University of Phayao

Digital Collections

ฐานข้อมูลคลังปัญญา มหาวิทยาลัยพะเยา จัดทำโดยศูนย์บรรณสารและการเรียนรู้ สถาบันนวัตกรรมการเรียนรู้ มหาวิทยาลัยพะเยา เพื่อเป็นแหล่งรวบรวม จัดเก็บและเผยแพร่ผลงานของคณาจารย์ นักวิจัย และนิสิต ของมหาวิทยาลัยพะเยา

นโยบายการรับผลงานการรับผลงานเข้าสู่ฐานข้อมูลคลังปัญญา มหาวิทยาลัยพะเยา จะคัดเลือกรับผลงานประเภทต่าง ๆ ดังต่อไปนี้

  • Theses วิทยานิพนธ์
  • Dissertations ดุษฎีนิพนธ์
  • Independent Study รายงานการค้นคว้าอิสระ
  • Technical Report รายงานการวิจัย
  • Journal Paper บทความวิจัยที่ตีพิมพ์ในบทความวารสาร
  • Bachelor’s Project ปัญหาพิเศษนักศึกษาปริญญาตรี
  • Patents สิทธิบัตร
  • Local Information Phayao Province ข้อมูลท้องถิ่นจังหวัดพะเยา
  • University of Phayao Archives จดหมายเหตุ มหาวิทยาลัยพะเยา

ติดต่อสอบถามข้อมูลหรือส่งผลงานได้ที่ UPDC Support.

Photo by @inspiredimages
 

Recent Submissions

Item
รูปแบบการบริหารโรงเรียนในยุคดิจิทัลของมูลนิธิแห่งสภาคริสตจักรในประเทศไทย
(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2024) กิตติพงษ์ เกตุโสภณ
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์หลัก เพื่อพัฒนารูปแบบการบริหารโรงเรียนในยุคดิจิทัลของมูลนิธิแห่งสภาคริสตจักรในประเทศไทย วิธีการวิจัยแบ่งออกเป็น 3 ขั้นตอน ได้แก่ ขั้นตอนที่ 1 ศึกษาแนวทางการบริหารโรงเรียนในยุคดิจิทัลของมูลนิธิแห่งสภาคริสตจักรในประเทศไทย โดยการศึกษาเอกสาร แนวคิด ทฤษฎี และงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง เพื่อนำเป็นกรอบในการสัมภาษณ์โรงเรียนที่มีแนวทางการปฏิบัติที่ดีด้านการบริหารโรงเรียนในยุคดิจิทัลด้วยการศึกษาพหุพื้นที่ (Multisite Studies) จำนวน 5 แห่ง ในลักษณะการสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้าง ขั้นตอนที่ 2 การสร้างและตรวจสอบความเหมาะสมของรูปแบบการบริหารโรงเรียนในยุคดิจิทัลของมูลนิธิแห่งสภาคริสตจักรในประเทศไทย โดยการประเมินความเหมาะสม จากผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 12 คน และขั้นตอนที่ 3 การประเมินรูปแบบการบริหารโรงเรียนในยุคดิจิทัลของมูลนิธิแห่งสภาคริสตจักรในประเทศไทย กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้บริหารโรงเรียนสังกัดมูลนิธิแห่งสภาคริสตจักรในประเทศไทย จำนวน 27 คน 27 โรงเรียน วิเคราะห์ข้อมูลโดยการหาค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัย พบว่า รูปแบบการบริหารโรงเรียนในยุคดิจิทัลของมูลนิธิสภาคริสตจักรในประเทศไทย ประกอบด้วยการบริหารงาน 4 งาน ได้แก่ 1. การบริหารงานวิชาการ 2. การบริหารงานงบประมาณ 3. การบริหารงานบุคคล 4. การบริหารงานทั่วไป โดยการบริหารงานแต่ละงานมีองค์ประกอบในการบริหารงาน 6 องค์ประกอบ คือ 1) หลักการบริหารโรงเรียนในยุคดิจิทัล 2) วัตถุประสงค์การบริหารโรงเรียนในยุคดิจิทัล 3) ปัจจัยนำเข้าการบริหารโรงเรียนในยุคดิจิทัล 4) กระบวนการบริหารโรงเรียนในยุคดิจิทัล ด้วยวงจร PDCA ได้แก่ การวางแผน (Plan) การดำเนินการ (Do) การติดตามตรวจสอบ (Check) และการปรับปรุง (Act) 5) ผลผลิตการบริหารโรงเรียนในยุคดิจิทัล และ 6) ปัจจัยความสำเร็จการบริหารโรงเรียนในยุคดิจิทัล ส่วนผลการประเมินความเหมาะสมโดยผู้ทรงคุณวุฒิมีความเห็นว่า รูปแบบการบริหารโรงเรียนในยุคดิจิทัลของมูลนิธิแห่งสภาคริสตจักรในประเทศไทยอยู่ในระดับมาก และผลการประเมินรูปแบบการบริหารโรงเรียนในยุคดิจิทัลของมูลนิธิแห่งสภาคริสตจักรในประเทศไทย โดยผู้บริหารโรงเรียนในสังกัดมูลนิธิแห่งสภาคริสตจักรในประเทศไทยมีความเห็นว่า รูปแบบมีความเป็นไปได้และมีความเป็นประโยชน์ อยู่ในระดับมาก
Item
การเพิ่มประสิทธิภาพของการไกล่เกลี่ยในชั้นพนักงานสอบสวน ตามพระราชบัญญัติการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท พ.ศ. 2562: กรณีศึกษาสถานีตำรวจภูธรในจังหวัดพะเยา
(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2024) วรุฒ อุทธวัง
การค้นคว้าด้วยตนเองนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาปัญหาที่เกิดขึ้นในการปฏิบัติงานจริงในการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทในชั้นพนักงานสอบสวน ตามพระราชบัญญัติการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท พ.ศ. 2562 เพื่อเสนอแนะทางออกและนำมาพัฒนากระบวนการไกล่เกลี่ยให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ซึ่งตามพระราชบัญญัติฉบับนี้ในชั้นพนักงานสอบสวนกำหนดให้พนักงานสอบสวนต้องแจ้งสิทธิ และจัดให้คู่พิพาทเข้าสู่กระบวนการไกล่เกลี่ย โดยมีผู้ไกล่เกลี่ยซึ่งไม่ใช่พนักงานสอบสวนผู้เป็นเจ้าของสำนวนเข้ามาทำหน้าที่เป็นคนกลางในการไกล่เกลี่ยเพื่อให้คู่กรณีสามารถตกลงกันได้ด้วยความสมัครใจ แต่ในการปฏิบัติงานจริงนั้น กลับพบว่าการไกล่เกลี่ยคดีอาญาในชั้นพนักงานสอบสวนยังขาดประสิทธิภาพ ส่งผลให้คดีดังกล่าวไม่สามารถยุติหรือสิ้นสุดลงในชั้นพนักงานสอบสวนได้ ดังนั้น เพื่อสร้างแนวทางปฏิบัติให้มีมาตรฐานและมีประสิทธิภาพ ผู้วิจัยจึงเสนอให้แก้ไขลดขั้นตอนของกฎหมายลง เพื่อทำให้ระยะเวลาการไกล่เกลี่ยแล้วเสร็จในคราวเดียวเป็นการลดภาระของคู่กรณีที่ต้องเดินทางมาพบทั้งพนักงานสอบสวน และผู้ทำการไกล่เกลี่ยภายหลัง และควรปรับปรุงสถานที่ไกล่เกลี่ยภายในสถานีตำรวจให้มีความพร้อมในการปฏิบัติงานมากขึ้น อีกทั้งควรกำหนดเป็นเชิงนโยบายเพื่อเพิ่มแรงจูงใจให้พนักงานสอบสวน เพื่อปรับกระบวนทัศน์และมุมมองที่พนักงานสอบสวนมีต่อกระบวนการไกล่เกลี่ยในชั้นพนักงานสอบสวน ตามพระราชบัญญัติการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท พ.ศ. 2562 ซึ่งเป็นกระบวนการยุติธรรมทางเลือก แต่กลับมีขั้นตอนที่มากกว่าและใช้ระยะเวลาที่นานกว่าอันแตกต่างไปจากกระบวนการยุติธรรมหลัก (เดิม) ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาคดีอาญา ที่มีขั้นตอนที่น้อยกว่าและแล้วเสร็จในคราวเดียว เพื่อให้พนักงานสอบสวนเกิดความเข้าใจ ยอมรับ ให้ความร่วมมือ ในการจัดให้มีการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทให้แก่ประชาชนมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้กระบวนการไกล่เกลี่ยในชั้นพนักงานสอบสวนมีประสิทธิภาพ ลดระยะเวลา ประหยัดค่าใช้จ่าย จำนวนคดีที่จะขึ้นสู่ชั้นศาล และประการสำคัญ คือ ลดความเลื่อมล้ำในการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมให้กับประชาชน
Item
การศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อพฤติกรรมการป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ของผู้ป่วยโรคเรื้อรังอำเภอพญาเม็งราย จังหวัดเชียงราย
(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2012) อำนาจ พันธ์พิทักษ์
การศึกษาพฤติกรรมการป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ และความสัมพันธ์กับปัจจัยที่เกี่ยวข้อง กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง 7 กลุ่ม โรคที่มารับบริการฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ในปี 2554 ในพื้นที่อำเภอพญาเม็งราย จังหวัดเชียงราย จำนวน 296 คน ข้อมูลรวบรวมโดยแบบสอบถามซึ่งแบ่งเป็น 6 ตอน คือ แบบสอบถามเกี่ยวกับข้อมูลทั่วไป ความรู้เรื่องโรคไข้หวัดใหญ่ การรับรู้ ความเสี่ยง และความรุนแรงที่มีต่อโรค ปัจจัยสนับสนุน และแรงจูงใจในการป้องกันโรค พฤติกรรมในการป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ และความคิดเห็นและข้อเสนอแนะ โดยสถิติที่ใช้ คือ t-test, ANOVA, Correlation และการถดถอยพหุคูณ (Multiple regression)
Item
ผลของการเดินถอยหลังต่อการทรงตัวในวัยรุ่นเพศหญิงที่มีภาวะน้ำหนักเกินและอ้วน
(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2019) คณิฏฐ์ษา ดวงปัญญา; ภัคจิรา โลหะภากร; พิชญาภา มงคลสิน
การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อประเมินผลการเดินถอยหลังต่อการทรงตัวในวัยรุ่นเพศหญิงที่มีภาวะน้ำหนักเกินและอ้วน โดยศึกษาในกลุ่มวัยรุ่นหญิง อายุระหว่าง 18 - 24 ปี และมีค่าดัชนีมวลกายอยู่ระหว่าง 23.0-40.0 kg/m2 จำนวน 30 คน แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม โดยวิธีการสุ่มแบบชั้นภูมิ แบ่งเป็นกลุ่มควบคุม 15 คน กลุ่มทดลอง 15 คน ในกลุ่มทดลองจะได้รับโปรแกรมการเดินถอยหลัง 15 นาทีต่อวัน 3 วันต่อสัปดาห์ เป็นระยะเวลา 4 สัปดาห์ ขณะที่กลุ่มควบคุมจะไม่ได้รับโปรแกรมการฝึกเดินถอยหลัง และใช้ชีวิตประจำวันตามปกติเป็นระยะเวลา 4 สัปดาห์ ทั้ง 2 กลุ่มจะได้รับการประเมินการทรงตัวขณะอยู่นิ่งโดยการทดสอบการยืนบนขาข้างเดียว (Single Leg Stance) และประเมินการทรงตัวขณะเคลื่อนไหวโดยการทดสอบการก้าวเท้าหลายทิศทาง (Star Excursion Balance Test; SEBT) ในช่วงก่อนและหลังการทดลอง นำผลที่ได้มาวิเคราะห์ทางสถิติโดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูป SPSS โดยกำหนดค่าความเชื่อมั่น p < 0.05 ผลการศึกษาพบว่า การทดสอบการยืนบนขาข้างเดียวในขณะลืมตา กลุ่มทดลองมีระยะเวลาในช่วงหลังการทดลองมากกว่าช่วงก่อนการทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ส่วนการทดสอบการยืนบนขาข้างเดียวในขณะหลับตา พบว่า กลุ่มทดลองมีค่าระยะเวลาในการทดสอบช่วงหลังการทดลองเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงก่อนการทดลอง และมีค่ามากกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ การทดสอบการก้าวเท้าหลายทิศทาง พบว่า ผลในการทดสอบในช่วงหลังการทดลองของขาทั้งสองข้างในกลุ่มทดลองมีค่าเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบช่วงก่อนการทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ โดยมีการเพิ่มขึ้นทั้ง 3 ทิศทาง และเมื่อเปรียบเทียบระหว่างกลุ่ม พบว่า ในช่วงหลังการทดลอง กลุ่มทดลองมีค่าในการทดสอบของขาข้างขวามากกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ โดยมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติในทิศทางด้านหน้าและด้านหลังค่อนมาทางด้านนอก แต่ทิศทางด้านหลังค่อนมาทางด้านในไม่มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ การศึกษาครั้งนี้แสดงให้เห็นว่า การเดินถอยหลังเป็นระยะเวลา 4 สัปดาห์ สามารถเพิ่มการทรงตัวในขณะอยู่นิ่งและขณะเคลื่อนไหวในวัยรุ่นหญิงที่มีภาวะน้ำหนักเกินและอ้วนได้
Item
การเพิ่มประสิทธิภาพการกำจัดเหล็กในน้ำใต้ดินโดยใช้พืช
(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2012) จักรกฤษณ์ ชัยว่อง
ระบบผลิตน้ำประปาขนาดเล็กส่วนใหญ่ใช้น้ำใต้ดินเป็นน้ำดิบในการผลิต และมักพบปัญหาการปนเปื้อนของเหล็กละลายนํ้าในปริมาณมาก ในการศึกษาครั้งนี้เป็นแนวทางการเพิ่มประสิทธิภาพในการกำจัดเหล็กในน้ำใต้ดินโดยใช้ประโยชน์จากกลไกของพืช การศึกษาใช้แบบจำลองความจุ 150 ลิตร ภายในบรรจุกรวดแม่น้ำและปลูกต้นกกราชินี (Cyperus involucratus Rottb) และมีแบบจำลองควบคุมที่ไม่ปลูกพืชเพื่อเปรียบเทียบการลดปริมาณเหล็กละลายนํ้า แบบจำลองทั้งสองควบคุมให้นํ้าไหลในแนวดิ่งในอัตราการไหล 120 ลิตรต่อชั่วโมง น้ำใต้ดินที่ใช้ในการศึกษามีปริมาณเหล็กละลายน้ำเฉลี่ย 57 มก.ต่อล. เมื่อผ่านการเติมอากาศด้วยถาดเติมอากาศแล้วค่าเหล็กละลายน้ำลดลงเหลือ 47 มก.ต่อล. ประสิทธิภาพในการกำจัดเหล็กละลายน้ำของแบบจำลองที่ปลูกพืชสูงกว่าแบบจำลองที่ไม่ได้ปลูกพืชโดยกำจัดได้ ร้อยละ 93 และร้อยละ 87 ตามลำดับ แสดงว่าพืชมีส่วนช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการกำจัดเหล็กละลายน้ำได้เป็นอย่างดี เนื่องจากพืชสามารถส่งผ่านออกซิเจนไปยังส่วนรากพืชได้ ทำให้เหล็กที่ละลายนํ้านั้นได้สัมผัสกับออกซิเจนจากรากพืชเพิ่มขึ้น และเปลี่ยนรูปกลายเป็นตะกอนเหล็ก นอกจากนี้กรวดที่บรรจุในแบบจำลองยังมีส่วนช่วยให้เกิดการดูดติดผิวของเหล็กเพิ่มมากขึ้น และการไหลผ่านชั้นกรวดในแนวดิ่งยังชะลอการไหลของนํ้าในระบบ เพื่อให้นํ้าได้มีเวลาสัมผัสกับอากาศได้มากขึ้น