University of Phayao
Digital Collections
ฐานข้อมูลคลังปัญญา มหาวิทยาลัยพะเยา จัดทำโดยศูนย์บรรณสารและการเรียนรู้ สถาบันนวัตกรรมการเรียนรู้ มหาวิทยาลัยพะเยา เพื่อเป็นแหล่งรวบรวม จัดเก็บและเผยแพร่ผลงานของคณาจารย์ นักวิจัย และนิสิต ของมหาวิทยาลัยพะเยา
นโยบายการรับผลงานการรับผลงานเข้าสู่ฐานข้อมูลคลังปัญญา มหาวิทยาลัยพะเยา จะคัดเลือกรับผลงานประเภทต่าง ๆ ดังต่อไปนี้
- Theses วิทยานิพนธ์
- Dissertations ดุษฎีนิพนธ์
- Independent Study รายงานการค้นคว้าอิสระ
- Technical Report รายงานการวิจัย
- Journal Paper บทความวิจัยที่ตีพิมพ์ในบทความวารสาร
- Bachelor’s Project ปัญหาพิเศษนักศึกษาปริญญาตรี
- Patents สิทธิบัตร
- Local Information Phayao Province ข้อมูลท้องถิ่นจังหวัดพะเยา
- University of Phayao Archives จดหมายเหตุ มหาวิทยาลัยพะเยา
ติดต่อสอบถามข้อมูลหรือส่งผลงานได้ที่ UPDC Support.

Communities in DSpace
Select a community to browse its collections.
Recent Submissions
Item
การศึกษาความรู้ของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านเกี่ยวกับโรคหลอดเลือดสมองในจังหวัดพะเยา
(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2013) วิกานดา ศรีคำ; สุดารัตน์ ศรีวิชัย; อภิญญา ใจหล้า
ที่มา: โรคหลอดเลือดสมอง เป็นกลุ่มอาการที่เกิดจากความบกพร่องของระบบประสาทซึ่งทำให้เกิดอาการอัมพาตและพิการตามมาได้ วิธีที่ดีที่สุดในการจัดการกับโรคหลอดเลือดสมอง คือ การป้องกันด้วยการให้ความรู้ โดยอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ถือเป็นผู้ที่มีบทบาทในการเผยแพร่ข้อมูลให้แก่ประชาชนเป็นอย่างมาก อย่างไรก็ตาม การศึกษาเกี่ยวกับความรู้ของ อสม. เกี่ยวกับโรคหลอดเลือดสมองยังมีอยู่อย่างจำกัด วัตถุประสงค์: เพื่อศึกษาระดับความรู้เกี่ยวกับโรคหลอดเลือดสมองของ อสม. ในเขต ตำบลแม่กา จังหวัดพะเยา วิธีการ: อาสาสมัคร จำนวน 114 คน ซึ่งได้ตอบแบบสอบถามความรู้เกี่ยวกับเรื่องโรคหลอดเลือดสมองและการปฏิบัติตัวในชีวิตประจำวัน ผลการศึกษาและสรุปผลการศึกษา: ผลการศึกษาพบว่า อสม. ส่วนใหญ่มีความรู้เกี่ยวกับโรคหลอดเลือดสมองอยู่ในระดับสูง รวมทั้งมีพฤติกรรมและการปฏิบัติตัวในชีวิตประจำวันที่จะนำไปสู่การป้องกันการเกิดโรคหลอดเลือดสมอง อย่างไรก็ตาม ยังมี อสม. จำนวนหนึ่งที่มีความรู้ในประเด็นสำคัญไม่ถูกต้อง การศึกษานี้ทำให้ได้ข้อมูลเบื้องต้นที่น่าจะเป็นประโยชน์แก่หน่วยงานด้านสาธารณสุขที่เกี่ยวข้องเพื่อใช้เป็นแนวทางในการส่งเสริมบทบาทหน้าที่ของ อสม. ในการป้องกันโรคหลอดเลือดสมอง
Item
ผลของการออกกำลังกายแบบชี่กงต่อความจำ
(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2013) สุทธินี สุภากาศ; อภิญญา ภะวะภูตา; อุไรวรรณ ศิรินารถ
จากการทบทวนวรรณกรรม พบว่า การออกกำลังกายมีผลเพิ่มความสามารถในการจำ อย่างไรก็ตาม การศึกษาผลการออกกำลังกายแบบชี่กงต่อความจำที่ผ่านมายังไม่เป็นที่แพร่หลาย ดังนั้นวัตถุประสงค์ในการศึกษาครั้งนี้ คือ ศึกษาผลของการออกกำลังกายแบบชี่กงต่อความจำในอาสาสมัครเพศหญิง จำนวน 30 คน อายุระหว่าง 18 - 22 ปี ถูกแบ่งด้วยวิธีการสุ่มแบบบล็อกออกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มออกกำลังกาย จำนวน 15 คน และกลุ่มควบคุม จำนวน 15 คน ซึ่งกลุ่มออกกำลังกายจะได้รับการออกกำลังกายแบบชี่กง 3 วัน/สัปดาห์ เป็นระยะเวลา 4 สัปดาห์ ในขณะที่กลุ่มควบคุมไม่ได้รับการออกกำลังกายใด ๆ โดยก่อนและหลังการทดลอง อาสาสมัครทั้ง 2 กลุ่มจะได้รับการประเมินความจำระยะสั้น ความจำขณะคิด และการเลือกสนใจ ด้วยการทดสอบ digit span forward test, digit span backward test และ stroop color and word test ตามลำดับ ผลการศึกษาพบว่าหลังจากสิ้นสุดโปรแกรมการออกกำลังกายแบบชี่กง อาสาสมัครในกลุ่มออกกำลังกายมีคะแนนเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติของการทดสอบ digit span forward test (ก่อน = 10.73.2 ± 2.28 และหลัง = 12.27 ± 2.37; p-value = 0.01), digit span backward test (ก่อน = 7.63 ± 3.71 และหลัง = 10.20 ± 3.87; p-value = 0.00) และ stroop color and word test (ก่อน = 46.00 ± 10.82 และหลัง = 54.73 ± 10.85; p-value = 0.00) แต่ในกลุ่มควบคุมไม่พบความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติในการทดสอบทั้ง 3 การทดสอบ (p-volue > 0.05) การศึกษาครั้งนี้แสดงให้เห็นว่าการออกกำลังกายแบบชี่กงมีผลเพิ่มความจำและการเลือกสนใจ ดังนั้นการออกกำลังกายแบบชี่กงจึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการออกกำลังกายเพื่อเพิ่มความสามารถในการจำ
Item
ผลของการออกกำลังกายแบบพิลาทีสต่อร้อยละไขมันในร่างกายและระดับความมั่นคงของกระดูกสันหลังและเชิงกรานในนิสิตมหาวิทยาลัย
(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2013) วิลาวัณย์ หอมนวล; สงกรานต์ ม่วงเหลือง; สุริยะ อนันต์วิไล
การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาผลของการออกกำลังกายแบบพิลาทีสต่อร้อยละไขมันในร่างกายและระดับความมั่นคงของกระดูกสันหลังและเชิงกรานในนิสิตมหาวิทยาลัย จำนวน 34 คน ทำการสุ่มโดยแบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มออกกำลังกาย 17 คน และกลุ่มควบคุม 17 คน โดยกลุ่มออกกำลังกายได้รับการฝึกตามโปรแกรมการออกกำลังกายแบบพิลาทีส เป็นระยะเวลา 4 สัปดาห์ 2 ครั้งต่อสัปดาห์ ครั้งละ 55 นาที ส่วนกลุ่มควบคุมไม่ได้รับการฝึก ทั้ง 2 กลุ่มถูกวัดค่าร้อยละไขมันในร่างกาย และค่าความมั่นคงของกระดูกสันหลังและเชิงกราน ทั้งก่อนและหลังการทดลอง นำผลที่ได้จากการทดสอบมาวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูป SPSS ผลการศึกษาพบว่า ภายหลังการฝึกค่าของร้อยละไขมันในร่างกายในกลุ่มควบคุมเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.05) ในขณะที่กลุ่มทดลองไม่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ส่วนระดับความมั่นคงของกระดูกสันหลังและเชิงกราน พบว่า ไม่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติทั้งในกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม (p>0.05) การศึกษาครั้งนี้สรุปได้ว่า กลุ่มออกกำลังกายโดยการฝึกตามโปรแกรมการออกกำลังกายแบบพิลาทีสเป็นระยะเวลา 4 สัปดาห์ ไม่สามารถเพิ่มความมั่นคงของกระดูกสันหลัง และเชิงกรานและลดร้อยละไขมันในร่างกายได้ แต่มีแนวโน้มที่จะเพิ่มระดับความมั่นคงของกระดูกสันหลังและเชิงกรานได้ ซึ่งอาจเป็นเพราะความถี่และความหนักของโปรแกรมต่ำเกินไป
Item
ผลของแผ่นประคบร้อนสมุนไพรไทยต่อความปวดและความยืดหยุ่นในผู้ที่มีอาการปวดหลังส่วนล่าง
(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2016) ญาณี ติดยงค์; นงวิกรานต์ พินิจสุวรรณ
ที่ผ่านมามีการศึกษาเกี่ยวกับการพัฒนาแผ่นประคบร้อนสมุนไพรไทยด้วยคลื่นไมโครเวฟรายงานว่าแผ่นประคบร้อนสมุนไพรไทยให้ผลด้านความร้อนเทียบเท่ากับแผ่นประคบร้อนมาตรฐาน และลดอาการปวดและเพิ่มความยืดหยุ่นได้ทันทีในผู้ที่มีอาการปวดหลังส่วนล่างแบบไม่ทราบสาเหตุ อย่างไรก็ตามผู้ป่วยที่มีอาการปวดหลังส่วนล่างมักมีอาการปวดแบบเรื้อรังจึงควรได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่อง วัตถุประสงค์ของการศึกษานี้ เพื่อศึกษาผลของแผ่นประคบร้อนสมุนไพรไทยต่ออาการปวดและความยืดหยุ่นของกลุ่มกล้ามเนื้อบริเวณต้นขาด้านหลัง และหลังส่วนล่างในผู้ที่มีอาการปวดหลังส่วนล่างแบบไม่ทราบสาเหตุ อาสาสมัคร 21 ราย (อายุเฉลี่ย 55.14 ปี) ได้รับการวางแผ่นประคบร้อนสมุนไพรไทยบริเวณหลังส่วนล่าง เป็นเวลา 30 นาทีต่อครั้ง 3 ครั้ง เป็นเวลา 1 สัปดาห์ อาสาสมัครจะได้รับการประเมินความเจ็บปวดด้วยมาตรวัดความเจ็บปวดด้วยสายตา (Visual Analogue Scales, VAS) และความยืดหยุ่นของกลุ่มกล้ามเนื้อบริเวณต้นขาด้านหลัง และหลังส่วนล่างด้วยการทดสอบนั่งงอตัวไปข้างหน้า (Sit-and-reach test) ก่อนการรักษาและ 24 ชั่วโมงหลังจากทำการรักษาครั้งสุดท้าย ข้อมูลความเจ็บปวดถูกวิเคราะห์ด้วยสถิติ Wilcoxon matched pair signed rank test ในขณะที่ข้อมูลความยืดหยุ่นถูกวิเคราะห์ด้วย Paired sample t-test ผลการศึกษา พบความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติของอาการปวดและความยืดหยุ่นของกลุ่มกล้ามเนื้อบริเวณต้นขาด้านหลัง และหลังส่วนล่างระหว่างก่อนและหลังการรักษา 3 ครั้งต่อสัปดาห์ (p=0.000) การศึกษานี้สรุปได้ว่าการรักษาด้วยแผ่นประคบร้อนสมุนไพรไทยอย่างต่อเนื่อง สามารถลดอาการปวด และเพิ่มความยืดหยุ่นของกลุ่มกล้ามเนื้อบริเวณต้นขาด้านหลังและหลังส่วนล่างในผู้ที่มีอาการปวดหลังส่วนล่างแบบไม่ทราบสาเหตุได้
Item
ความหลากหลายของเมล็ดข้าวในจังหวัดพะเยาต่อการพัฒนาแผ่นประคบร้อนโดยใช้ไมโครเวฟ-การศึกษานำร่อง
(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2017) จินตนา กันทะสีคำ; ธัญญารักษ์ ใจชื่น
ในปัจจุบันตลาดการค้าข้าวโลกมีการชะลอตัว ส่งผลให้ข้าวมีราคาถูกลง สร้างความเดือดร้อนให้แก่เกษตรกรไทยเป็นอย่างมาก จังหวัดพะเยาเป็นจังหวัดหนึ่งที่มีการเกษตรกรรมเพาะปลูกข้าวเป็นส่วนใหญ่ เมื่อราคาข้าวตกต่ำส่งผลให้เกิดความเดือดร้อนของเกษตรกรในจังหวัดพะเยา ดังนั้นวิธีการหนึ่งที่จะสามารถช่วยเพิ่มมูลค่าของข้าวและส่งเสริมการเข้าถึงการรักษาทางกายภาพบำบัดภายในครัวเรือนได้ คือ การนำข้าวมาเป็นวัสดุหลักในการทำอุปกรณ์ทางการแพทย์ นั่นคือ แผ่นประคบร้อนจากข้าว เพื่อช่วยลดอาการปวดจากาการใช้งานของกล้ามเนื้อ สามารถนำไปใช้งานได้สะดวก และช่วยเพิ่มรายได้ หากนำไปทำเป็นผลิตภัณฑ์เพื่อจัดจำหน่าย การศึกษานี้ได้แบ่งวิธีการดำเนินการออกเป็น 3 การศึกษา โดยการศึกษาที่ 1 เปรียบเทียบการเก็บความร้อนของเมล็ดข้าวที่นิยมปลูกในท้องถิ่นจังหวัดพะเยา ผลปรากฏว่าข้าวขาวดอกมะลิ 105 มีคุณสมบัติเหมาะสมในการนำไปบรรจุแผ่นประคบร้อน เนื่องจากมีกลิ่นหอม สามารถนำไปอบซ้ำได้โดยที่เมล็ดข้าวไม่แตกเปราะง่าย การศึกษาที่ 2 เปรียบเทียบการเก็บความร้อนระหว่างข้าวที่สามารถเก็บความร้อนได้ดีที่สุดผสมสมุนไพรอบแห้ง กับเมล็ดธัญพืช และแผ่นประคบร้อนมาตรฐาน ผลปรากฏว่า อุณหภูมิแผ่นประคบร้อนจากข้าวขาวดอกมะลิ 105 ผสมสมุนไพรอบแห้งกับแผ่นประคบร้อนจากเมล็ดถั่วแดงไม่มีความแตกต่างกัน (p>0.05) แต่เมื่อเปรียบเทียบกับแผ่นประคบร้อนมาตรฐาน พบว่า มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.05) การศึกษาที่ 3 เปรียบเทียบอุณหภูมิผิวหนังขณะประคบด้วยแผ่นประคบร้อนจากเมล็ดข้าวขาวดอกมะลิ 105 ผสมสมุนไพรอบแห้งและแผ่นประคบร้อนมาตรฐาน ผลปรากฏว่า อุณหภูมิผิวหนังขณะวางแผ่นประคบร้อนทั้ง 2 ชนิดไม่มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p>0.05) ดังนั้นจึงสรุปได้ว่า เมล็ดข้าวขาวดอกมะลิ 105 ผสมสมุนไพรอบแห้ง มีอุณหภูมิเหมาะสมในการนำไปบรรจุถุงประคบร้อน เพื่อประยุกต์ใช้ในการรักษาทางกายภาพบำบัดโดยให้ความร้อนตื้น