University of Phayao

Digital Collections

ฐานข้อมูลคลังปัญญา มหาวิทยาลัยพะเยา จัดทำโดยศูนย์บรรณสารและการเรียนรู้ สถาบันนวัตกรรมการเรียนรู้ มหาวิทยาลัยพะเยา เพื่อเป็นแหล่งรวบรวม จัดเก็บและเผยแพร่ผลงานของคณาจารย์ นักวิจัย และนิสิต ของมหาวิทยาลัยพะเยา

นโยบายการรับผลงานการรับผลงานเข้าสู่ฐานข้อมูลคลังปัญญา มหาวิทยาลัยพะเยา จะคัดเลือกรับผลงานประเภทต่าง ๆ ดังต่อไปนี้

  • Theses วิทยานิพนธ์
  • Dissertations ดุษฎีนิพนธ์
  • Independent Study รายงานการค้นคว้าอิสระ
  • Technical Report รายงานการวิจัย
  • Journal Paper บทความวิจัยที่ตีพิมพ์ในบทความวารสาร
  • Bachelor’s Project ปัญหาพิเศษนักศึกษาปริญญาตรี
  • Patents สิทธิบัตร
  • Local Information Phayao Province ข้อมูลท้องถิ่นจังหวัดพะเยา
  • University of Phayao Archives จดหมายเหตุ มหาวิทยาลัยพะเยา

ติดต่อสอบถามข้อมูลหรือส่งผลงานได้ที่ UPDC Support.

Photo by @inspiredimages
 

Recent Submissions

Item
การศึกษาความเป็นพิษต่อเซลล์และสารพันธุกรรมของสารสกัดใบมะละกอ โดยใช้ Allium test
(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2018) จุฑามาศ เถาปัญญา; เกตุสุดา เสนารัตน์; รุจิรา สระสงคราม
วัตถุประสงค์ของการศึกษาในครั้งนี้ คือ การตรวจสอบความเป็นพิษต่อเซลล์และสารพันธุกรรมของสารสกัดจากใบมะละกอด้วย 95% Ethanol โดยวิธี Allium test ทำการตรวจสอบอัตราการเจริญของรากหอมโดยใช้ความเข้มข้นสารสกัดจากใบมะละกอด้วย 95% Ethanol ที่ความเข้มข้น 0.25, 0.5, 1 และ 2 กรัม/ลิตร จากนั้นทำการทดสอบ ผลของความเป็นพิษต่อเซลล์และสารพันธุกรรมจากสารสกัดจากใบมะละกอที่ความเข้มข้น 0.5, 0.65, 0.87 และ 1 กรัม/ลิตร โดยวิธี Allium test การศึกษาพบว่า เมื่อความเข้มข้นของสารจากใบมะละกอเพิ่มขึ้นส่งผลให้อัตราการเจริญของรากหอมลดลง (28.87% ถึง 45.87%) จากการศึกษา %Mitotic index พบว่า สารสกัดจากใบมะละกอลดการแบ่งเซลล์ในรากหอม และผลจากความเป็นพิษต่อสารพันธุกรรม เห็นได้ว่าในสารสกัดจากใบมะละกอทุกความเข้มข้น ไม่ก่อให้เกิดความเป็นพิษต่อสารพันธุกรรม เช่นเดียวกับกลุ่มควบคุมที่ปลูกในน้ำ RO โดยมีค่าเปอร์เซ็นต์ Chromosome aberration เท่ากับ 4.85±13.81%, 4.73±0.75%, 4.55±0.76% และ 3.84±0.23% พบชนิดของ Chromosome aberration ดังนี้ Chromosome loss,C-Mitosis, Multiple chromosomes, Polyploidy, Sticky chromosome และ Chromosome fragments ดังนั้นสารสกัดจากใบมะละกอมีผลทางด้าน Cytotoxicity แต่ไม่มีผลทางด้าน Genotoxicity
Item
ผลของไคโทซานปุ๋ยอินทรีย์น้ำและน้ำจากน้ำพุร้อนต่อการเจริญเติบโตและค่าสรีรวิทยาบางประการในข้าวก่ำเมืองพะเยาที่ปลูกแบบไฮโดรโปนิกส์
(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2017) จันทร์จิรา เทียนทอง; ณัฏฐ์นรี ศิริระพร
จากการศึกษาภาวะเครียดจากการขาดธาตุอาหารของต้นกล้าข้าวก่ำเมืองพะเยาโดยใช้ระบบปลูกพืชแบบไฮโดรโพนิกส์ที่มีสารละลาย Hoagland เสริมไคโทซาน O80 (1ml/L) และเสริมปุ๋ยอินทรีย์น้ำ (2.5ml/L) พบว่า ค่าการเติบโตและค่าทางสรีรวิทยาของชุดทดลองที่ขาดธาตุอาหารมีค่าลดลงทั้งความสูงของลำต้น และน้ำหนักแห้งของส่วนยอด โดยระหว่างขาดธาตุอาหาร พบว่า ต้นกล้าที่ได้รับไคโทซาน O80 จะมีความยาวรากเพิ่มขึ้น (8.37 cm.) และอัตราส่วนระหว่างความยาวรากต่อความสูงของลำต้นได้เพิ่มขึ้น เช่นกัน (0.373) ความยาวรากและอัตราส่วนของความยาวรากต่อความสูงของลำต้นของต้นกล้าที่ได้รับไคโทซาน O80 นั้น มีค่าเป็น 2 และ 1.87 เท่าเมื่อเปรียบเทียบกับชุดการทดลองควบคุมตามลำดับ อย่างไรก็ตามต้นกล้าในชุดการทดลองที่ได้รับปุ๋ยอินทรีย์น้ำ และชุดการทดลองควบคุมแสดงค่าน้ำหนักสดและความยาวของลำต้นและรากที่คล้ายคลึงกัน แต่ในทางตรงกันข้ามค่าน้ำหนักแห้งและค่าความยาวของลำต้นของต้นกล้าข้าวจะถูกจำกัดลงเมื่อเพาะเลี้ยงต้นกล้าข้าวด้วยน้ำพุร้อน การสะสมของรงควัตถุต่าง ๆ เช่น คลอโรฟิลล์ a (1.195 เท่า), คลอโรฟิลล์ b (1.20 เท่า) และแคโรทีน (1.17 เท่า) ในต้นกล้าข้าวที่ขาดธาตุอาหารแต่เสริมด้วย chitosan O80 นั้น จะสามารถคำนวณได้จากสมการของ Lichtentaler และ Wellburn จากการวิเคราะห์ค่าความแปรปรวน (ANOVA) และการทดสอบค่าเฉลี่ยด้วยวิธีดันแคน (DMRT) พบว่า ไคโทซาน O80 สามารถกระตุ้นการเพิ่มขึ้นของความยาวของปากใบได้ 2.198 เท่า เมื่อเทียบกับชุดการทดลองควบคุม และยังเพิ่มจำนวนความหนาแน่นของปากใบต่อพื้นที่หนึ่งตารางมิลลิเมตร (18.45 เซลล์) ซึ่งการค้นพบทั้งหลายนี้ ชี้ให้เห็นถึงกลไกการทำงานของไคโทซานทีเกี่ยวข้องกับการรอดชีวิตในต้นกล้าข้าวก่ำเมืองพะเยาที่อยู่ในสภาพการขาดธาตุอาหาร
Item
ปัจจัยที่ส่งผลต่อการยอมรับนักการเมืองท้องถิ่นที่เป็นเพศหญิงของเทศบาล ตำบลเกาะคา อำเภอเกาะคา จังหวัดลำปาง
(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2019) จรุงทิพย์ คิดอ่าน
การศึกษาเรื่อง ปัจจัยที่ส่งผลต่อการยอมรับนักการเมืองท้องถิ่นที่เป็นเพศหญิงของเทศบาลตำบลเกาะคา อำเภอเกาะคา จังหวัดลำปาง มีวัตถุประสงค์ 2 ประการ คือ เพื่อศึกษาระดับการยอมรับนักการเมืองท้องถิ่นที่เป็นเพศหญิงของเทศบาลตำบลเกาะคา อำเภอเกาะคา จังหวัดลำปาง เพื่อศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อการยอมรับนักการเมืองท้องถิ่นที่เป็นเพศหญิงของเทศบาลตำบลเกาะคา อำเภอเกาะคา จังหวัดลำปาง ประชากรที่ใช้ในการศึกษา ได้แก่ ประชากรผู้มีสิทธิเลือกตั้งในเขตเทศบาลตำบลเกาะคา อำเภอเกาะคา จังหวัดลำปาง จำนวน 7 หมู่บ้าน ในการกำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างได้มา 369 คน การเก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม ใช้ค่าสถิติเชิงพรรณนา วิเคราะห์ข้อมูลหาค่าสถิติ ค่าร้อยละ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่า Chi-square test โดยใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์สำเร็จรูปเพื่อการวิเคราะห์ โดยกำหนดระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ผลการศึกษาพบว่า ระดับการยอมรับนักการเมืองท้องถิ่นที่เป็นเพศหญิงของเทศบาลตำบลเกาะคา อำเภอเกาะคา จังหวัดลำปาง โดยภาพรวมทั้ง 6 ด้าน อยู่ในระดับมาก คือ คุณลักษณะทางด้านคุณธรรมจริยธรรม รองลงมา คือ คุณลักษณะด้านการบริหาร คุณลักษณะทางด้านพฤติกรรม คุณลักษณะด้านความคิด คุณลักษณะทางด้านความรู้ และคุณลักษณะด้านจิตใจ ตามลำดับ การยอมรับนักการเมืองท้องถิ่นที่เป็นเพศหญิงของเทศบาลตำบลเกาะคา อำเภอเกาะคา จังหวัดลำปาง จำแนกตาม เพศ อายุ ระดับการศึกษา อาชีพ และตำแหน่งหน้าที่ทางสังคม มีผลต่อการ ยอมรับนักการเมืองท้องถิ่นที่เป็นเพศหญิง ทั้ง 5 ด้าน แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05 ยกเว้นด้านคุณลักษณะทางด้านความรู้มีค่า Chi-square test เท่ากับ 13.308a ค่า Sig. = 0.102 ซึ่งมากกว่าระดับนัยสำคัญ 0.05 นั่นคือ ยอมรับสมมติฐานหลัก H0 ปฏิเสธสมมติฐานรอง H1 หมายถึง ปัจจัยส่วนบุคคลด้านตำแหน่งหน้าที่ทางสังคม กับปัจจัยคุณลักษณะของนักการเมืองหญิง คุณลักษณะทางด้านความรู้ ไม่มีผลต่อการยอมรับนักการเมืองท้องถิ่นที่เป็นเพศหญิงของเทศบาลตำบลเกาะคา อำเภอเกาะคา จังหวัดลำปาง ข้อเสนอแนะ ข้อเสนอเชิงนโยบาย 1) องค์กร หรือหน่วยงานทุกภาคส่วนแต่ละหน่วยควรจัดโครงการ หรือสัมมนาเกี่ยวกับบทบาทผู้นำสตรี ทั้งของจังหวัดลำปาง และจังหวัดอื่น ๆ ซึ่งจะทำให้กลุ่มสตรีได้รับการพัฒนา และเป็นพลังการพัฒนาของชาติต่อไป 2) ควรศึกษาระดับ ยอมรับนักการเมืองท้องถิ่นที่เป็นเพศหญิงในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในบริบทเดียวกัน หรือต่างบริบทออกไปในพื้นที่อำเภอ หรือจังหวัดอื่น ๆ เพื่อส่งเสริมการยอมรับนักการเมืองท้องถิ่นที่เป็นเพศหญิงในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้มากยิ่งขึ้น โดยนำตัวบ่งชี้ไปพัฒนา ปรับปรุงให้เข้ากับบริบทของพื้นที่นั้น ๆ 3) ผลการวิจัยระดับการยอมรับนักการเมืองท้องถิ่นที่เป็นเพศหญิงในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในครั้งนี้เป็นประโยชน์ และแนวทางในการศึกษาระดับการยอมรับนักการเมืองท้องถิ่นที่เป็นเพศหญิง ให้ผู้ที่สนใจได้นำไปเป็นต้นแบบ และต่อยอดงานวิจัยและพัฒนาครั้งต่อไป ข้อเสนอแนะในการทำวิจัยครั้งต่อไป ควรศึกษาปัญหาและแนวทางการพัฒนาบทบาทหน้าที่ และการทำงานของผู้หญิง และควรศึกษาระดับการยอมรับบทบาทผู้นำสตรีในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่ที่ต่างออกไป เพื่อเป็นการต่อยอดงานวิจัย เช่น จากการศึกษาในอำเภออาจเป็นระดับจังหวัด หรือหนึ่งประเทศ"
Item
ความสัมพันธ์ระหว่างการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศกับการปฏิบัติงานวิชาการของครูในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 1
(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2019) นภา ภูมิอาวาส
การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมาย เพื่อ 1) ศึกษาสภาพการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศของครูในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 1 2) ศึกษาระดับการปฏิบัติงานวิชาการของครูในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 1 3) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศกับการปฏิบัติงานวิชาการของครูในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 1 และ 4) ศึกษาการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศที่ส่งผลต่อการปฏิบัติงานวิชาการของครูในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 1 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ ครูในโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 1 ปีการศึกษา 2562 จำนวนครู 266 คน ซึ่งได้มาจากการสุ่มแบบแบ่งชั้นเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม แบบมาตรประมาณค่า 5 ระดับ หาค่าความตรงเชิงเนื้อหา มีค่าระหว่าง 0.67-1.00 มีค่าความเที่ยง เท่ากับ 0.89 การวิเคราะห์ข้อมูลใช้การคำนวณค่าเฉลี่ยเลขคณิต ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าความสัมพันธ์อย่างง่าย และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ ผลการวิจัย พบว่า 1) การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศของครูในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 1 โดยภาพรวมและรายด้าน อยู่ในระดับมาก 2) การปฏิบัติงานวิชาการของครูในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 1 โดยภาพรวมและรายด้าน อยู่ในระดับมาก 3) ความสัมพันธ์ระหว่างการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศกับการปฏิบัติงานวิชาการของครูในสถานศึกษา โดยภาพรวมและรายด้าน พบว่า มีความสัมพันธ์เชิงบวกอยู่ในระดับกลางถึงสูง (r มีค่าระหว่าง 0.666-0.793, p<0.01) และ 4) ด้านระบบและอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ และด้านการบริหารจัดการ สามารถทำนายการปฏิบัติงานวิชาการของครูได้ ร้อยละ 70.6 น้ำหนักการทำนายเป็น 0.427 และ 0.385 ตามลำดับ
Item
ความสัมพันธ์ของรูปแบบการปฏิบัติงานที่บ้านกับวัฒนธรรมองค์กรของบุคลากรสายสนับสนุน กลุ่มคณะด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพ มหาวิทยาลัยพะเยา
(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2023) อังคณา สงเคราะห์
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อ 1) ศึกษาความสัมพันธ์ของรูปแบบการปฏิบัติงานที่บ้านกับวัฒนธรรมองค์กรของบุคลากรสายสนับสนุน กลุ่มคณะด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพ มหาวิทยาลัยพะเยา 2) จัดทำแนวทางการปฏิบัติงานที่บ้านที่เสริมสร้างวัฒนธรรมองค์กรของบุคลากรสายสนับสนุน กลุ่มคณะด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพ มหาวิทยาลัยพะเยา เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ ประชากรที่ศึกษา คือ บุคลากรสายสนับสนุนกลุ่มคณะด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพ จำนวน 160 คน คัดเลือกกลุ่มตัวอย่างด้วยวิธีของทาโร่ ยามาเน่ เก็บแบบสอบถามโดยวิธีการสุ่มอย่างง่ายใช้สถิติ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน T-test, F-test และค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน ผลการศึกษาพบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง อายุระหว่าง 31–40 ปี ตำแหน่งงานเป็นพนักงานระดับปฏิบัติการ และอายุการทำงาน 6-10 ปี ทั้งนี้บุคลากร ที่มีเพศ อายุ ตำแหน่งงาน และอายุการทำงาน ต่างกันมีความสัมพันธ์กับวัฒนธรรมองค์กรไม่แตกต่างกัน ผลการศึกษาตามวัตถุประสงค์ข้อที่ 1) รูปแบบการปฏิบัติงานที่บ้านมีความสัมพันธ์กับวัฒนธรรมองค์กรของบุคลากรสายสนับสนุน กลุ่มคณะด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพ มหาวิทยาลัยพะเยา เชิงบวกในระดับปานกลาง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 ผลการศึกษาตามวัตถุประสงค์ข้อที่ 2) แนวทางการปฏิบัติงานที่บ้านที่เสริมสร้างวัฒนธรรมองค์กร ได้แก่ 1) องค์กรควรสนับสนุนและส่งเสริมให้บุคลากรได้พัฒนาความรู้และความสามารถการใช้เทคโนโลยีและแอปพลิเคชันให้เพิ่มมากขึ้น รวมทั้งอบรมแนวทางในการปฏิบัติงานที่บ้านเพื่อสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ดีและเหมาะสมให้กับบุคลากร 2) พัฒนาบุคลากรด้านสุขภาพทั้งทางกายและใจ โดยจัดกิจกรรมการพูดคุยแลกเปลี่ยนทางออนไลน์ การทำงานเป็นทีม การให้รางวัลเพื่อเสริมสร้างสุขภาพจิตและขวัญกำลังใจ 3) พัฒนาเทคโนโลยีและระบบสารสนเทศขององค์กรให้มีประสิทธิภาพสอดคล้องกับรูปแบบการทำงานที่บ้านมากยิ่งขึ้น