University of Phayao
Digital Collections
ฐานข้อมูลคลังปัญญา มหาวิทยาลัยพะเยา จัดทำโดยศูนย์บรรณสารและการเรียนรู้ สถาบันนวัตกรรมการเรียนรู้ มหาวิทยาลัยพะเยา เพื่อเป็นแหล่งรวบรวม จัดเก็บและเผยแพร่ผลงานของคณาจารย์ นักวิจัย และนิสิต ของมหาวิทยาลัยพะเยา
นโยบายการรับผลงานการรับผลงานเข้าสู่ฐานข้อมูลคลังปัญญา มหาวิทยาลัยพะเยา จะคัดเลือกรับผลงานประเภทต่าง ๆ ดังต่อไปนี้
- Theses วิทยานิพนธ์
- Dissertations ดุษฎีนิพนธ์
- Independent Study รายงานการค้นคว้าอิสระ
- Technical Report รายงานการวิจัย
- Journal Paper บทความวิจัยที่ตีพิมพ์ในบทความวารสาร
- Bachelor’s Project ปัญหาพิเศษนักศึกษาปริญญาตรี
- Patents สิทธิบัตร
- Local Information Phayao Province ข้อมูลท้องถิ่นจังหวัดพะเยา
- University of Phayao Archives จดหมายเหตุ มหาวิทยาลัยพะเยา
ติดต่อสอบถามข้อมูลหรือส่งผลงานได้ที่ UPDC Support.

Communities in DSpace
Select a community to browse its collections.
Recent Submissions
Item
การประยุกต์ใช้สารชีวภัณฑ์เพื่อการปรับปรุงคุณภาพดินและลดการปนเปื้อนของแคดเมียมในนาข้าว
(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2022) วิมลรัตน์ ศีติสาร
การประยุกต์ใช้สารชีวภัณฑ์เพื่อการปรับปรุงคุณภาพดิน และลดการปนเปื้อนของแคดเมียมในนาข้าว โดยใช้สารชีวภัณฑ์ที่มีการควบคุมการผลิต กำหนดชนิดจุลินทรีย์และความเข้มข้นรวมเท่ากับ 1.0 x 107 เซลล์/กรัม ประกอบด้วย Achormobacter sp. Azoto bacter sp. Bacillus sp. และ Nitrobactor sp. เพื่อทดลองปลูกข้าวในดินปนเปื้อนสังเคราะห์ เปรียบเทียบระหว่างการทดลองที่ไม่มีการปลูกข้าว และปลูกข้าว (ขาวมะลิ 105) พบว่า การทดลอง MIC500 มีแคดเมียม เท่ากับ 36.45 mg/kg เป็นไปตามมาตรฐานคุณภาพดินที่ใช้ประโยชน์เพื่อการอยู่อาศัยและเกษตรกรรม (ไม่เกิน 37 mg/kg) และมีแคดเมียมในเมล็ดข้าวน้อยที่สุด เท่ากับ 0.19 mg/kg ซึ่งเป็นไปตามมาตรฐาน Codex Committee on Food Additives and Contaminant (CCFAC) (ไม่เกิน 0.20 mg/kg) ส่วนการทดลองในดินปนเปื้อนแม่ตาว พบว่า MIC500 มีแคดเมียมในดิน เท่ากับ 32.95 mg/kg ลดลง 45.54 % เป็นไปตามมาตรฐานคุณภาพดินที่ใช้ประโยชน์เพื่อการอยู่อาศัยและเกษตรกรรม และมีแคดเมียมในเมล็ดข้าว เท่ากับ 0.15 mg/kg จึงกล่าวได้ว่าสารชีวภัณฑ์สามารถลดการสะสมของแคดเมียมในดิน และเมล็ดข้าวได้เมื่อเปรียบเทียบกับ CHEM และ PT ซึ่งเป็นไปตามมาตรฐาน Codex Committee on Food Additives and Contaminant (CCFAC) ที่กำหนดไว้ที่ไม่เกิน 0.2 mg/kg
Item
การประเมินและแนวทางการลดก๊าซเรือนกระจกระดับเมืองของเทศบาลเมืองพะเยา
(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2022) อำนาจ วิชัย
การจัดทำข้อมูลก๊าซเรือนกระจกระดับเมืองเป็นกระบวนการสำคัญที่สนับสนุนนโยบายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยกระบวนการดังกล่าวทำให้ทราบถึงสาเหตุการเกิดก๊าซเรือนกระจกรายกิจกรรมที่มีการดำเนินการอยู่ภายในขอบเขตเมือง เพื่อจัดอันดับความสำคัญของปัญหา และนำไปสู่กระบวนการจัดทำมาตรการเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของเมืองในอนาคต งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาและเสนอแนวทางการจัดการก๊าซเรือนกระจกระดับเมือง โดยการจัดทำข้อมูลปริมาณก๊าซเรือนกระจกระดับเมืองในพื้นที่เขตเทศบาลเมืองพะเยา มีกรอบการดำเนินงานตามอาณาเขตการปกครอง และแบ่งกิจกรรมที่เกิดขึ้นทั้งหมดออกเป็น 3 ขอบเขต ได้แก่ กิจกรรมที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางตรง (Direct emission) กิจกรรมที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อม (Indirect emission) และกิจกรรมที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อมอื่น ๆ (Other indirect emissions) โดยปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่เกิดขึ้น จะกำหนดให้เป็นกรณีฐานสำหรับการเสนอมาตรการและแนวทางการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เหมาะสม โดยพิจารณาจากเทคโนโลยีที่มีอยู่ในปัจจุบัน และนโยบายการสนับสนุนส่งเสริมจากภาครัฐเมื่อจัดทำข้อมูลปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่เกิดขึ้นในพื้นที่เขตเทศบาลเมืองพะเยา พบว่า ในปี พ.ศ. 2561 มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งสิ้น 31,408.01 tCO2-eq โดยกิจกรรมการใช้พลังงานไฟฟ้ามีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากที่สุดถึงร้อยละ 49.97 ส่วนลำดับที่สองเป็นกิจกรรมการใช้พลังงานเชื้อเพลิง คิดเป็นร้อยละ 33.76 และกิจกรรมที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกน้อยที่สุดเป็นกิจกรรมการเกษตร ป่าไม้ และการใช้ที่ดิน คิดเป็นร้อยละ 0.95 ทั้งนี้ หากไม่มีการดำเนินการใด ๆ ปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของเทศบาลพะเยาจะเพิ่มขึ้น 50,807.37 tCO2-eq ภายในปี พ.ศ. 2573 ผลการศึกษาศักยภาพการลดก๊าซเรือนกระจกตามความเหมาะสมของบริบทเมืองประกอบด้วยมาตรการปรับเปลี่ยนรถยนต์ไฟฟ้าทดแทนรถยนต์ที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิง มาตรการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ด้วยติดตั้งระบบโซล่าเซลล์ และมาตรการจัดการขยะมูลฝอยด้วยการสร้างศูนย์กำจัดขยะมูลฝอยรวม พบว่า สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงได้ 11,606.29 tCO2-eq ภายในปี พ.ศ. 2573 แสดงให้เห็นว่า ในพื้นที่เขตเทศบาลเมืองพะเยาควรมีการดำเนินการตามแผนจึงจะสามารถลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ งานวิจัยนี้สามารถใช้เป็นแนวทางการจัดทำข้อมูลปริมาณก๊าซเรือนกระจกระดับเมือง เพื่อหาแนวทางการจัดการที่เหมาะสมตามบริบทของเทศบาลเมืองพะเยาต่อไป
Item
แนวทางการพัฒนาโลจิสติกส์การขนส่งเพื่อการท่องเที่ยวแบบไร้รอยต่อจากเส้นทางด่านชายแดนบ้านฮวกสู่สถานีรถไฟทางคู่พะเยาและพื้นที่เชื่อมโยง
(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2023) ปฐมพงษ์ ธิโน
การศึกษาครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาสถานการณ์ปัจจุบัน และศึกษาโลจิสติกส์การขนส่งเพื่อการท่องเที่ยว เพื่อนำไปสู่แนวทางการพัฒนาโลจิสติกส์การขนส่งเพื่อการท่องเที่ยวแบบไร้รอยต่อ จากเส้นทางด่านชายแดนบ้านฮวกสู่สถานีรถไฟทางคู่พะเยาและพื้นที่เชื่อมโยง ดำเนินการรวบรวมข้อมูลจากการศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง การลงพื้นที่สำรวจ การสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้าง และการจัดประชุมกลุ่มย่อยร่วมกับตัวแทนจากหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และผู้ประกอบการ ผลการศึกษาพบว่า เส้นทางด่านชายแดนบ้านฮวกสู่สถานีรถไฟทางคู่พะเยาและพื้นที่เชื่อมโยง มีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และระบบสาธารณูปโภคเพื่อรองรับโครงข่ายทางถนนที่เชื่อมโยงกับโครงการรถไฟทางคู่สายเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ และสนับสนุนการเชื่อมโยงระบบคมนาคมกับ สปป.ลาว และ ประเทศจีนตอนใต้ โดยด้านโครงสร้างพื้นฐาน ส่วนใหญ่สภาพถนนเป็นถนนผิวจราจรแบบแอสฟัลท์ติกคอนกรีต ผิวจราจรเรียบเป็นส่วนใหญ่ ถนนตรง โค้งน้อย ไม่ชัน ด้านระบบสาธารณูปโภคและสิ่งอำนวยความสะดวก มีสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิง ร้านอาหาร และที่พักแรมให้บริการระหว่างเส้นทาง ด้านการเดินทาง มีรถสาธารณะให้บริการในบางพื้นที่ แต่พบปัญหาเกี่ยวกับการบริการที่ยังไม่ครอบคลุมพื้นที่ ด้านแหล่งท่องเที่ยว มีความหลากหลายทั้งทางธรรมชาติและทางวัฒนธรรม/ประเพณี ด้านกิจกรรมการท่องเที่ยว ขึ้นอยู่กับลักษณะของแหล่งท่องเที่ยวในพื้นที่นั้น ๆ ส่วนแนวทางการพัฒนานั้น ควรมีการจัดการการเดินทางเชื่อมโยงอย่างเป็นระบบโดยการนำเอาแนวคิดเกี่ยวกับการเดินทางอย่างไร้รอยต่อมาปรับใช้ในการให้บริการ เช่น การพัฒนาระบบการจ่ายค่าเดินทางของขนส่งสาธารณะต่าง ๆ ให้สามารถจ่ายได้ผ่านระบบๆ เดียว และการพัฒนาระบบแอปพลิเคชันที่รวมเอาบริการขนส่งสาธารณะทั้งหมดเข้าไว้ด้วยกัน
Item
การศึกษาศักยภาพการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทน กรณีศึกษาพื้นที่อำเภอแม่เมาะ จังหวัดลำปาง
(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2023) ธัญญพัทธ์ ทิพย์ศุภวงศ์
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาความเหมาะสมของรูปแบบการผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนในพื้นที่อำเภอแม่เมาะ จังหวัดลำปาง ตามหลักการพัฒนาอย่างยั่งยืน 3 P : ดุลยภาพขั้นพื้นฐาน (Profit–People-Planet) ผลจากการศึกษาแบบสอบถามจากกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 585 คน พบว่า ลำดับแรก ได้แก่ โรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนก่อให้เกิดการจ้างงานให้แก่คนในพื้นที่อยู่ในระดับมากที่สุด รองลงมา คือ โรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนสามารถเป็นศูนย์การเรียนรู้ให้แก่ชุมชนอยู่ในระดับมาก และโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนเป็นพลังงานสะอาดไม่มีมลภาวะเป็นลำดับสุดท้าย ผลจากการศึกษา ศักยภาพพลังงานแสงอาทิตย์ พบว่า บ้านจำปุยมีพื้นที่มากกว่า 420,000 m2 ซึ่งจากการจำลองการผลิตไฟฟ้า PVsyst 7.1 กำลังไฟฟ้าสูงสุด 520 kWp (Normal STC) พบว่า ต้องใช้ PV module (JKM 325PP-72 Plus) ขนาด 325 kWp จำนวน 1,600 แผง และใช้ Inverter Solar Edge ขนาด 33.3 kWac จำนวน 14 หน่วย ใช้พื้นที่ในการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้า ทั้งหมด 3,105 m2 สามารถผลิตปริมาณพลังงานไฟฟ้าได้ 520 kWp สามารถทดแทนการผลิตไฟฟ้าจากการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลได้ 815.2 MWh/ปี หรือ 19,202.8 MWh ส่งผลทำให้สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจากเท่ากับ 488.0 tCO2-eq /ปี หรือคิดเป็น 11,494.8 tCO2-eq ตลอดอายุโครงการ 25 ปี (Emission factor ของไฟฟ้าเท่ากับ 0.5986 kgCO2-eq/kWh) และผลจากการศึกษาศักยภาพพลังงานชีวมวล พบว่า ชีวมวลที่มีปริมาณการผลิตไฟฟ้ามากที่สุด คือ ข้าวโพด คิดเป็น 20.76616 GWh หรือ 68.69% รองลงมา คือ ข้าว คิดเป็น 6.14074 หรือ 20.31% หากประเมินศักยภาพโดยรวมของพลังงานไฟฟ้าที่ผลิตได้จากชีวมวลจะเทียบเท่าไฟฟ้า 30.23374 GWh เมื่อกำหนดเงื่อนไขโรงไฟฟ้าเดินเครื่อง 24 ชม./วัน 330 วัน/ปี ที่ประสิทธิภาพโรงไฟฟ้า 20% จะต้องมีโรงไฟฟ้าขนาด 3.44 MW
Item
อนาคตภาพการบริหารโรงเรียนสังกัดเทศบาลในทศวรรษหน้า
(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2024) จตุพล โนมณี
งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์หลัก เพื่อศึกษาอนาคตภาพการบริหารโรงเรียนในสังกัดเทศบาลในทศวรรษหน้า และมีวัตถุประสงค์เฉพาะ คือ 1) เพื่อศึกษาการบริหารโรงเรียนในสังกัดเทศบาลที่เป็นเลิศในปัจจุบัน 2) เพื่อศึกษาแนวโน้มการบริหารโรงเรียนในสังกัดเทศบาลในทศวรรษหน้า และ 3) เพื่อสร้างอนาคตภาพการบริหารโรงเรียนในสังกัดเทศบาลในทศวรรษหน้า วิธีดำเนินการวิจัยมี 3 ระยะ คือ ระยะที่ 1 การศึกษาการบริหารโรงเรียนในสังกัดเทศบาล ระยะที่ 2 การศึกษาแนวโน้มอนาคตภาพการบริหารโรงเรียน ในสังกัดเทศบาลในทศวรรษหน้าด้วยเทคนิค EDFR ระยะที่ 3 การสร้างอนาคตภาพการบริหารโรงเรียน ในสังกัดเทศบาลในทศวรรษหน้า ผลการวิจัย พบว่า 1) การบริหารโรงเรียนในสังกัดเทศบาลที่เป็นเลิศในปัจจุบัน มีโครงสร้างการบริหารเพิ่มขึ้นมาตามจุดเน้น และวัตถุประสงค์ที่จะพัฒนาสู่ความเป็นเลิศ มีการเพิ่มฝ่ายงานด้านความเป็นเลิศ มีการกำหนดวิสัยทัศน์ พันธกิจ สู่ความเป็นเลิศที่ชัดเจนและสอดคล้องกับหลักสูตรการจัดการเรียนการสอนที่เป็นเลิศ โดยมีนโยบายผู้บริหารท้องถิ่นเป็นแรงขับสำคัญในการพัฒนาสู่ความเป็นเลิศ 2) แนวโน้มอนาคตภาพการบริหารโรงเรียนสังกัดเทศบาลในทศวรรษหน้า 7 หมวด 32 ตัวชี้วัด มีความสอดคล้องของความคิดเห็น (Interquartile Range Q3-Q1 ไม่เกิน 1.5) ในทุกหมวดและทุกตัวชี้วัด มีโอกาสเป็นไปได้ในระดับมากที่สุด และเป็นภาพอนาคตที่พึงประสงค์ เป็นฉันทามติและมีความเป็นเอกพันธ์ 3) อนาคตภาพการบริหารโรงเรียนในสังกัดเทศบาลในทศวรรษหน้า 7 หมวด 32 ตัวชี้วัด ประกอบด้วย หมวด 1 การนำองค์กร มี 5 ตัวชี้วัด หมวด 2 การวางแผนเชิงกลยุทธ์ มี 5 ตัวชี้วัด หมวด 3 การให้ความสำคัญกับนักเรียนและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย มี 4 ตัวชี้วัด หมวด 4 การวัด การวิเคราะห์ และการจัดการความรู้ มี 4 ตัวชี้วัด หมวด 5 การมุ่งเน้นบุคลากร มี 5 ตัวชี้วัด หมวด 6 การมุ่งเน้นระบบปฏิบัติการ มี 4 ตัวชี้วัด และหมวด 7 ผลลัพธ์การดำเนินการ มี 5 ตัวชี้วัด