภาวะที่เหมาะสมที่ได้กล่าวมาข้างต้นจะทำให้สามารถผลิตสื่อสไลด์ถาวร เพื่อใช้ในการเรียนการสอนภาคปฏิบัติการในรายวิชาที่เกี่ยวข้องกับปรสิตวิทยาต่อไป ดังนั้นงานวิจัยชิ้นนี้จึงมีประโยชน์ในแง่ของการนำเชื้อที่เหลือใช้ จากโครงการบริการวิชาการมาใช้ในการเตรียมสไลด์ถาวร ซึ่งเป็นสื่อการเรียนการสอนชนิดหนึ่ง ส่งผลให้ลดรายจ่ายในการซื้อสไลด์ถาวรและเป็นการใช้สิ่งเหลือใช้ให้เกิดประโยชน์
- Itemการพัฒนากิจกรรมการอบรมโดยใช้ทฤษฎีกลุ่มพฤติกรรมนิยมเพื่อพัฒนาทักษะการให้คำปรึกษาของอาจารย์ที่ปรึกษาและบุคลากร มหาวิทยาลัยพะเยา(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2024) ธัญญ์พิชฌา สิงห์สถิตย์; วุฒิชัย ไชรินคำ; กฤษฎา สารทอง; อรทัย เกตุขาวการให้ความช่วยเหลือผู้เรียนเป็นภารกิจสำคัญของอาจารย์ที่ปรึกษาอีกประการหนึ่ง เนื่องจากผู้เรียนอาจประสบปัญหาต่าง ๆ ในชีวิตหลายด้าน เช่น ปัญหาครอบครัว ปัญหาการเรียน ปัญหาเรื่องเพื่อน เป็นต้น ด้วยประสบการณ์ของผู้เรียนที่ยังไม่มากพอจึงไม่สามารถจัดการหรือแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นกับตนเองได้อย่างเหมาะสม ผู้เรียนจึงอาจจะต้องมีการขอความช่วยเหลือหรือคำแนะนำจากอาจารย์ หรือบุคลากรที่ไว้วางใจ และเชื่อมั่นว่าจะสามารถช่วยเหลือตนในการแก้ปัญหานั้น ๆ ได้ แต่การให้การปรึกษาที่ดีและมีประสิทธิภาพนั้น จำเป็นจะต้องอาศัยหลักการทางจิตวิทยาในการให้การปรึกษา การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อเปรียบเทียบความรู้และทักษะการให้คำปรึกษาของอาจารย์ที่ปรึกษา มหาวิทยาลัยพะเยา ก่อนและหลังอบรม โดยใช้กิจกรรมอบรมโดยใช้ทฤษฎีกลุ่มพฤติกรรมนิยมการวิจัยเชิงทดลอง กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ อาจารย์ที่ปรึกษาและบุคลากรสายสนับสนุน มหาวิทยาลัยพะเยา ใช้วิธีการสุ่มแบบเจาะจง (Purposive sampling) 40 คน เข้าร่วมโปรแกรมอบรมโดยใช้ทฤษฎีกลุ่มพฤติกรรมนิยม เพื่อพัฒนาทักษะการให้คำปรึกษาของอาจารย์ที่ปรึกษาและบุคลากร มหาวิทยาลัยพะเยา เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลประกอบด้วย แบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคล แบบวัดความรู้การให้คำปรึกษาเบื้องต้น แบบวัดทักษะการให้คำปรึกษาเบื้องต้น โดยใช้แบบสถิติเชิงพรรณนาและการวิเคราะห์ independent t-test ด้วยโปรแกรมสำเร็จรูป ผลการศึกษาพบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง 28 คน (70) มีอายุอยู่ช่วงระหว่าง 31 – 40 ปี จำนวน 21 คน (52.5) สถานภาพโสด จำนวน 23 คน (57.5) ส่วนใหญ่ด้านการศึกษาจบปริญญาโท จำนวน 24 คน (60) สังกัดกลุ่มคณะส่วนใหญ่มาจากกลุ่มวิทยาศาสตร์สุขภาพ จำนวน 20 คน (50) เมื่อทดสอบเปรียบเทียบก่อนและหลังการอบรม เรื่อง ความรู้การให้คำปรึกษาเบื้องต้น พบว่า มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05 (P = .000) และเมื่อทดสอบเปรียบเทียบก่อนและหลังการอบรม เรื่อง ทักษะการให้คำปรึกษาเบื้องต้น พบว่า มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05 (P = .000) สรุปผลที่ได้จากการศึกษาครั้งนี้ สามารถนำไปใช้เป็นข้อมูลพื้นฐานในการจัดโปรแกรมเทคนิคการให้คำปรึกษา เพื่อให้อาจารย์ที่ปรึกษาและบุคลากร มหาวิทยาลัยพะเยามีทักษะการให้คำปรึกษา สำหรับให้คำปรึกษาปัญหาด้านสุขภาพจิตกับนิสิต และให้นิสิตที่มารับคำปรึกษาสามารถดำเนินชีวิตได้อย่างปกติสุข ซึ่งสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ด้านการเรียนการสอนและพัฒนานิสิต ที่เน้นให้นิสิตอยู่และเรียนอย่างมีความสุข ป้องกันการเกิดปัญหาสุขภาพจิตต่อไป
- Itemการพัฒนากิจกรรมเสริมหลักสูตรเพื่อเสริมสร้างจิตสาธารณะโดยใช้ชุมชนเป็นฐาน(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2024) กิติยา เขียวงามงานวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อพัฒนากิจกรรมเสริมหลักสูตรเพื่อเสริมสร้างจิตสาธารณะโดยใช้ชุมชนเป็นฐานอาสาสมัครนิสิตระดับปริญญาตรี ที่กำลังศึกษาระหว่างปีการศึกษา 2566-2567 ณ มหาวิทยาลัยพะเยา จำนวน 136 คน อายุเฉลี่ย 19.72 ± 1.34 ปี (18-22 ปี) เพศชาย 45 คน เพศหญิง 91 คน ถูกแบ่งเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มละ 68 คน กลุ่มแรกเป็นกลุ่มทดลอง เข้าร่วมกิจกรรมเสริมหลักสูตรเพื่อเสริมสร้างจิตสาธารณะโดยใช้ชุมชนเป็นฐานที่ผู้วิจัยได้พัฒนา จำนวน 3 กิจกรรม และกลุ่มที่สองเป็นกลุ่มควบคุม ประเมินระดับจิตสาธารณะก่อนและหลังทดลองด้วยแบบวัดจิตสาธารณะ ซึ่งมี 5 องค์ประกอบ รวมจำนวน 45 ข้อ ผลการศึกษาพบว่า กลุ่มทดลองมีคะแนนจิตสาธารณะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติภายหลังการทดลอง (p < 0.001) โดยมีจิตสาธารณะโดยรวมอยู่ในระดับมาก สำหรับกลุ่มควบคุม พบว่า ไม่มีความแตกต่างของคะแนนจิตสาธารณะระหว่างก่อนและหลังทดลองในทุกองค์ประกอบ สรุปได้ว่า กิจกรรมเสริมหลักสูตรเพื่อเสริมสร้างจิตสาธารณะโดยใช้ชุมชนเป็นฐานที่ผู้วิจัยได้พัฒนาขึ้นมาในครั้งนี้สามารถเสริมสร้างจิตสาธารณะให้กับนิสิตได้
- Itemการพัฒนาชุดการเรียนรู้เพื่อการศึกษาคุณสมบัติการไหลของผงยา(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2024) อิทธิฤทธิ์ มูลเมืองในการวิจัยการพัฒนาชุดการเรียนรู้ เพื่อการศึกษาคุณสมบัติการไหลของผงยา (Development of education sets for the flowability study of medicinal powders) นี้ ได้ชุดการเรียนรู้ 2 ชุด คือ ชุดการเรียนรู้เคาะกระบอกตวง 3 ครั้ง (3-tap method) และชุดนวัตกรรมการเรียนรู้การไหล (flowability) ของผงยา ชุดการเรียนรู้เคาะกระบอกตวง 3 ครั้ง (3-tap method) เป็นชุดทดลองศึกษาความหนาแน่นของผงยาเมื่อนำมาใช้งานจริง ช่วยให้นิสิตมีความสะดวกในการใช้งาน และช่วยให้ความเสี่ยงในการทำกระบอกตวง ซึ่งเป็นอุปกรณ์ในการทดลองซึ่งมีราคาแพง ซึ่งเมื่อนำมาใช้งานแล้วช่วยให้การแตกเสียหาย ลดน้อยลงไปมาก หรือแทบไม่มีการแตกเสียหายเลย เมื่อเทียบกับวิธีการเดิม ชุดนวัตกรรมการเรียนรู้การไหล (flowability) ของผงยา เป็นการทดลองอีกชุดที่ศึกษาคุณสมบัติการไหลของผงยา จากการใช้งานจริง พบว่า มีความสะดวกในการใช้งาน มีความรวดเร็วในการประกอบชุดอุปกรณ์การศึกษาการไหล ประหยัดเวลาเมื่อเทียบกับชุดการทดลองเดิมมาก เมื่อนำชุดการเรียนรู้ทั้ง 2 ชุดไปใช้งาน พร้อมทั้งประเมินผล พบว่า มีความพึงพอใจอยู่ในระดับดีมาก ที่ค่าเฉลี่ย 4.88 ± 0.32 ของชุดการเรียนรู้เคาะกระบอกตวง 3 ครั้ง (3-tap method) และมีค่าเฉลี่ย 4.89 ± 0.30 ในชุดนวัตกรรมการเรียนรู้การไหล (flowability) ของผงยา ชุดการเรียนรู้เคาะกระบอกตวง 3 ครั้ง (3-tap method) และชุดนวัตกรรมการเรียนรู้การไหล (flowability) ของผงยามีคะแนนการรับรู้การใช้ประโยชน์ต่อการศึกษาคุณสมบัติการไหลของผงยาสูงกว่าอุปกรณ์การเรียนแบบเดิมของแต่ละวิธีอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติเมื่อทดสอบด้วยสถิติ T-test ที่ระดับความเชื่อมั่น α = .05 คะแนนการรับรู้การใช้ประโยชน์ต่อการศึกษาคุณสมบัติการไหลของผงยา ของชุดการเรียนรู้เคาะกระบอกตวง 3 ครั้ง (3-tap method) และอุปกรณ์การเรียนแบบเดิมมีค่าเท่ากับ 4.83 ± 0.30 และ 2.89 ± 0.93 ตามลำดับ คะแนนการรับรู้การใช้ประโยชน์ต่อการศึกษาคุณสมบัติการไหลของผงยาของชุดนวัตกรรมการเรียนรู้การไหล (flowability) ของผงยาและอุปกรณ์การเรียนแบบเดิมมีค่าเท่ากับ 4.55 ± 0.54 และ 2.44 ± 0.94 ตามลำดับ จากผลการประเมินคะแนนดังกล่าวบ่งชี้ว่า ชุดการเรียนรู้ที่พัฒนาขึ้นทั้งสองชุดมีประโยชน์ต่อการเรียนการสอนหัวข้อการคุณสมบัติการไหลของผงยา อย่างมีนัยสำคัญ
- Itemการพัฒนาระบบการกำกับติดตามการดำเนินงาน และการใช้งบประมาณด้วยระบบดิจิทัล(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2024) ลานนา หมื่นจันทร์; พรรณสุกิตต์ ทาทองการวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยและพัฒนา (Research and Development) เพื่อพัฒนาระบบ การกำกับติดตามการดำเนินงาน และการใช้งบประมาณด้วยระบบดิจิทัล โดยแบ่งการวิจัยออกเป็น 3 ระยะ ดังนี้ ระยะที่ 1 การวางแผน การวิเคราะห์ความต้องการ การกำหนดเป้าหมายของเว็บแอปพลิเคชัน และกำหนดฟีเจอร์ที่ต้องการใช้ในเว็บแอปพลิเคชัน ระยะที่ 2 การพัฒนาเว็บแอปพลิเคชันระบบ การกำกับติดตามการดำเนินงาน และการใช้งบประมาณ ระยะที่ 3 การทดสอบประสิทธิภาพและประสิทธิผลการทำงานของฟีเจอร์ต่าง ๆ ของแอปพลิเคชัน ผลการวิจัยพบว่า กลุ่มตัวอย่างสามารถบันทึกความก้าวหน้าของกิจกรรม/โครงการ ทราบงบประมาณที่ใช้ไปและงบประมาณคงเหลือได้อย่างทันท่วงที ซึ่งสามารถนำข้อมูลไปใช้ในการปรับเปลี่ยนแผนการดำเนินโครงการ และสามารถนำไปใช้ในการบริหารจัดการทรัพยากรที่มีอยู่เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
- Itemการพัฒนาระบบการบริหารตรวจสอบครุภัณฑ์ประจำปี กรณีศึกษา คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยพะเยา(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2020) กตัญชลี วันแก้วจากการศึกษาวิจัยเรื่อง การพัฒนาระบบการบริหารตรวจสอบครุภัณฑ์ประจำปี กรณีศึกษา คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยพะเยา เป็นงานวิจัยเชิงปฏิบัติ ซึ่งผู้วิจัยได้ทำการวิเคราะห์ปัญหาของการตรวจสอบครุภัณฑ์ประจำปี โดยใช้ 4 หลักการดังนี้ การวิเคราะห์ลำดับความสำคัญของปัญหาโดยใช้กราฟพาเรโต แผนผังก้างปลา (fish bone diagram) โดยใช้ 5M + 1E หลักการ why why analysis และทฤษฎี ECRS จากผลวิจัยได้เครื่องมือที่มาช่วยในการตรวจสอบครุภัณฑ์ประจำปี โดยมี 3 ระบบ ดังนี้ 1) ระบบ Asset system (ระบบของมหาวิทยาลัยพะเยา) สามารถช่วยแก้ไขปัญหาด้านที่ 1 มีความผิดพลาดของข้อมูลครุภัณฑ์ ซึ่งสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของการวิจัย หากเทียบข้อมูลปัญหาในปีงปม. 62 และปีงปม. 63 ซึ่งสามารถลดระยะเวลาแก้ไขปัญหาลงได้ 17 วัน คิดเป็นร้อยละ 36.17 และปัญหาด้านที่ 3 ไม่มีรูปภาพประกอบการตรวจสอบได้ ซึ่งสามารถลดระยะเวลาแก้ไขปัญหาลงได้ 6 วัน คิดเป็นร้อยละ 28.57 2) ระบบตารางวางแผนการตรวจสอบครุภัณฑ์ล่วงหน้า (ออกแบบใหม่) สามารถช่วยแก้ไขปัญหาด้านที่ 2 ไม่ได้วางแผนในการตรวจสอบ ซึ่งสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของการวิจัยหากเทียบข้อมูลปัญหาในปีงปม. 62 และปีงปม. 63 ซึ่งสามารถลดระยะเวลาแก้ไขปัญหาลงได้ 29 วัน คิดเป็นร้อยละ 59.18 3) ระบบตาราง list เอกสารที่จำเป็นสำหรับการตรวจสอบครุภัณฑ์ประจำปี (ออกแบบใหม่) สามารถช่วยแก้ไขปัญหาด้านที่ 4 เอกสารไม่ครบถ้วน ซึ่งสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของการวิจัย หากเทียบข้อมูลปัญหาในปีงปม. 60 และปีงปม. 63 ซึ่งสามารถลดระยะเวลาแก้ไขปัญหาลงได้ ซึ่งสามารถนำมาลดระยะเวลาการแก้ไขปัญหาของการตรวจสอบครุภัณฑ์ประจำปีลงได้ 6 วัน คิดเป็นร้อยละ 28.57
- Itemการพัฒนาระบบการยืมครุภัณฑ์การศึกษาในห้องปฏิบัติการคณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยพะเยา(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2022) จาตุรนต์ กัณทะธงการวิจัยครั้งนี้เป็นรูปแบบของการศึกษา การวิจัยแบบกึ่งทดลอง (Quasi-experimental study) มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาสภาพและปัญหาการยืมครุภัณฑ์การศึกษาในห้องปฏิบัติการ คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยพะเยา นำมาพัฒนาระบบการยืมครุภัณฑ์การศึกษาในห้องปฏิบัติการ คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยพะเยา โดยการประยุกต์ใช้โปรแกรมสำเร็จรูป และเพื่อเปรียบเทียบประสิทธิผลของการยืมครุภัณฑ์การศึกษารูปแบบเดิมและรูปแบบใหม่ ที่พัฒนาขึ้นของผู้ใช้งานระบบการยืมครุภัณฑ์การศึกษาในห้องปฏิบัติการ คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยพะเยา กลุ่มตัวอย่างที่ศึกษาในครั้งนี้ คือ นิสิตที่ใช้บริการห้องปฏิบัติการวิทยาศาสตร์ สาขาวิชาอาชีวอนามัยและความปลอดภัย ซึ่งเป็นนิสิตหลักสูตรวิทยาศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาอาชีวอนามัยและความปลอดภัย หลักสูตรวิทยาศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาอาชีวอนามัย และความปลอดภัย และหลักสูตรเศรษฐศาสตรบัณฑิต หลักสูตรวิทยาศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาอาชีวอนามัยและความปลอดภัย และหลักสูตรวิศวกรรมศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาวิศวกรรมสิ่งแวดล้อม คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยพะเยา จำนวน 113 ราย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยในครั้งนี้ คือ แบบสอบถามความพึงพอใจ ดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลก่อนและหลัง โดยทำการวิเคราะห์ข้อมูลด้วยโปรแกรมสถิติสำเร็จรูป ด้วยสถิติเชิงพรรณนา คือ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และใช้สถิติ Dependent T-test เมื่อข้อมูลมีการกระจายตัวแบบปกติ ( Normal distribution) หรือใช้สถิติ Wilcoxon Signed Rank Test เมื่อข้อมูลมีการกระจายตัวแบบไม่ปกติ (Non-normal distribution) กำหนดระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ p-Value < 0.05 ผลการศึกษาพบว่า ค่ามัธยฐานความพึงพอใจหลังพัฒนาระบบการยืมครุภัณฑ์การศึกษาในห้องปฏิบัติการ คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยพะเยา มีความพึงพอใจมากกว่าก่อนพัฒนาระบบ การยืมครุภัณฑ์การศึกษาในห้องปฏิบัติการ คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยพะเยา อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ P-Value < 0.05 ดังนั้นก่อนมีการใช้งานระบบยืมครุภัณฑ์การศึกษาในห้องปฏิบัติการ ควรมีการทดลองใช้งาน และควรจัดการเตรียมความพร้อม อธิบายขั้นตอนการใช้งานระบบยืมครุภัณฑ์การศึกษาให้กับกลุ่มตัวอย่าง ก่อนที่มีการใช้งานการยืมครุภัณฑ์การศึกษาในห้องปฏิบัติการ
- Itemการพัฒนาระบบควบคุมครุภัณฑ์ของวิทยาเขตเชียงราย มหาวิทยาลัยพะเยา(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2022) ภานุพงศ์ มูลจันทร์ต๊ะการวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อพัฒนาระบบควบคุมครุภัณฑ์ของวิทยาเขตเชียงราย มหาวิทยาลัยพะเยา 2) เพื่อประเมินประสิทธิภาพการใช้งานระบบควบคุมครุภัณฑ์ของวิทยาเขตเชียงราย มหาวิทยาลัยพะเยา เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ ระบบควบคุมครุภัณฑ์ของวิทยาเขตเชียงราย มหาวิทยาลัยพะเยา และแบบสอบถามประสิทธิภาพการใช้งานระบบควบคุมครุภัณฑ์ของวิทยาเขตเชียงราย มหาวิทยาลัยพะเยา กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในวิจัย ได้แก่ ผู้บริหารและบุคลากรของวิทยาเขตเชียงราย มหาวิทยาลัยพะเยา จำนวน 8 คน โดยคัดเลือกแบบเฉพาะเจาะจง สถิติที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า 1) การพัฒนาระบบควบคุมครุภัณฑ์ของวิทยาเขตเชียงราย มหาวิทยาลัยพะเยา ทำให้ได้ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการครุภัณฑ์ของวิทยาเขตเชียงราย ช่วยอำนวยความสะดวกให้บุคลากรในการตรวจสอบครุภัณฑ์ที่ตนเองเป็นผู้รับผิดชอบ สามารถปรับปรุงข้อมูลครุภัณฑ์ที่มีการเคลื่อนย้ายให้เป็นปัจจุบันได้ตลอดเวลา ทำให้การควบคุม ติดตาม ตรวจสอบครุภัณฑ์ประจำปีเกิดความรวดเร็วขึ้น อีกทั้งยังรองรับการตรวจสอบครุภัณฑ์จากหน่วยตรวจสอบภายใน และออดิทผู้ตรวจสอบของมหาวิทยาลัยพะเยา และได้สารสนเทศสำหรับการตัดสินใจในการบริหารจัดการครุภัณฑ์ของวิทยาเขตเชียงราย 2) ผลการประเมินประสิทธิภาพการใช้งานระบบควบคุมครุภัณฑ์ของวิทยาเขตเชียงราย มหาวิทยาลัยพะเยา พบว่า ในภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด (x̅ = 4.68, S.D. = 0.65)
- Itemการพัฒนาระบบบริหารจัดการกองทุนเพื่อนิสิตคณะเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร มหาวิทยาลัยพะเยา(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2024) วราพงษ์ คล่องแคล่ว; นภัสวรรณ คำอิสสระการศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาระบบบริหารจัดการกองทุนเพื่อนิสิตคณะเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร มหาวิทยาลัยพะเยา และ 2) เพื่อประเมินประสิทธิภาพของระบบบริหารจัดการกองทุนเพื่อนิสิตคณะเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร มหาวิทยาลัยพะเยา วิธีการศึกษาเป็นการวิจัยและพัฒนาตามแนวคิดวงจรการพัฒนาระบบ กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้เชี่ยวชาญด้านเนื้อหา จำนวน 3 คน ผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาระบบและการบริหารจัดการกองทุน จำนวน 5 คน และนิสิตคณะเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารที่มีความประสงค์ยื่นขอรับทุน ประจำปีการศึกษา 2566 จำนวน 141 คน โดยวิธีเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย 1) ระบบบริหารจัดการกองทุนเพื่อนิสิตคณะเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร มหาวิทยาลัยพะเยา และ 2) แบบประเมินประสิทธิภาพของระบบโดยผู้เชี่ยวชาญและผู้ใช้งานระบบ ผลการศึกษาพบว่า ระบบที่พัฒนาขึ้นมีคุณสมบัติครอบคลุมการดำเนินงานด้านการสมัครของรับทุนของนิสิต และการติดตามผลการพิจารณาสนับสนุนทุนเพื่อการศึกษา ผลการประเมินประสิทธิภาพของระบบทั้งจากผู้เชี่ยวชาญและผู้ใช้งานระบบ พบว่า ระบบมีประสิทธิภาพในภาพรวมอยู่ในระดับดี (ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.06 และ 4.08 ตามลำดับ)
- Itemการพัฒนาระบบวิเคราะห์การเรียนออนไลน์ มหาวิทยาลัยพะเยา(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2024) เพ็ชร พงษ์เฉยงานวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ออกแบบระบบวิเคราะห์การเรียนออนไลน์ 2) พัฒนาระบบวิเคราะห์การเรียนออนไลน์ 3) ศึกษาการใช้งานระบบวิเคราะห์การเรียนออนไลน์ โดยผู้วิจัยนำแนวคิดวัฎจักรการพัฒนาระบบงาน (System development Life Cycle : SDLC) มาใช้ในการพัฒนาระบบวิเคราะห์การเรียนออนไลน์ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ อาจารย์ และผู้บริหารสถาบันการเรียนรู้ มหาวิทยาลัยพะเยา ที่ใช้งาน ระบบ UP e-Learning จำนวน 34 คน โดย คัดเลือกแบบเฉพาะเจาะจง เพื่อเก็บข้อมูลความต้องการของระบบ เครื่องมือทีใช้ในการวิจัยได้แก่ 1) ระบบวิเคราะห์การเรียนออนไลน์ 2) แบบประเมินประสิทธิภาพของระบบวิเคราะห์การเรียนออนไลน์ 3) แบบประเมินความพึงพอใจการใช้งานระบบวิเคราะห์การเรียนออนไลน์ 4) แบบประเมินคุณภาพนวัตกรรมของระบบวิเคราะห์การเรียนออนไลน์ สถิติที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า 1. ผลการออกแบบระบบวิเคราะห์การเรียนออนไลน์ พบว่า ข้อมูลจำนวนครั้งในการเข้าเรียน (login) และข้อมูลจำนวนการดูเนื้อหา (Content view) มีความต้องการมากที่สุด (IOC=1.0) 2. ผลการพัฒนาระบบวิเคราะห์การเรียนออนไลน์ พบว่า ประสิทธิภาพของระบบ อยู่ในระดับมากที่สุด (𝑥̅=4.63, S.D.=0.27) 3. ผลการศึกษาการใช้งานระบบวิเคราะห์การเรียนออนไลน์ พบว่า ความพึงพอใจของผู้บริหาร อยู่ในระดับมากที่สุด (𝑥̅= 4.53, S.D.=0.19) ความพึงพอใจของอาจารย์ อยู่ในระดับมากที่สุด (𝑥̅=4.65, S.D.=0.47) และการประเมินคุณภาพนวัตกรรมของระบบวิเคราะห์การเรียนออนไลน์ โดยผู้เชี่ยวชาญ พบว่า ค่า IOC เท่ากับ 0.97 ความหมาย คือ คุณภาพนวัตกรรมของระบบวิเคราะห์การเรียนออนไลน์ มหาวิทยาลัยพะเยา มีคุณภาพเหมาะสม และใช้งานได้จริง
- Itemการพัฒนาระบบสนับสนุนข้อมูลเพื่อการตัดสินใจในการบริหารงานด้านการพัฒนาอัตลักษณ์นิสิตมหาวิทยาลัยพะเยา(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2024) ณัฐวุฒิ ดาวทองการวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อพัฒนาระบบสนับสนุนข้อมูล เพื่อการตัดสินใจในการบริหารงานด้านการพัฒนาอัตลักษณ์นิสิตของมหาวิทยาลัยพะเยา และประเมินความพึงพอใจการใช้งานระบบนี้ โดยนำข้อมูลทรานสคริปกิจกรรม ซึ่งประกอบด้วยข้อมูลโครงการและข้อมูลผู้เข้าร่วมโครงการจากระบบ I Service ของกองกิจการนิสิต ซึ่งมีข้อมูลมากกว่า 3 ล้านรายการ มาวิเคราะห์และประมวลผลเพื่อสร้างแดชบอร์ด ระบบนี้ช่วยจัดเตรียมข้อมูลที่จำเป็นในการวางแผนการพัฒนานิสิตให้มีอัตลักษณ์ตามที่มหาวิทยาลัยกำหนด โดยผู้ใช้งานสามารถตรวจสอบข้อมูลสถิติ และสถานะการพัฒนาอัตลักษณ์นิสิตได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว ข้อมูลถูกต้องและเป็นปัจจุบัน โดยผู้ใช้งาน ไม่ต้องใช้ Microsoft Excel ในการวิเคราะห์ข้อมูล ทำให้ประหยัดเวลาในการตรวจสอบและจัดทำรายงานมากขึ้น นอกจากนี้ ผู้ใช้งานยังสามารถดูข้อมูลบนแดชบอร์ด ในรูปแบบกราฟแท่ง กราฟวงกลม และตารางข้อมูลได้ สามารถกรองดูข้อมูลเฉพาะส่วนที่สนใจ ทำให้ง่ายต่อการทำความเข้าใจในข้อมูล เพื่อสนับสนุนการตัดสินใจได้เป็นอย่างดี จากการประเมินความพึงพอใจของผู้ใช้งาน พบว่า ผู้ใช้งานมีความพึงพอใจในระดับมากที่สุดในทุกประเด็น ได้แก่ ประเด็นที่ 1 การดูข้อมูลสถานะการพัฒนาอัตลักษณ์นิสิต มีความสะดวก ไม่ยุ่งยาก มีค่าเฉลี่ยความพึงพอใจอยู่ที่ 4.81 (S.D. = 0.39) ประเด็นที่ 2 การกรองข้อมูลเพื่อดูข้อมูลเฉพาะส่วนที่สนใจ มีค่าเฉลี่ยความพึงพอใจอยู่ที่ 4.54 (S.D. = 0.50) ประเด็นที่ 3 ข้อมูลที่ได้มีความถูกต้องสมบูรณ์ และเป็นปัจจุบัน มีค่าเฉลี่ยความพึงพอใจอยู่ที่ 4.45 (S.D. = 0.5) ประเด็นที่ 4 ข้อมูลที่ได้ง่ายต่อการทำความเข้าใจ มีค่าเฉลี่ยความพึงพอใจอยู่ที่ 4.50 (S.D. = 0.51) ประเด็นที่ 5 รายงานต่าง ๆ สามารถนำไปใช้ประโยชน์ในการประกอบการตัดสินใจได้ มีค่าเฉลี่ยความพึงพอใจอยู่ที่ 4.59 (S.D. = 0.50) และประเด็นสุดท้ายประเด็นที่ 6 บุคลากรที่รับผิดชอบใช้เวลาในการจัดทำรายงานน้อยลง มีค่าเฉลี่ยความพึงพอใจอยู่ที่ 4.86 (S.D. = 0.35) ความพึงพอใจในระดับนี้แสดงถึงประโยชน์ และความสามารถของระบบที่พัฒนามาอย่างมีประสิทธิภาพในการช่วยคัดกรอง และสรุปข้อมูลที่ต้องการ ทำให้สามารถนำข้อมูลไปประกอบการตัดสินใจในการวางแผนการพัฒนานิสิตได้อย่างรวดเร็วและทันต่อเหตุการณ์
- Itemการพัฒนาระบบสารสนเทศการลางานของบุคลากร กรณีศึกษา : กองการเจ้าหน้าที่ มหาวิทยาลัยพะเยา(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2024) นพรัตน์ พระดวงงามการศึกษาในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ เพื่อการศึกษาและพัฒนาระบบการลาออนไลน์ของบุคลากร มหาวิทยาลัยพะเยา โดยกรณีศึกษา กองการเจ้าหน้าที่ นำมาซึ่งแนวทางในการพัฒนาระบบการลาออนไลน์ที่สามารถนำไปใช้กับบุคลากรของมหาวิทยาลัยพะเยาทั้งหมด โดยในการวิจัยได้ทำการศึกษาระบบการลาระบบเดิม เพื่อหาแนวทางนำมาปรับปรุงพัฒนาให้ระบบการลาออนไลน์ระบบใหม่สามารถตอบสนองความต้องการ และอำนวยความสะดวกให้กับผู้ใช้ได้มากที่สุด รวมถึงเหมาะสมกับบริบทการทำงานของมหาวิทยาลัยพะเยาอย่างแท้จริง ผลการวิจัยพบว่า อาสาสมัครผู้ใช้งานระบบการลาออนไลน์ทั้งหมด ระหว่างเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2565 มีความถึงกันยายน พ.ศ. 2566 พึงพอใจต่อประสิทธิภาพการใช้งานระบบ โดยรวมพบว่า มีประสิทธิภาพอยู่ในระดับมาก (X̅ = 4.46, S.D. = 0.64) ความพึงพอใจในด้านความสามารถในการทำงานตามหน้าที่ของระบบมีประสิทธิภาพอยู่ในระดับมาก (X̅ = 4.39, S.D. = 0.68) ด้านความง่ายต่อการใช้งานมีประสิทธิภาพอยู่ในระดับมาก (X̅ = 4.43, S.D. = 0.62) และในด้านความปลอดภัยของการรักษาข้อมูลมีประสิทธิภาพอยู่ในระดับมากที่สุด (X̅ = 4.54, S.D. = 0.59) ซึ่งจากผลการวิจัยจากการทดลองใช้งานจริงของกลุ่มอาสาสมัคร และทำแบบประเมินสรุปได้ว่า งานวิจัยเรื่องระบบการลาออนไลน์ กรณีศึกษา กองการเจ้าหน้าที่มหาวิทยาลัยพะเยาอยู่ในระดับมาก
- Itemการพัฒนาระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการสำหรับการวางแผนพัฒนาบุคลากรคณะเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร มหาวิทยาลัยพะเยา(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2022) รณชัย ทิพย์มณฑาการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อ 1) พัฒนาระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ 2) ประเมินประสิทธิภาพระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการพัฒนาระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ ได้แก่ 1) บุคลากรสายวิชาการ คณะเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร มหาวิทยาลัยพะเยา จำนวน 64 คน 2) บุคลากรสายสนับสนุน คณะเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร มหาวิทยาลัยพะเยา จำนวน 23 คน และกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการประเมินประสิทธิภาพของระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ ได้แก่ ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการจัดทำแผนพัฒนาบุคลากร และผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการใช้ข้อมูล ประกอบด้วย คณบดี รองคณบดี ผู้ช่วยคณบดี หัวหน้าสำนักงานคณะ หัวหน้างาน และประธานหลักสูตร จำนวน 21 คน โดยคัดเลือกแบบเฉพาะเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) โปรแกรม Draw.io และโปรแกรม Microsoft Power Point ใช้สำหรับวิเคราะห์ออกแบบฐานข้อมูล 2) โปรแกรม Visual Studio Code ใช้สำหรับการพัฒนาระบบ 3) แบบสอบถามประเมินประสิทธิภาพของระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ สถิติที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลการพัฒนาระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ สามารถใช้งานข้อมูลประกอบด้วย ข้อมูลบุคลากร ข้อมูลประวัติการพัฒนาตนเอง ข้อมูลการขอตำแหน่งทางวิชาการ ข้อมูลแผนพัฒนาบุคลากร ข้อมูลรายงานผลการดำเนินงานตามแผนพัฒนาบุคลากร 2) ผลการประเมินประสิทธิภาพด้านความต้องการของผู้ใช้งาน พบว่า อยู่ในระดับมากที่สุด (x̅=4.33) 3) ผลการประเมินประสิทธิภาพระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ ด้านหน้าที่ของระบบ อยู่ในระดับมาก (x̅=3.71) 4) ผลการประเมินประสิทธิภาพระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ ด้านการใช้งานโปรแกรม อยู่ในระดับมาก (x̅=4.02) 5) ผลการประเมินประสิทธิภาพระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ ด้านความปลอดภัย อยู่ในระดับมากที่สุด (x̅=4.29)
- Itemการพัฒนาระบบสารสนเทศเพื่อการติดตามสมรรถนะด้านเทคโนโลยีสารสนเทศบุคลากรสายสนับสนุน มหาวิทยาลัยพะเยา(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2023) ธิตินนท์ มณีธรรม; ณัฐกร วงศ์ใหญ่การศึกษา เรื่อง การพัฒนาระบบสารสนเทศเพื่อการติดตามสมรรถนะด้านเทคโนโลยีสารสนเทศบุคลากรสายสนับสนุน มหาวิทยาลัยพะเยา วัตถุประสงค์ เพื่อพัฒนาระบบสารสนเทศเพื่อการติดตามสมรรถนะด้านเทคโนโลยีสารสนเทศสายสนับสนุน มหาวิทยาลัยพะเยา ประเมินประสิทธิภาพการใช้งานระบบสารสนเทศเพื่อการติดตามสมรรถนะด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ และศึกษาความพึงพอใจของผู้ใช้ต่อระบบสารสนเทศเพื่อการติดตามสมรรถนะด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ประชากร คือ บุคลากร มหาวิทยาลัยพะเยา ที่เข้ารับการอบรมและสอบวัดมาตรฐานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ปีการศึกษา 2566 จำนวน 91 คน กลุ่มตัวอย่าง คือ บุคลากรมหาวิทยาลัยพะเยา ที่เข้ารับการอบรมและการสอบวัดมาตรฐานด้านเทคโนโลยี ปีการศึกษา 2566 ที่ตอบแบบสอบถาม จำนวน 91 ชุด เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา คือ แบบสอบถามออนไลน์ ได้ตอบแบบสอบถาม จำนวน 91 ชุด คิดเป็นร้อยละ 100 ผลการศึกษาพบว่า การพัฒนาระบบสารสนเทศเพื่อการติดตามสมรรถนะด้านเทคโนโลยีสารสนเทศบุคลากรสายสนับสนุน มหาวิทยาลัยพะเยา โดยรวมอยู่ในระดับประสิทธิภาพดี เมื่อพิจารณารายด้าน พบว่า ด้านความหวังจากประสิทธิภาพของระบบสารสนเทศ ด้านการรับรู้ความยากง่ายในการใช้ระบบสารสนเทศ และด้านทัศนคติต่อการใช้งาน ทุกด้านอยู่ในระดับประสิทธิภาพดี
- Itemการพัฒนาระบบเลือกตั้งออนไลน์ ผู้นำนิสิตมหาวิทยาลัยพะเยาให้มีความมั่นคงปลอดภัย(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2022) ณัฐวุฒิ ดาวทองการวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อพัฒนาระบบเลือกตั้งออนไลน์ ผู้นำนิสิตมหาวิทยาลัยพะเยา ให้มีความมั่นคงปลอดภัย สามารถรองรับผู้ใช้งานที่มีสิทธิ์ได้พร้อมกันไม่น้อยกว่า 300 คน โดยระบบต้องใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยใช้เครื่องมือ Apache JMeter ในการวิเคราะห์ และใช้เทคนิคการเข้ารหัสและถอดรหัส เพื่อปกป้องข้อมูลผลการเลือกตั้ง ซึ่งถือว่าเป็นนโยบายการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล จากที่ได้ทำการพัฒนาระบบเลือกตั้งออนไลน์ ผู้นำนิสิตมหาวิทยาลัยพะเยา ให้มีความมั่นคงปลอดภัย ผู้วิจัยได้นำระบบที่พัฒนาขึ้นไปใช้งานจริง โดยนำไปใช้กับการเลือกตั้งผู้นำนิสิตมหาวิทยาลัยพะเยา ซึ่งจัดขึ้นในวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2565 ซึ่งมีผู้มาใช้สิทธิ์ จำนวน 3,652 คน ผลปรากฏว่าระบบสามารถให้บริการได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้การเลือกตั้งสำเร็จลุล่วงด้วยดี ไม่มีปัญหาติดขัดทางด้านระบบ ในส่วนของผลการทดสอบประสิทธิภาพของระบบ ผู้วิจัยได้ใช้เครื่องมือ Apache JMeter ทดลองสร้าง request ให้แก่ระบบ ครั้งละ 300 request ในช่วงเวลา 1 นาที ซึ่งผลการทดสอบได้ค่า Throughput เท่ากับ 300/นาที และไม่มีค่า Error ซึ่งเท่ากับว่าระบบสามารถรองรับผู้ใช้งานได้พร้อมกัน 300 คนใน 1 นาทีอย่างมีประสิทธิภาพ สุดท้ายการเข้ารหัสและถอดรหัสผลการเลือกตั้งระบบ สามารถถอดรหัสผลการเลือกตั้งได้อย่างมีประสิทธิภาพ และถูกต้อง โดยใช้ฟังก์ชันทางคณิตศาสตร์ อัลกอริทึม RSA ซึ่งใช้เวลาไม่ถึง 10 วินาที ในการถอดรหัสผลการเลือกตั้งทั้งหมด อีกทั้งยังมีผลการประเมินความพึงพอใจทุกด้านอยู่ในระดับมาก ซึ่งประเมินจากนิสิตมหาวิทยาลัยพะเยาที่ใช้สิทธิ์เลือกตั้งผู้นำนิสิต จำนวน 500 คน โดยมีรายละเอียดเป็นดังนี้ ด้านความปลอดภัย (𝑥̅ = 3.95) ด้านการใช้งานโปรแกรม (𝑥̅ = 3.91) ด้านหน้าที่ของระบบ (𝑥̅ = 3.90) และด้านความสามารถทำงานตรงตามความต้องการ (𝑥̅ = 3.88) จากผลการศึกษาดังกล่าวสามารถอธิบายได้ว่า ระบบเลือกตั้งผู้นำนิสิตสามารถให้บริการได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้นิสิตมีความพึงพอใจด้านความปลอดภัยมากที่สุด มีความสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของการวิจัยที่มุ่งพัฒนาระบบให้มีความมั่นคงปลอดภัย รวมถึงให้บริการอย่างมีประสิทธิภาพ สะดวก รวดเร็ว
- Itemการพัฒนารูปแบบการสื่อสารความปลอดภัยในการแยกทิ้งของเสียอันตรายในห้องปฏิบัติการ คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยพะเยา(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2021) จิราพร ขำจันทร์การวิจัยนี้เป็นการวิจัยแบบปฏิบัติการ (Action Research) มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาปัญหาของการแยกทิ้งของเสียอันตรายในห้องปฏิบัติการ ค้นหาสาเหตุของการแยกทิ้งของเสียอันตรายที่ไม่ถูกต้อง และไม่เหมาะสม และพัฒนารูปแบบการสื่อสารความปลอดภัยในการแยกทิ้งของเสียอันตรายในห้องปฏิบัติการ คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยพะเยา กลุ่มตัวอย่างที่ศึกษาในครั้งนี้ คือ นิสิตที่ลงทะเบียนเรียนรายวิชา 329309 การวิเคราะห์น้ำและน้ำเสีย จำนวน 45 คน ในการดำเนินการวิจัยได้แบ่งขั้นตอนการศึกษาออกเป็น 2 ขั้นตอน คือ การศึกษาเชิงสำรวจและการศึกษากึ่งทดลอง โดยใช้ผลการศึกษาในขั้นตอนแรก มาออกแบบโปรแกรมในการศึกษา ได้แก่ โปรแกรมการพัฒนารูปแบบการสื่อสารความปลอดภัยในการแยกทิ้งของเสียอันตรายในห้องปฏิบัติการ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ แบบสอบถาม ซี่งมีข้อมูลเกี่ยวกับ คะแนนความรู้ ทัศนคติ และพฤติกรรมการแยกทิ้งของเสียอันตราย สถิติที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ ประกอบด้วย สถิติเชิงพรรณนาแสดงด้วยจำนวน ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการเปรียบเทียบความรู้ ทัศนคติ และพฤติกรรม การแยกทิ้งของเสียอันตรายก่อนและหลังเข้าร่วมโปรแกรมฯ วิเคราะห์โดยใช้สถิติ paired T-test ในส่วนความสัมพันธ์ระหว่าง ความรู้ ทัศนคติ และพฤติกรรมการแยกทิ้งของเสียอันตราย ใช้สถิติสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน (Pearson correlation) กำหนดระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ p-value < 0.05 ผลการศึกษาพบว่า กลุ่มตัวอย่างมีค่าเฉลี่ยของคะแนนความรู้เพิ่มขึ้นภายหลังเข้าร่วมโปรแกรมฯ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value < 0.001) ในส่วนของระดับทัศนคติ และพฤติกรรม ก่อนและหลัง เข้าร่วมโปรแกรมฯ ไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value = 0.916 และ 0.103 ตามลำดับ) นอกจากนี้ยังพบว่า คะแนนความรู้และทัศนคติมีความสัมพันธ์กันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < 0.05) และทัศนคติมีความสัมพันธ์กับพฤติกรรม (p < 0.05) ดังนั้นก่อนมีการจัดการเรียนการสอนบทปฏิบัติการที่มีการใช้สารเคมี และเกิดของเสียอันตรายจากการทดลองหรือวิเคราะห์ ควรมีการจัดอบรมหรือให้ความรู้แก่ผู้ใช้บริการห้องปฏิบัติการ เกี่ยวกับระบบการจัดการของเสียอันตราย ข้อปฏิบัติ และกฎระเบียบในการใช้บริการห้องปฏิบัติการให้แก่ผู้รับบริการ และควรมีการจัดเตรียมวัสดุ อุปกรณ์ และสื่อสัญลักษณ์ให้พร้อมก่อนมีการใช้ห้องปฏิบัติการ
- «
- 1 (current)
- 2
- 3
- »