University of Phayao

Digital Collections

ฐานข้อมูลคลังปัญญา มหาวิทยาลัยพะเยา จัดทำโดยศูนย์บรรณสารและการเรียนรู้ สถาบันนวัตกรรมการเรียนรู้ มหาวิทยาลัยพะเยา เพื่อเป็นแหล่งรวบรวม จัดเก็บและเผยแพร่ผลงานของคณาจารย์ นักวิจัย และนิสิต ของมหาวิทยาลัยพะเยา

นโยบายการรับผลงานการรับผลงานเข้าสู่ฐานข้อมูลคลังปัญญา มหาวิทยาลัยพะเยา จะคัดเลือกรับผลงานประเภทต่าง ๆ ดังต่อไปนี้

  • Theses วิทยานิพนธ์
  • Dissertations ดุษฎีนิพนธ์
  • Independent Study รายงานการค้นคว้าอิสระ
  • Technical Report รายงานการวิจัย
  • Journal Paper บทความวิจัยที่ตีพิมพ์ในบทความวารสาร
  • Bachelor’s Project ปัญหาพิเศษนักศึกษาปริญญาตรี
  • Patents สิทธิบัตร
  • Local Information Phayao Province ข้อมูลท้องถิ่นจังหวัดพะเยา
  • University of Phayao Archives จดหมายเหตุ มหาวิทยาลัยพะเยา

ติดต่อสอบถามข้อมูลหรือส่งผลงานได้ที่ UPDC Support.

Photo by @inspiredimages
 

Recent Submissions

Item
การนำนโยบายการส่งเสริมมาตรฐานความปลอดภัยของรถรับส่งนักเรียนของสำนักงานขนส่งจังหวัดลำปาง ไปปฏิบัติในเขตพื้นที่อำเภอเมืองลำปาง จังหวัดลำปาง
(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2020) กนกวรรณ ชัยมงคล
การศึกษา การนำนโยบายการส่งเสริมมาตรฐานความปลอดภัยของรถรับส่งนักเรียนของสำนักงานขนส่งจังหวัดลำปาง ไปปฏิบัติในเขตพื้นที่อำเภอเมืองลำปาง จังหวัดลำปาง มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาการนำนโยบายการส่งเสริมมาตรฐานความปลอดภัยของรถรับส่งนักเรียนของสำนักงานขนส่งจังหวัดลำปางไปปฏิบัติ และศึกษาพฤติกรรมการปฏิบัติตามมาตรฐานความปลอดภัยของรถรับส่งนักเรียนของผู้ขับขี่รถรับส่งนักเรียน ในเขตพื้นที่อำเภอเมืองลำปาง จังหวัดลำปาง จากการส่งเสริมของสำนักงานขนส่งจังหวัดลำปาง กลุ่มตัวอย่าง คือ กลุ่มผู้ให้ข้อมูลหลัก คือ ผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ของสำนักงานขนส่งจังหวัดลำปาง จำนวน 5 คน ใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบเฉพาะเจาะจง เก็บข้อมูลโดยการสัมภาษณ์วิเคราะห์ข้อมูลโดยการบรรยายเชิงพรรณนา และกลุ่มผู้ขับขี่รถรับส่งนักเรียนในพื้นที่การดูแลของสำนักงานขนส่งจังหวัดลำปาง ใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบบังเอิญ จำนวน 139 แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลด้วยค่าร้อยละ (%) ค่าเฉลี่ยทางสถิติ (X̅) ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และความแปรปรวน (S2) ผลการศึกษาแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ดังนี้ การนำนโยบายการส่งเสริมมาตรฐานความปลอดภัยของรถรับส่งนักเรียนไปสู่ปฏิบัติของสำนักงานขนส่งจังหวัดลำปาง ตามสมรรถนะขององค์การในการนำนโยบายไปปฏิบัติ 5 ปัจจัย (วรเดช จันทรศร, 2552) ด้านโครงสร้าง ความพร้อมในการบังคับใช้กฎหมาย การให้ความรู้ มีการทำงานแบบบูรณาการร่วมกันกับภาคีเครือข่าย และมีการประชาสัมพันธ์ อย่างต่อเนื่อง ด้านบุคลากร มีบุคลากรที่ทำหน้าที่ควบคุม กำกับ และออกใบอนุญาตใช้รถรับส่งนักเรียน และสนับสนุนการนำนโยบายไปปฏิบัติ ด้านงบประมาณ ไม่ได้รับการจัดสรรงบประมาณสำหรับนโยบายนี้โดยเฉพาะ ด้านสถานที่ เป็นสถานที่ที่ใช้ในการปฏิบัติภารกิจ มีความเหมาะสม และมีความพร้อมในการให้บริการ ด้านวัสดุอุปกรณ์ ไม่มีความจำเป็นต้องใช้วัสดุ อุปกรณ์ เนื่องจากเป็นการกำกับ ติดตาม และสามารถใช้ของเดิมที่มีอยู่มาประยุกต์ใช้ได้ และพฤติกรรมการปฏิบัติเกี่ยวกับความปลอดภัยของผู้ขับขี่รถรับส่งนักเรียน โดยภาพรวมอยู่ในระดับการปฏิบัติบ่อยครั้ง ผลการทดสอบสมมติฐาน ปัจจัยส่วนบุคคลที่ส่งผลต่อพฤติกรรมการปฏิบัติตามมาตรฐานความปลอดภัยของผู้ขับขี่รถรับส่งนักเรียนที่แตกต่าง พบว่า ไม่แตกต่างกัน และในส่วนการรับรู้ส่งผลต่อพฤติกรรมการปฏิบัติตามมาตรฐานความปลอดภัยของผู้ขับขี่รถรับส่งนักเรียนที่แตกต่าง พบว่า ในด้านความรู้ความเข้าใจเบื้องต้นเกี่ยวกับความปลอดภัยของรถรับส่งนักเรียน แตกต่างกัน และในด้านการรับรู้เกี่ยวกับความปลอดภัยของรถรับส่งนักเรียน ไม่แตกต่างกัน ซึ่งมีผลมาจากการที่สำนักงานขนส่ง จังหวัดลำปาง มีโครงสร้างหน่วยงานที่มีความพร้อม มีปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จในการนำนโยบายไปปฏิบัติ ทั้งด้านบุคลากร ด้านงบประมาณ ด้านวัสดุอุปกรณ์ เครื่องมือ เครื่องใช้ และด้านสถานที่
Item
นโยบายการพัฒนาคุณภาพชีวิตในการทำงานของพนักงานเทศบาลตำบลแม่กา อำเภอเมือง จังหวัดพะเยา
(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2020) ปวีณา โตไทย
การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อ 1) ศึกษานโยบายที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาคุณภาพชีวิตในการทำงานของพนักงานเทศบาลตำบลแม่กา 2) ศึกษาระดับความคิดเห็นของพนักงานต่อการดำเนินนโยบายที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาคุณภาพชีวิตในการทำงานของพนักงานเทศบาลตำบลแม่กา อำเภอเมือง จังหวัดพะเยา ด้วยการวิจัยเชิงปริมาณโดยใช้แบบสอบถาม ประชากรที่ใช้ในการศึกษา ได้แก่ พนักงานเทศบาลตำบลแม่กา จำนวนทั้งสิ้น 131 คน คำนวณกลุ่มตัวอย่างโดยใช้สูตรของ Taro Yamane ได้จำนวน 99 คน วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าสถิติเชิงพรรณนา ประกอบด้วยค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ทดสอบสมมติฐานการวิจัย โดยใช้สถิติ t-test และ f-test หรือ One-way ANOVA ผลการวิจัยพบว่า เทศบาลแม่กามีนโยบายที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาคุณภาพชีวิตในการทำงาน ตามแนวคิดของ Walton, R.E. (1973) ได้แก่ 1) ด้านค่าตอบแทนที่เพียงพอและยุติธรรม 2) ด้านสุขภาพและความปลอดภัยในการทำงาน 3) ด้านการพัฒนาความรู้ความสามารถของพนักงาน 4) ด้านความมั่นคงและความก้าวหน้าในการทำงาน 5) ด้านคุณค่าทางสังคมและการทำงานร่วมกัน 6) ด้านความยุติธรรมในหน่วยงาน 7) ด้านความสมดุลระหว่างชีวิตกับการทำงาน 8) ด้านความรับผิดชอบต่อสังคม สำหรับระดับความคิดเห็นต่อการดำเนินนโยบายที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาคุณภาพชีวิตในการทำงานโดยภาพรวม อยู่ในระดับมาก (ค่าเฉลี่ย= 3.51) และเมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน จะมีระดับความคิดเห็นต่อนโยบายโดยรวมอยู่ในระดับมาก 4 ด้าน คือ ด้านสุขภาพและความปลอดภัยในการทำงาน ด้านการพัฒนาความรู้ความสามารถของพนักงาน ด้านความยุติธรรมในหน่วยงาน และด้านความรับผิดชอบต่อสังคม และมีระดับความคิดเห็นต่อการดำเนินนโยบายโดยรวมอยู่ในระดับปานกลางที่ควรต้องปรับปรุง 4 ด้าน คือ ด้านค่าตอบแทนที่เพียงพอและเป็นธรรม ด้านความมั่นคงและก้าวหน้าในงาน ด้านคุณค่าทางสังคมหรือการทำงานร่วมกัน และด้านความสมดุลระหว่างชีวิตกับการทำงาน ผลการทดสอบสมมติฐานการวิจัยพบว่าพนักงานเทศบาลตำบลแม่กา ที่มีเพศ สถานภาพสมรส ระดับการศึกษา ระยะเวลาปฏิบัติงาน และมีรายได้ต่อเดือนที่แตกต่างกัน มีระดับความคิดเห็นต่อนโยบายที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาคุณภาพชีวิตในการทำงานของพนักงานโดยรวมไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ยกเว้นที่ มีอายุแตกต่างกัน มีความคิดเห็นต่อนโยบายที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาคุณภาพชีวิตในการทำงานของพนักงานเทศบาลตำบล โดยรวมแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05
Item
การจัดการขยะแบบมีส่วนร่วมของชุมชนวัดน้ำผึ้งชาวไร่อ้อย ตำบลศาลา อำเภอเกาะคา จังหวัดลำปาง
(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2020) ณัฐภัทร โพติ๊ดพันธุ์
การศึกษาเรื่อง การจัดการขยะแบบมีส่วนร่วมของชุมชนวัดน้ำผึ้งชาวไร่อ้อย ตำบลศาลา อำเภอเกาะคา จังหวัดลำปาง มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาปัจจัยการจัดการขยะแบบมีส่วนร่วมของชุมชนวัดน้ำผึ้งชาวไร่อ้อย 2) ศึกษาปัญหา และอุปสรรคในการจัดการขยะของชุมชนวัดน้ำผึ้งชาวไร่อ้อย 3) เสนอแนะแนวทางการจัดการขยะแบบมีส่วนร่วมไปใช้ประโยชน์ในพื้นที่อื่น ใช้ระเบียบวิธีวิจัยแบบผสม (Mix methods research) ประกอบด้วยการวิจัยเชิงปริมาณ ประชากรที่ใช้ในการศึกษา คือ ประชาชนที่อาศัยในเขตพื้นที่ตำบลศาลา ตำบลเกาะคา ตำบลท่าผา อำเภอเกาะคา จังหวัดลำปาง จำนวน 5,030 คน กำหนดกลุ่มตัวอย่างโดยหลักการคำนวณของ Taro Yamane ที่ระดับความเชื่อมั่น 95% ได้กลุ่มตัวอย่าง 370 คน สำหรับการวิจัยเชิงคุณภาพกำหนดกลุ่มผู้ให้ข้อมูลสำคัญแบบเจาะจง จำนวน 4 คน ได้แก่ นายกเทศมนตรีเทศบาลตำบลเกาะคา รองปลัดเทศบาลตำบลเกาะคา เจ้าอาวาสวัดน้ำผึ้งชาวไร่อ้อย และประธานกลุ่มกิจกรรมการจัดการขยะ เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา ได้แก่ แบบสอบถามปลายปิดและปลายเปิด แบบสัมภาษณ์เชิงลึกแบบกึ่งมีโครงสร้าง การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์เนื้อหา (Content Analysis) ผลการวิจัย พบว่า การจัดการขยะแบบมีส่วนร่วมของชุมชนวัดน้ำผึ้งชาวไร่อ้อย ตำบลศาลา อำเภอเกาะคา จังหวัดลำปางมีปัจจัยของการจัดการขยะแบบมีส่วนร่วมประกอบด้วย ปัจจัยด้านความรู้เกี่ยวกับการจัดการขยะ ซึ่งกลุ่มตัวอย่างมีความรู้ ความเข้าใจในเรื่องการบริหารจัดการขยะอยู่ในระดับมากที่สุด (84.48%) และปัจจัยด้านการมีส่วนร่วมในการจัดการขยะ มีระดับการมีส่วนร่วมในการจัดการขยะอยู่ในระดับมาก โดยแยกเป็นรายข้อ ดังนี้ 1) มีส่วนร่วมในการค้นหาปัญหา (ค่าเฉลี่ย 4.2) 2) มีส่วนร่วมในการวางแผน (ค่าเฉลี่ย 3.90) 3) มีส่วนร่วมในการติดตามแผน (ค่าเฉลี่ย 3.91) 4) มีส่วนร่วมในการรับประโยชน์ (ค่าเฉลี่ย 3.56) 2.5) มีส่วนร่วมในการติดตาม และประเมินผล (ค่าเฉลี่ย 3.28) ปัญหาและอุปสรรคในการจัดการขยะของชุมชน ได้แก่ การคัดแยกขยะทำได้ไม่ดีพอ ต้องการให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการคัดแยกขยะมากขึ้น และต้องการให้ประชาชนช่วยกันคัดแยกขยะก่อนทิ้ง เริ่มตั้งแต่ที่บ้านตัวเองก่อน เพื่อเป็นการลดปริมาณขยะต้นทาง และเป็นวิธีการลดปริมาณขยะที่ได้ผลดีที่สุด สำหรับแนวทางในการจัดการขยะแบบมีส่วนร่วมของชุมชนวัดน้ำผึ้งชาวไร่อ้อย ตำบลศาลา อำเภอเกาะคา จังหวัดลำปาง คือ การสร้างให้เกิดการเรียนรู้ร่วมกันของประชาชนในชุมชน และเกิดความตระหนักร่วมว่า ขยะเป็นปัญหาสาธารณะ ทำให้เกิดเป็นชุมชนที่เข้มแข็ง และสร้างการมีส่วนร่วมผ่านจิตสำนึกสาธารณะของคนในชุมชน โดยให้คนในชุมชนมีส่วนเกี่ยวข้องโดยสมัครใจในทุกกิจกรรมทุกขั้นตอน
Item
บทบาทในการดําเนินตามนโยบายแก้ไขปัญหาหมอกควันของผู้นําชุมชน กรณีศึกษา ตําบลแม่กา อําเภอเมือง จังหวัดพะเยา
(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2019) วรินยุพา คงสนุ่น
การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษา 1) บทบาทในการดำเนินนโยบายแก้ไขปัญหาหมอกควันของผู้นำชุมชน 2) สภาพแวดล้อมเงื่อนไขของการทำงานเพื่อบรรลุนโยบายสาธารณะอันส่งผลต่อการแก้ไขปัญหาหมอกควันของผู้นำชุมชน 3) นำเสนอแนวทางการเสริมสร้างบทบาทในการดำเนินนโยบายแก้ไขปัญหาหมอกควันของผู้นำชุมชน โดยมีกรณีศึกษาที่ตำบลแม่กา อำเภอเมือง จังหวัดพะเยา งานวิจัยชิ้นนี้เป็นงานวิจัยเชิงคุณภาพ โดยรวบรวมข้อมูลระดับปฐมภูมิจากกลุ่มผู้ให้ข้อมูลหลัก 3 กลุ่ม ได้แก่ ผู้นำชุมชน (ผู้ใหญ่บ้าน) รวม 18 หมู่บ้าน จำนวน 18 คน ตัวแทนชุมชน จาก 18 หมู่บ้าน หมู่บ้านละ 2 คน จำนวน 36 คน และตัวแทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง 8 หน่วยงาน หน่วยงานละ 1 คน จำนวน 8 คน ได้แก่ ตัวแทนอำเภอ เทศบาลตำบลแม่กา กรมป่าไม้ กองทัพบก กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดพะเยา สถานีพัฒนาที่ดิน โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลแม่กา และมหาวิทยาลัยพะเยา เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูล ได้แก่ แบบสัมภาษณ์เชิงลึก ผลการศึกษาการแก้ไขปัญหาหมอกควันในตำบลแม่กา พบว่า ภาครัฐส่วนกลางเน้นการรวมศูนย์อำนาจในการสั่งการแบบบนลงล่าง ภาครัฐสั่งการให้หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องสนับสนุนให้ผู้นำชุมชนมีบทบาทในการแก้ไขปัญหาดังกล่าวใน 5 ประเด็น ได้แก่ การประชาสัมพันธ์ การปลูกจิตสำนึก การเสริมสร้างการมีส่วนร่วมของคนในชุมชน การจัดทำประชาคม และการจัดทำข้อตกลงชุมชน นอกจากนี้ ผลการศึกษาเรื่องบทบาทผู้นำชุมชน พบว่า ผู้นำชุมชนตําบลแม่กา เป็นผู้นำแบบผู้ตามมีส่วนร่วม และผู้นำตามสถานการณ์ที่เน้นการรักษาสัมพันธภาพ ผู้นำชุมชนพยายามเปิดพื้นที่ให้สมาชิกชุมชนเข้าไปมีส่วนร่วม ในการแก้ปัญหาหมอกควันผ่านกิจกรรมต่าง ๆ อย่างไรก็ตาม ผู้นำชุมชนมีพฤติกรรมที่มุ่งรักษาสัมพันธภาพภายในชุมชนมากกว่าประสิทธิภาพในการแก้ไขปัญหา เพราะผู้นำชุมชนต้องการหลีกเลี่ยงความขัดแย้ง อุปสรรคและปัญหาที่พบ คือ การดำเนินการแก้ไขปัญหาหมอกควันแบบรัฐรวมศูนย์ การเน้นการสั่งการจากภาครัฐส่วนกลาง ให้ผู้นำชุมชนดำเนินนโยบายตามที่ภาครัฐได้กำหนดไว้ ส่งผลให้ผู้นำและคนในชุมชนไม่สามารถสะท้อนอุปสรรคต่าง ๆ ในการแก้ไขปัญหาให้ภาครัฐส่วนกลางได้รับรู้ และปรับเปลี่ยนนโยบายให้สอดคล้องกับสภาพปัญหาที่เกิดขึ้นจริง ประการนี้จึงส่งผลต่อการขาดการมีส่วนร่วมของคนในชุมชนในการแก้ปัญหาหมอกควัน อีกทั้งส่วนกลางมิได้อำนวยความสะดวกในการปฏิบัติงาน โดยเฉพาะเรื่องการจัดสรรงบประมาณ และบุคลากรผู้เชี่ยวชาญในภาระงานที่ต้องการความรู้ความสามารถทางเทคนิคสำหรับแนวทางการแก้ไขปัญหาหมอกควัน เพื่อให้ผู้นำชุมชนได้รับความร่วมมือจากคนในชุมชน ภาครัฐส่วนกลางควรสนับสนุนการกระจายอำนาจในการกำหนดนโยบาย ยิ่งไปกว่านั้นผู้นำชุมชนตำบลแม่กา ควรปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมการแก้ไขปัญหาที่โดยเน้นการเป็น ผู้นำแบบให้มีส่วนร่วม ผู้นำแบบส่งเสริมความร่วมมือ และผู้นำแบบประชาธิปไตย เพื่อนำไปสู่การแก้ไขหมอกควันในตำบลแม่กาที่มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล
Item
ศึกษาสภาพการดำเนินงานบริหารสถานศึกษาตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงของโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 24 จังหวัด สังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ
(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2022) นวพล คมบาง
การวิจัยครั้งนี้วัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาแนวทางเพิ่มเติมเกี่ยวกับสภาพการดำเนินงานบริหารสถานศึกษา ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงของโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 24 จังหวัดพะเยา สังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ คณะกรรมการสถานศึกษา ผู้บริหาร และครู รวมทั้งสิ้น 100 คน เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถาม มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.91 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า 1) สภาพการดำเนินงานบริหารสถานศึกษาตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงของโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 24 จังหวัดพะเยา สังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก และเมื่อพิจารณารายด้าน พบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ด้านการบริหารงานพัฒนาบุคลากร รองลงมา คือ ด้านการจัดกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน และด้านการพัฒนาหลักสูตรและการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ตามลำดับ ส่วนด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือ ด้านการบริหารจัดการสถานศึกษา 2) ข้อเสนอแนะเพิ่มเติมด้านการบริหารจัดการสถานศึกษา พบว่า ข้อที่ตอบมากที่สุด คือ สถานศึกษาควรนำมาใช้ในการบริหารจัดการส่งเสริมให้มีกิจกรรมที่เกี่ยวข้องมีแหล่งเรียนรู้ สถานศึกษามีการบริหารจัดการโดยใช้หลักการของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง นำผลการติดตามไปพัฒนาแผนงาน โครงการ กิจกรรมด้านวิชาการที่ส่งเสริมการบูรณาการปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงสู่การเรียนการสอน ด้านการพัฒนาหลักสูตรและการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ พบว่า ข้อที่ตอบมากที่สุด คือ จัดทำรายงานผลการประเมินการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่บูรณาการ หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้ให้ผู้เรียนได้รับทราบ ด้านการจัดกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน พบว่า ข้อที่ตอบมากที่สุด คือ สถานศึกษาให้ผู้เรียนสามารถนำไปใช้ในชีวิตจำวัน กิจกรรมที่ทำให้นักเรียนได้รู้ ได้เห็น และลงมือทำ มีการสอดแทรกหลักของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน กิจกรรมพัฒนาผู้เรียน มีแผนงานส่งเสริมกิจกรรมนักเรียนให้อยู่อย่างพอเพียงมีแนวทาง คือ จัดประชุมเพื่อร่วมแสดงความคิดเห็นในการจัดทำแผนงาน กิจกรรมตลอดภาคการศึกษา และสอดคล้องกับสภาพภูมิสังคม และบริบทของสถานศึกษา และด้านการพัฒนาบุคลากร พบว่า ข้อที่ตอบมากที่สุด คือ สถานศึกษาส่งเสริมให้มีการออม สร้างแรงบันดาลใจ มีเเหล่งเรียนรู้ที่พร้อมให้การช่วยเหลือ สถานศึกษามีการบริหารโดยส่งเสริมและพัฒนาบุคลากรให้ดำเนินชีวิตโดยใช้หลักการของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาประยุกต์ใช้ ทั้งในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนและการดำเนินชีวิต จัดกิจกรรมส่งเสริมการดำเนินชีวิต และการปฏิบัติภารกิจหน้าที่ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงแก่บุคลากรของสถานศึกษา