University of Phayao

Digital Collections

ฐานข้อมูลคลังปัญญา มหาวิทยาลัยพะเยา จัดทำโดยศูนย์บรรณสารและการเรียนรู้ สถาบันนวัตกรรมการเรียนรู้ มหาวิทยาลัยพะเยา เพื่อเป็นแหล่งรวบรวม จัดเก็บและเผยแพร่ผลงานของคณาจารย์ นักวิจัย และนิสิต ของมหาวิทยาลัยพะเยา

นโยบายการรับผลงานการรับผลงานเข้าสู่ฐานข้อมูลคลังปัญญา มหาวิทยาลัยพะเยา จะคัดเลือกรับผลงานประเภทต่าง ๆ ดังต่อไปนี้

  • Theses วิทยานิพนธ์
  • Dissertations ดุษฎีนิพนธ์
  • Independent Study รายงานการค้นคว้าอิสระ
  • Technical Report รายงานการวิจัย
  • Journal Paper บทความวิจัยที่ตีพิมพ์ในบทความวารสาร
  • Bachelor’s Project ปัญหาพิเศษนักศึกษาปริญญาตรี
  • Patents สิทธิบัตร
  • Local Information Phayao Province ข้อมูลท้องถิ่นจังหวัดพะเยา
  • University of Phayao Archives จดหมายเหตุ มหาวิทยาลัยพะเยา

ติดต่อสอบถามข้อมูลหรือส่งผลงานได้ที่ UPDC Support.

Photo by @inspiredimages
 

Recent Submissions

Item
การคัดแยกแบคทีเรียละลายฟอสเฟตจากดิน ลำไส้ไส้เดือน และนำหมักไส้เดือน
(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2017) ชฎาทร พลศรี
คัดแยกแบคทีเรียละลายฟอสเฟตจาก 3 แหล่ง ได้แก่ ดิน ลำไส้ไส้เดือน และน้ำหมักไส้เดือน บนอาหารแข็ง Pikovskaya's medium (PVK) ในการศึกษาอิสระครั้งนี้ พบแบคทีเรีย ละลายฟอสเฟต จำนวน 94 ไอโซเลต จากนั้นนำแบคทีเรียที่คัดแยกได้มาทดสอบประสิทธิภาพในการละลายฟอสเฟตในอาหารเหลวสูตร PVK โดยเพาะเลี้ยงที่อุณหภูมิ 45 องศาเซลเซียสเป็นเวลา 7 วัน ตรวจสอบปริมาณฟอสเฟตที่ละลายได้ และค่าความเป็นกรด – ด่าง สามารถคัดเลือกแบคทีเรียที่มีประสิทธิภาพในการละลายฟอสเฟตสูงและมีค่าความเป็นกรดด่างในช่วง 5-6 ได้ 3 ไอโซเลต ได้แก่ ไอโซเลต S3, S31.2 และ EW32 ซึ่งมีค่าฟอสเฟตที่ละลายได้เท่ากับ 246.6, 665.5 และ 303.6 มิลลิกรัมต่อลิตร ตามลำดับ และค่าความเป็นกรด-ด่างเท่ากับ 5.6, 6.0 และ 5.3 ตามลำดับ จากการบ่งชี้ชนิดด้วยหาการลำดับเบส 16s rDNA พบว่า ไอโซเลต S3, S31.2 และ EW32 คือ Bacillus subtilis strain IP6, Bacillus subtilis strain B11 และ Klebsiella pneumoniae strain 26 ตามลำดับ
Item
การเจริญเติบโตของหน่อกล้วยน้ำว้าในหลอดทดลอง
(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2017) กมลวรรณ ราชพัฒน์
การเจริญเติบโตของชิ้นส่วนหน่อกล้วยน้ำว้าที่เพาะเลี้ยงในสภาพปลอดเชื้อ บนอาหารสูตร MS ดัดแปลง ที่เติมสารต้านอนุมูลอิสระ กรด Ascorbic acid และ Citric acid ความ เข้มข้น 0.1 และ 0.5 เปอร์เซ็นต์ เป็นเวลา 30 วัน พบว่า Citric acid 0.1 % สามารถป้องกันการเกิด Browning ได้ดีที่สุด และชิ้นส่วนพืชสามารถเจริญเติบโตได้ดี อาหารสูตร MS ที่เติมสารควบคุมการเจริญเติบโต Thidiazuron (TDZ) ความเข้มข้น 0, 0.1, 0.5 และ 1 มก./ล. เป็นเวลา 60 วัน พบว่า อาหารสูตร MS ที่ไม่เติม TDZ สามารถชักนำการเจริญเติบโตความสูงเฉลี่ยมากที่สุด 4.00 ซม. ชักนำการเกิดรากเฉลี่ยมากที่สุด 1.80 รากต่อต้น และชักนำการเกิดใบ เฉลี่ยมากที่สุด 2.75 ใบต่อต้น อาหารสูตร MS ดัดแปลง ที่เติมสารควบคุมการเจริญเติบโต Benzyladenine (BA) ความเข้มข้น 0, 1, 5 และ 10 มก./ล. เป็นเวลา 60 วัน พบว่า อาหารสูตร MS ที่ไม่เติม BA สามารถชักนำการเจริญเติบโตความสูงเฉลี่ยมากที่สุด 4.00 ซม. ชักนำให้เกิดรากเฉลี่ยมากที่สุด 1.80 รากต่อต้น และอาหารสูตร MS ที่เติม BA ความเข้มข้น 5 มก./ล. สามารถชักนำให้เกิดใบเฉลี่ยมากที่สุด 3.00 ใบต่อต้น และจากการทดลองทั้งหมดที่กล่าวมา พบว่า หน่อกล้วยน้ำว้าสามารถชักนำให้เกิดเป็นต้นได้สมบูรณ์
Item
การศึกษาความเป็นพิษต่อเซลล์และสารพันธุกรรมของสารสกัดใบมะละกอ โดยใช้ Allium test
(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2018) จุฑามาศ เถาปัญญา; เกตุสุดา เสนารัตน์; รุจิรา สระสงคราม
วัตถุประสงค์ของการศึกษาในครั้งนี้ คือ การตรวจสอบความเป็นพิษต่อเซลล์และสารพันธุกรรมของสารสกัดจากใบมะละกอด้วย 95% Ethanol โดยวิธี Allium test ทำการตรวจสอบอัตราการเจริญของรากหอมโดยใช้ความเข้มข้นสารสกัดจากใบมะละกอด้วย 95% Ethanol ที่ความเข้มข้น 0.25, 0.5, 1 และ 2 กรัม/ลิตร จากนั้นทำการทดสอบ ผลของความเป็นพิษต่อเซลล์และสารพันธุกรรมจากสารสกัดจากใบมะละกอที่ความเข้มข้น 0.5, 0.65, 0.87 และ 1 กรัม/ลิตร โดยวิธี Allium test การศึกษาพบว่า เมื่อความเข้มข้นของสารจากใบมะละกอเพิ่มขึ้นส่งผลให้อัตราการเจริญของรากหอมลดลง (28.87% ถึง 45.87%) จากการศึกษา %Mitotic index พบว่า สารสกัดจากใบมะละกอลดการแบ่งเซลล์ในรากหอม และผลจากความเป็นพิษต่อสารพันธุกรรม เห็นได้ว่าในสารสกัดจากใบมะละกอทุกความเข้มข้น ไม่ก่อให้เกิดความเป็นพิษต่อสารพันธุกรรม เช่นเดียวกับกลุ่มควบคุมที่ปลูกในน้ำ RO โดยมีค่าเปอร์เซ็นต์ Chromosome aberration เท่ากับ 4.85±13.81%, 4.73±0.75%, 4.55±0.76% และ 3.84±0.23% พบชนิดของ Chromosome aberration ดังนี้ Chromosome loss,C-Mitosis, Multiple chromosomes, Polyploidy, Sticky chromosome และ Chromosome fragments ดังนั้นสารสกัดจากใบมะละกอมีผลทางด้าน Cytotoxicity แต่ไม่มีผลทางด้าน Genotoxicity
Item
ผลของไคโทซานปุ๋ยอินทรีย์น้ำและน้ำจากน้ำพุร้อนต่อการเจริญเติบโตและค่าสรีรวิทยาบางประการในข้าวก่ำเมืองพะเยาที่ปลูกแบบไฮโดรโปนิกส์
(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2017) จันทร์จิรา เทียนทอง; ณัฏฐ์นรี ศิริระพร
จากการศึกษาภาวะเครียดจากการขาดธาตุอาหารของต้นกล้าข้าวก่ำเมืองพะเยาโดยใช้ระบบปลูกพืชแบบไฮโดรโพนิกส์ที่มีสารละลาย Hoagland เสริมไคโทซาน O80 (1ml/L) และเสริมปุ๋ยอินทรีย์น้ำ (2.5ml/L) พบว่า ค่าการเติบโตและค่าทางสรีรวิทยาของชุดทดลองที่ขาดธาตุอาหารมีค่าลดลงทั้งความสูงของลำต้น และน้ำหนักแห้งของส่วนยอด โดยระหว่างขาดธาตุอาหาร พบว่า ต้นกล้าที่ได้รับไคโทซาน O80 จะมีความยาวรากเพิ่มขึ้น (8.37 cm.) และอัตราส่วนระหว่างความยาวรากต่อความสูงของลำต้นได้เพิ่มขึ้น เช่นกัน (0.373) ความยาวรากและอัตราส่วนของความยาวรากต่อความสูงของลำต้นของต้นกล้าที่ได้รับไคโทซาน O80 นั้น มีค่าเป็น 2 และ 1.87 เท่าเมื่อเปรียบเทียบกับชุดการทดลองควบคุมตามลำดับ อย่างไรก็ตามต้นกล้าในชุดการทดลองที่ได้รับปุ๋ยอินทรีย์น้ำ และชุดการทดลองควบคุมแสดงค่าน้ำหนักสดและความยาวของลำต้นและรากที่คล้ายคลึงกัน แต่ในทางตรงกันข้ามค่าน้ำหนักแห้งและค่าความยาวของลำต้นของต้นกล้าข้าวจะถูกจำกัดลงเมื่อเพาะเลี้ยงต้นกล้าข้าวด้วยน้ำพุร้อน การสะสมของรงควัตถุต่าง ๆ เช่น คลอโรฟิลล์ a (1.195 เท่า), คลอโรฟิลล์ b (1.20 เท่า) และแคโรทีน (1.17 เท่า) ในต้นกล้าข้าวที่ขาดธาตุอาหารแต่เสริมด้วย chitosan O80 นั้น จะสามารถคำนวณได้จากสมการของ Lichtentaler และ Wellburn จากการวิเคราะห์ค่าความแปรปรวน (ANOVA) และการทดสอบค่าเฉลี่ยด้วยวิธีดันแคน (DMRT) พบว่า ไคโทซาน O80 สามารถกระตุ้นการเพิ่มขึ้นของความยาวของปากใบได้ 2.198 เท่า เมื่อเทียบกับชุดการทดลองควบคุม และยังเพิ่มจำนวนความหนาแน่นของปากใบต่อพื้นที่หนึ่งตารางมิลลิเมตร (18.45 เซลล์) ซึ่งการค้นพบทั้งหลายนี้ ชี้ให้เห็นถึงกลไกการทำงานของไคโทซานทีเกี่ยวข้องกับการรอดชีวิตในต้นกล้าข้าวก่ำเมืองพะเยาที่อยู่ในสภาพการขาดธาตุอาหาร
Item
ปัจจัยที่ส่งผลต่อการยอมรับนักการเมืองท้องถิ่นที่เป็นเพศหญิงของเทศบาล ตำบลเกาะคา อำเภอเกาะคา จังหวัดลำปาง
(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2019) จรุงทิพย์ คิดอ่าน
การศึกษาเรื่อง ปัจจัยที่ส่งผลต่อการยอมรับนักการเมืองท้องถิ่นที่เป็นเพศหญิงของเทศบาลตำบลเกาะคา อำเภอเกาะคา จังหวัดลำปาง มีวัตถุประสงค์ 2 ประการ คือ เพื่อศึกษาระดับการยอมรับนักการเมืองท้องถิ่นที่เป็นเพศหญิงของเทศบาลตำบลเกาะคา อำเภอเกาะคา จังหวัดลำปาง เพื่อศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อการยอมรับนักการเมืองท้องถิ่นที่เป็นเพศหญิงของเทศบาลตำบลเกาะคา อำเภอเกาะคา จังหวัดลำปาง ประชากรที่ใช้ในการศึกษา ได้แก่ ประชากรผู้มีสิทธิเลือกตั้งในเขตเทศบาลตำบลเกาะคา อำเภอเกาะคา จังหวัดลำปาง จำนวน 7 หมู่บ้าน ในการกำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างได้มา 369 คน การเก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม ใช้ค่าสถิติเชิงพรรณนา วิเคราะห์ข้อมูลหาค่าสถิติ ค่าร้อยละ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่า Chi-square test โดยใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์สำเร็จรูปเพื่อการวิเคราะห์ โดยกำหนดระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ผลการศึกษาพบว่า ระดับการยอมรับนักการเมืองท้องถิ่นที่เป็นเพศหญิงของเทศบาลตำบลเกาะคา อำเภอเกาะคา จังหวัดลำปาง โดยภาพรวมทั้ง 6 ด้าน อยู่ในระดับมาก คือ คุณลักษณะทางด้านคุณธรรมจริยธรรม รองลงมา คือ คุณลักษณะด้านการบริหาร คุณลักษณะทางด้านพฤติกรรม คุณลักษณะด้านความคิด คุณลักษณะทางด้านความรู้ และคุณลักษณะด้านจิตใจ ตามลำดับ การยอมรับนักการเมืองท้องถิ่นที่เป็นเพศหญิงของเทศบาลตำบลเกาะคา อำเภอเกาะคา จังหวัดลำปาง จำแนกตาม เพศ อายุ ระดับการศึกษา อาชีพ และตำแหน่งหน้าที่ทางสังคม มีผลต่อการ ยอมรับนักการเมืองท้องถิ่นที่เป็นเพศหญิง ทั้ง 5 ด้าน แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05 ยกเว้นด้านคุณลักษณะทางด้านความรู้มีค่า Chi-square test เท่ากับ 13.308a ค่า Sig. = 0.102 ซึ่งมากกว่าระดับนัยสำคัญ 0.05 นั่นคือ ยอมรับสมมติฐานหลัก H0 ปฏิเสธสมมติฐานรอง H1 หมายถึง ปัจจัยส่วนบุคคลด้านตำแหน่งหน้าที่ทางสังคม กับปัจจัยคุณลักษณะของนักการเมืองหญิง คุณลักษณะทางด้านความรู้ ไม่มีผลต่อการยอมรับนักการเมืองท้องถิ่นที่เป็นเพศหญิงของเทศบาลตำบลเกาะคา อำเภอเกาะคา จังหวัดลำปาง ข้อเสนอแนะ ข้อเสนอเชิงนโยบาย 1) องค์กร หรือหน่วยงานทุกภาคส่วนแต่ละหน่วยควรจัดโครงการ หรือสัมมนาเกี่ยวกับบทบาทผู้นำสตรี ทั้งของจังหวัดลำปาง และจังหวัดอื่น ๆ ซึ่งจะทำให้กลุ่มสตรีได้รับการพัฒนา และเป็นพลังการพัฒนาของชาติต่อไป 2) ควรศึกษาระดับ ยอมรับนักการเมืองท้องถิ่นที่เป็นเพศหญิงในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในบริบทเดียวกัน หรือต่างบริบทออกไปในพื้นที่อำเภอ หรือจังหวัดอื่น ๆ เพื่อส่งเสริมการยอมรับนักการเมืองท้องถิ่นที่เป็นเพศหญิงในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้มากยิ่งขึ้น โดยนำตัวบ่งชี้ไปพัฒนา ปรับปรุงให้เข้ากับบริบทของพื้นที่นั้น ๆ 3) ผลการวิจัยระดับการยอมรับนักการเมืองท้องถิ่นที่เป็นเพศหญิงในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในครั้งนี้เป็นประโยชน์ และแนวทางในการศึกษาระดับการยอมรับนักการเมืองท้องถิ่นที่เป็นเพศหญิง ให้ผู้ที่สนใจได้นำไปเป็นต้นแบบ และต่อยอดงานวิจัยและพัฒนาครั้งต่อไป ข้อเสนอแนะในการทำวิจัยครั้งต่อไป ควรศึกษาปัญหาและแนวทางการพัฒนาบทบาทหน้าที่ และการทำงานของผู้หญิง และควรศึกษาระดับการยอมรับบทบาทผู้นำสตรีในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่ที่ต่างออกไป เพื่อเป็นการต่อยอดงานวิจัย เช่น จากการศึกษาในอำเภออาจเป็นระดับจังหวัด หรือหนึ่งประเทศ"