University of Phayao

Digital Collections

ฐานข้อมูลคลังปัญญา มหาวิทยาลัยพะเยา จัดทำโดยศูนย์บรรณสารและการเรียนรู้ สถาบันนวัตกรรมการเรียนรู้ มหาวิทยาลัยพะเยา เพื่อเป็นแหล่งรวบรวม จัดเก็บและเผยแพร่ผลงานของคณาจารย์ นักวิจัย และนิสิต ของมหาวิทยาลัยพะเยา

นโยบายการรับผลงานการรับผลงานเข้าสู่ฐานข้อมูลคลังปัญญา มหาวิทยาลัยพะเยา จะคัดเลือกรับผลงานประเภทต่าง ๆ ดังต่อไปนี้

  • Theses วิทยานิพนธ์
  • Dissertations ดุษฎีนิพนธ์
  • Independent Study รายงานการค้นคว้าอิสระ
  • Technical Report รายงานการวิจัย
  • Journal Paper บทความวิจัยที่ตีพิมพ์ในบทความวารสาร
  • Bachelor’s Project ปัญหาพิเศษนักศึกษาปริญญาตรี
  • Patents สิทธิบัตร
  • Local Information Phayao Province ข้อมูลท้องถิ่นจังหวัดพะเยา
  • University of Phayao Archives จดหมายเหตุ มหาวิทยาลัยพะเยา

ติดต่อสอบถามข้อมูลหรือส่งผลงานได้ที่ UPDC Support.

Photo by @inspiredimages
 

Recent Submissions

Item
ผลของการเดินถอยหลังต่อการทรงตัวในวัยรุ่นเพศหญิงที่มีภาวะน้ำหนักเกินและอ้วน
(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2019) คณิฏฐ์ษา ดวงปัญญา; ภัคจิรา โลหะภากร; พิชญาภา มงคลสิน
การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อประเมินผลการเดินถอยหลังต่อการทรงตัวในวัยรุ่นเพศหญิงที่มีภาวะน้ำหนักเกินและอ้วน โดยศึกษาในกลุ่มวัยรุ่นหญิง อายุระหว่าง 18 - 24 ปี และมีค่าดัชนีมวลกายอยู่ระหว่าง 23.0-40.0 kg/m2 จำนวน 30 คน แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม โดยวิธีการสุ่มแบบชั้นภูมิ แบ่งเป็นกลุ่มควบคุม 15 คน กลุ่มทดลอง 15 คน ในกลุ่มทดลองจะได้รับโปรแกรมการเดินถอยหลัง 15 นาทีต่อวัน 3 วันต่อสัปดาห์ เป็นระยะเวลา 4 สัปดาห์ ขณะที่กลุ่มควบคุมจะไม่ได้รับโปรแกรมการฝึกเดินถอยหลัง และใช้ชีวิตประจำวันตามปกติเป็นระยะเวลา 4 สัปดาห์ ทั้ง 2 กลุ่มจะได้รับการประเมินการทรงตัวขณะอยู่นิ่งโดยการทดสอบการยืนบนขาข้างเดียว (Single Leg Stance) และประเมินการทรงตัวขณะเคลื่อนไหวโดยการทดสอบการก้าวเท้าหลายทิศทาง (Star Excursion Balance Test; SEBT) ในช่วงก่อนและหลังการทดลอง นำผลที่ได้มาวิเคราะห์ทางสถิติโดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูป SPSS โดยกำหนดค่าความเชื่อมั่น p < 0.05 ผลการศึกษาพบว่า การทดสอบการยืนบนขาข้างเดียวในขณะลืมตา กลุ่มทดลองมีระยะเวลาในช่วงหลังการทดลองมากกว่าช่วงก่อนการทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ส่วนการทดสอบการยืนบนขาข้างเดียวในขณะหลับตา พบว่า กลุ่มทดลองมีค่าระยะเวลาในการทดสอบช่วงหลังการทดลองเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงก่อนการทดลอง และมีค่ามากกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ การทดสอบการก้าวเท้าหลายทิศทาง พบว่า ผลในการทดสอบในช่วงหลังการทดลองของขาทั้งสองข้างในกลุ่มทดลองมีค่าเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบช่วงก่อนการทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ โดยมีการเพิ่มขึ้นทั้ง 3 ทิศทาง และเมื่อเปรียบเทียบระหว่างกลุ่ม พบว่า ในช่วงหลังการทดลอง กลุ่มทดลองมีค่าในการทดสอบของขาข้างขวามากกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ โดยมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติในทิศทางด้านหน้าและด้านหลังค่อนมาทางด้านนอก แต่ทิศทางด้านหลังค่อนมาทางด้านในไม่มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ การศึกษาครั้งนี้แสดงให้เห็นว่า การเดินถอยหลังเป็นระยะเวลา 4 สัปดาห์ สามารถเพิ่มการทรงตัวในขณะอยู่นิ่งและขณะเคลื่อนไหวในวัยรุ่นหญิงที่มีภาวะน้ำหนักเกินและอ้วนได้
Item
การเพิ่มประสิทธิภาพการกำจัดเหล็กในน้ำใต้ดินโดยใช้พืช
(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2012) จักรกฤษณ์ ชัยว่อง
ระบบผลิตน้ำประปาขนาดเล็กส่วนใหญ่ใช้น้ำใต้ดินเป็นน้ำดิบในการผลิต และมักพบปัญหาการปนเปื้อนของเหล็กละลายนํ้าในปริมาณมาก ในการศึกษาครั้งนี้เป็นแนวทางการเพิ่มประสิทธิภาพในการกำจัดเหล็กในน้ำใต้ดินโดยใช้ประโยชน์จากกลไกของพืช การศึกษาใช้แบบจำลองความจุ 150 ลิตร ภายในบรรจุกรวดแม่น้ำและปลูกต้นกกราชินี (Cyperus involucratus Rottb) และมีแบบจำลองควบคุมที่ไม่ปลูกพืชเพื่อเปรียบเทียบการลดปริมาณเหล็กละลายนํ้า แบบจำลองทั้งสองควบคุมให้นํ้าไหลในแนวดิ่งในอัตราการไหล 120 ลิตรต่อชั่วโมง น้ำใต้ดินที่ใช้ในการศึกษามีปริมาณเหล็กละลายน้ำเฉลี่ย 57 มก.ต่อล. เมื่อผ่านการเติมอากาศด้วยถาดเติมอากาศแล้วค่าเหล็กละลายน้ำลดลงเหลือ 47 มก.ต่อล. ประสิทธิภาพในการกำจัดเหล็กละลายน้ำของแบบจำลองที่ปลูกพืชสูงกว่าแบบจำลองที่ไม่ได้ปลูกพืชโดยกำจัดได้ ร้อยละ 93 และร้อยละ 87 ตามลำดับ แสดงว่าพืชมีส่วนช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการกำจัดเหล็กละลายน้ำได้เป็นอย่างดี เนื่องจากพืชสามารถส่งผ่านออกซิเจนไปยังส่วนรากพืชได้ ทำให้เหล็กที่ละลายนํ้านั้นได้สัมผัสกับออกซิเจนจากรากพืชเพิ่มขึ้น และเปลี่ยนรูปกลายเป็นตะกอนเหล็ก นอกจากนี้กรวดที่บรรจุในแบบจำลองยังมีส่วนช่วยให้เกิดการดูดติดผิวของเหล็กเพิ่มมากขึ้น และการไหลผ่านชั้นกรวดในแนวดิ่งยังชะลอการไหลของนํ้าในระบบ เพื่อให้นํ้าได้มีเวลาสัมผัสกับอากาศได้มากขึ้น
Item
การประเมินการบริหารงานการเงินและบัญชีเทศบาลตำบลเชียงม่วน อำเภอเชียงม่วน จังหวัดพะเยา
(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2012) ลำเนา เร่งเร็ว
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อประเมินการบริหารงานการเงินและบัญชี เทศบาลตำบลเชียงม่วน อำเภอเชียงม่วน จังหวัดพะเยา โดยเก็บแบบสอบถามจากผู้ใช้บริการงานการเงินและบัญชี และพนักงานเทศบาล ตำบลเชียงม่วน อำเภอเชียงมวน จังหวัดพะเยา ได้กลุ่มตัวอย่าง จำนวนทั้งสิ้น 200 คน ได้ผลการวิจัยดังนี้ ผู้ศึกษาเก็บแบบสอบถามจาก ผู้ใช้บริการงานการเงินและบัญชี และพนักงานเทศบาลตำบลเชียงม่วน อำเภอเชียงม่วน จังหวัดพะเยา ข้อมูลส่วนบุคคล พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เป็นเพศชาย รองลงมา เป็นเพศหญิง มีอายุระหว่าง 31 - 40 ปี รองลงมา มีอายุระหว่าง 20-30 ปี มีการศึกษาระดับต่ำกว่าอนุปริญญาหรือปวส. รองลงมา มีการศึกษาระดับอนุปริญญาหรือปวส. มีรายได้ 10,001 – 15,000 บาท รองลงมา มีรายได้ต่ำกว่า 10,000 บาท ค่าเฉลี่ยในภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.29 ด้านที่มีค่าเฉลี่ยระดับ การบริหารงานการเงินและบัญชี มากที่สุด คือ ด้านผลการดำเนินงาน และด้านการติดตามประเมินผล มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.31 อยู่ในระดับมากที่สุด รองลงมา คือ ด้านการมีส่วนร่วมงานการเงินและบัญชี มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.29 อยู่ในระดับมากที่สุด ด้านโครงสร้างงานการเงินและบัญชี มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.28 และในส่วนด้านที่มีระดับการบริหารงานการเงินและบัญชี ต่ำที่สุด คือ ด้านการบริหารจัดการงานการเงินและบัญชี มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.27
Item
การอนุรักษ์และขยายพันธุ์กล้วยไม้สกุลหวายและว่านหัวครูในสภาพปลอดเชื้อ
(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2012) ชุติมา ใจเพ็ชร
การศึกษาการขยายพันธุ์เพื่อเพิ่มจำนวนอย่างรวดเร็วของเอื้องกิ่งดำ (Dendrobium gratiosissimum) เอื้องช้างน้าว (D. pulchellum) เอื้องแซะภูกระดึง (D. christyanum) และว่านหัวครู (Eulophia spectabilis) ด้วยเทคนิค thin cell layers (TCLs) ในสภาพหลอดทดลอง โดยนำโปรโตคอร์มอายุ 4 สัปดาห์ ผ่าแบ่งครึ่ง และแต่ละครึ่งถือว่าเป็นตัวอย่างพืช จากนั้นนำตัวอย่างพืชเพาะเลี้ยงบนอาหารสูตร MS (Murashige and Skoog) ที่เติม N6-benzyl adenine (BA), kinetin (Kn) และ α-naphthaleneacetic acid (NAA) ที่ความเข้มข้นต่างกัน ร่วมกับน้ำตาลซูโครส 20 กรัมต่อลิตร พบว่า ตัวอย่างพืชของเอื้องช้างน้าว และเอื้องแซะภูกระดึงไม่สามารถเกิด protocorm like bodies (PLBs) ได้เมื่อเพาะเลี้ยงบนอาหาร MS ที่ปราศจากสารควบคุมการเจริญเติบโต ส่วนตัวอย่างพืชของเอื้องกิ่งดำ และว่านหัวครูสามารถพัฒนาเป็น PLBs ภายใน 3 ถึง 4 สัปดาห์ บนอาหาร MS ที่เติมสารควบคุมการเจริญเติบโต สำหรับการชักนำให้เกิด PLBs ของเอื้องกิ่งดำ เอื้องแซะภูกระดึง และว่านหัวครู มีประสิทธิภาพมากที่สุดบนอาหารที่เติม Kn ความเข้มข้น 2 มิลลิกรัมต่อลิตร ขณะที่อาหารที่เติม BA ความเข้มข้น 1 มิลลิกรัมต่อลิตร เหมาะสมสำหรับการชักนำให้เกิด PLBs ในเอื้องช้างน้าว จากนั้นอนุบาลต้นพืชที่เกิดขึ้นใหม่ และย้ายสู่โรงเรือน
Item
ภาพลักษณ์ของเทศบาลตำบลตามการรับรู้ของประชาชนในเขตเทศบาลตำบลบ้านต๊ำ อำเภอเมือง จังหวัดพะเยา
(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2013) จันจิรา ปิงยอง
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาถึงการรับรู้ภาพลักษณ์ในแต่ละด้านของเทศบาลตำบลบ้านต๊ำ อำเภอเมือง จังหวัดพะเยา ประกอบด้วย ด้านผู้บริหาร ด้านบุคลากร ด้านการบริหารงบประมาณ ด้านประสิทธิภาพการบริการ ด้านการมีส่วนร่วมของประชาชน และด้านอาคารสถานที่ ทำการสุ่มตัวอย่างจากประชาชนที่อาศัยอยู่ในเขตเทศบาลตำบลบ้านต๊ำ อำเภอเมือง จังหวัดพะเยา จำนวน 380 คน เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม และทำการวิเคราะห์ข้อมูลทางสถิติโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ การแจกแจงความถี่ (Frequency) ค่าเฉลี่ย (Means) และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard deviation) และสถิติเชิงอนุมาน (Inferential statics) ได้แก่ การทดสอบความแตกต่างค่าเฉลี่ย 2 กลุ่มอิสระ (Independent sample t-test) และการวิเคราะห์ความแปรปรวนแบบจำแนกทางเดียว (One-way ANOVA) ผลการศึกษาพบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นเพศชาย มีอายุอยู่ระหว่าง 51 ถึง 60 ปี จบการศึกษาระดับประถมศึกษา ประกอบอาชีพเกษตรกร และมีรายได้เฉลี่ยต่อเดือนอยู่ระหว่าง 9,001 ถึง 12,000 บาท โดยภาพรวมการรับรู้ภาพลักษณ์ในแต่ละด้านของประชาชน อยู่ในระดับมาก เมื่อเรียงคะแนนการรับรู้ภาพลักษณ์ตามค่าเฉลี่ยจากมากไปน้อย พบว่า ด้านประสิทธิภาพการบริการมีค่าเฉลี่ยมากที่สุด รองลงมา ได้แก่ ด้านการมีส่วนร่วมของประชาชน ด้านอาคารสถานที่ ด้านบุคลากร ด้านการบริหารงบประมาณ และด้านผู้บริหาร ตามลำดับ แต่เมื่อเปรียบเทียบความแตกต่างของการรับรู้ภาพลักษณ์ของประชาชนจำแนกตามลักษณะทางประชากรศาสตร์ พบว่า ภาพลักษณ์ในแต่ละด้านไม่แตกต่าง อย่างไรก็ตามระดับการศึกษาประชาชนมีแนวโน้มที่มีผลต่อการรับรู้ภาพลักษณ์ในด้านผู้บริหาร (P-value = 0.071) โดยการศึกษาระดับปริญญาตรีมีค่าเฉลี่ยสูงที่สุด นอกจากนี้ยังพบว่า เพศมีแนวโน้มที่มีผลต่อการรับรู้ของภาพลักษณ์ในด้านบุคลากร (P-value = 0.082) โดยเพศหญิงมีค่าเฉลี่ยในการรับรู้สูงกว่าเพศชาย