University of Phayao
Digital Collections
ฐานข้อมูลคลังปัญญา มหาวิทยาลัยพะเยา จัดทำโดยศูนย์บรรณสารและการเรียนรู้ สถาบันนวัตกรรมการเรียนรู้ มหาวิทยาลัยพะเยา เพื่อเป็นแหล่งรวบรวม จัดเก็บและเผยแพร่ผลงานของคณาจารย์ นักวิจัย และนิสิต ของมหาวิทยาลัยพะเยา
นโยบายการรับผลงานการรับผลงานเข้าสู่ฐานข้อมูลคลังปัญญา มหาวิทยาลัยพะเยา จะคัดเลือกรับผลงานประเภทต่าง ๆ ดังต่อไปนี้
- Theses วิทยานิพนธ์
- Dissertations ดุษฎีนิพนธ์
- Independent Study รายงานการค้นคว้าอิสระ
- Technical Report รายงานการวิจัย
- Journal Paper บทความวิจัยที่ตีพิมพ์ในบทความวารสาร
- Bachelor’s Project ปัญหาพิเศษนักศึกษาปริญญาตรี
- Patents สิทธิบัตร
- Local Information Phayao Province ข้อมูลท้องถิ่นจังหวัดพะเยา
- University of Phayao Archives จดหมายเหตุ มหาวิทยาลัยพะเยา
ติดต่อสอบถามข้อมูลหรือส่งผลงานได้ที่ UPDC Support.

Communities in DSpace
Select a community to browse its collections.
Recent Submissions
Item
การศึกษารูปแบบการเรียนรู้ของนิสิตกายภาพบำบัด
(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2013) กฤษณา สอนศิริ; คัลธียา จันอ้น; นงค์นุช ไชยดรุณ
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษารูปแบบการเรียนรู้ของนิสิตกายภาพบำบัด มหาวิทยาลัยพะเยา ที่กำลังศึกษาในภาคการศึกษาที่ 1 ปีการศึกษา 2556 นิสิตชั้นปีที่ 1-4 (195 คน) ถูกขอให้ตอบแบบวัดรูปแบบการเรียนรู้ ซึ่งแบ่งรูปแบบการเรียนรู้ออกเป็น 7 ประเภท ได้แก่ 1) แบบพึ่งตนเอง 2) แบบแลกเปลี่ยน 3) แบบหลบหลีก 4) แบบผู้นำ 5) แบบกำหนดความคิด 6) แบบสร้างโอกาส และ 7) แบบเพิ่มพูนปัญญา ผลการศึกษา พบว่า นิสิตชั้นปีที่ 1, 3 และ 4 ส่วนใหญ่มีรูปแบบการเรียนรู้แบบแลกเปลี่ยนมากที่สุด (ร้อยละ 34.78, 35.42 และ 44.00 ตามลำดับ) และนิสิตชั้นปีที่ 2 ส่วนใหญ่มีรูปแบบการเรียนรู้แบบกำหนดความคิดมากที่สุด (ร้อยละ 28.57) แม้ว่ารูปแบบการเรียนรู้ของนิสิตกายภาพบำบัดมีความหลากหลาย แต่ผลการศึกษานี้มีประโยชน์สำหรับการเรียนการสอนตามแนวคิดการเรียนรู้โดยเน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง
Item
ผลของอุปกรณ์นวดกดจุดที่พัฒนาจากลูกเทนนิสต่อขีดกั้นระดับความเจ็บปวดด้วยแรงกดและองศาการเคลื่อนไหวของคอในบุคลากรที่มีอาการปวดกล้ามเนื้อคอและบ่าจากการทำงาน
(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2016) ทิพวรรณ ยอดทน; นัตชนก เขียวระวงค์
การนั่งทำงานอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานถือเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดความตึงตัวของกล้ามเนื้อคอและบ่า ส่งผลให้เกิดอาการปวดขึ้นและนำไปสู่การลดลงขององศาการเคลื่อนไหวของคอ วัตถุประสงค์ของการศึกษานี้ คือ ศึกษาถึงผลของการนวดกล้ามเนื้อคอและบ่าด้วยอุปกรณ์นวดด้วยลูกเทนนิสที่ได้พัฒนาขึ้นใหม่ต่อระดับความเจ็บปวด (Visual analog scale ; VAS) ระดับขีดกั้นความรู้สึกเจ็บปวดด้วยแรงกด (Pressure pain threshold : PPT) และองศาการเคลื่อนไหวของคอ (Cervical range of motion : CROM) ในบุคลากรวัยทำงานที่มีอาการปวดกล้ามเนื้อคอและบ่าจากการทำงาน จำนวน 28 คน อายุ 21-43 ปี (เพศชาย 4 คน เพศหญิง 24 คน) โดยอาสาสมัครมีอาการปวดกล้ามเนื้อคอและบ่าทั้งสองข้างจากการทำงานกับหน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานมากกว่า 4 ชั่วโมงต่อวัน และมีอาการมาแล้วอย่างน้อย 5 เดือน อาสาสมัครถูกวัดระดับความรู้สึกเจ็บปวด (VAS) และระดับขีดกั้นความรู้สึกเจ็บปวดด้วยแรงกด (PPT) โดยใช้เครื่อง Digital pressure algometer และการวัดองศาการเคลื่อนไหวของคอ (CROM) โดยใช้เครื่อง Fluid inclinometer ทั้งก่อนและหลังการนวดด้วยอุปกรณ์นวดที่พัฒนาจากลูกเทนนิส เป็นเวลา 2 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 3 ครั้ง ใช้สถิติ Pair sample t-test ในการวิเคราะห์ตัวแปรระดับขีดกั้นความรู้สึกเจ็บปวดด้วยแรงกด และองศาการเคลื่อนไหวของคอใช้สถิติ Wilcoxon singed rank test ในการวิเคราะห์ตัวแปรระดับความรู้สึกเจ็บปวด เพื่อหาความแตกต่างระหว่างก่อนและหลังการนวด ผลการศึกษานี้พบว่า ระดับความรู้สึกเจ็บปวดมีค่าลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < 0.001) ส่วนระดับขีดกั้นความรู้สึกเจ็บปวดด้วยแรงกด และองศาการเคลื่อนไหวของคอมีค่าเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < 0.001) จากการศึกษานี้สรุปได้ว่า การนวดด้วยอุปกรณ์นวดที่พัฒนาจากลูกเทนนิสสามารถช่วยลดอาการปวดและเพิ่มองศาการเคลื่อนไหวของคอในบุคลากรวัยทำงานที่มีอาการปวดกล้ามเนื้อคอและบ่าจากการทำงานได้
Item
ความสัมพันธ์ระหว่างดัชนีมวลกาย เปอร์เซ็นต์ไขมันในร่างกายและสมรรถภาพปอดในวัยรุ่นหญิงที่มีน้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์และน้ำหนักปกติ
(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2014) กมลชนก โกเมฆ; จารุกร เจริญกุล; อัมพวัน คำสุทธะ
จากการสำรวจสุขภาพของประชาชนไทย พบว่า เด็กวัยรุ่นไทยอายุ 15 ปีขึ้นไป มีภาวะผอมในผู้หญิงร้อยละ 17.2 และมีแนวโน้มมากขึ้นเรื่อยๆ ใกล้เคียงกันทั้งในเขตเมืองและชนบท ลักษณะของวัยรุ่นที่มีภาวะผอมหรือมีน้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์จะมีไขมันสะสมในร่างกายน้อย รูปร่างซูบผอม มีมวลกล้ามเนื้อที่น้อย ทำให้มีผลต่อประสิทธิภาพการทำงานของปอดลดลง อย่างไรก็ตามผลของสมรรถภาพปอดในผู้ที่มีดัชนีมวลกายและเปอร์เซ็นต์ไขมันในร่างกายต่ำ ยังมีการศึกษาไม่เป็นที่แพร่หลาย การศึกษานี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อ เปรียบเทียบสมรรถภาพปอดของวัยรุ่นหญิงที่มีน้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์และวัยรุ่นหญิงที่มีน้ำหนักปกติ และศึกษาความสัมพันธ์ของค่าดัชนีมวลกายกับค่าสมรรถภาพปอด และเปอร์เซ็นต์ไขมันในร่างกาย กับสมรรถภาพปอด โดยทำการศึกษาในนิสิตเพศหญิงมหาวิทยาลัยพะเยา อายุ 20-22 ปี จำนวน 40 คน เป็นกลุ่มวัยรุ่นหญิงที่มีน้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์จำนวน 20 คน และวัยรุ่นหญิงที่มีน้ำหนักปกติ จำนวน 20 คน ทั้งสองกลุ่มจะได้ทำการชั่งน้ำหนัก วัดส่วนสูง วัดเปอร์เซ็นต์ไขมันในร่างกายและทดสอบสมรรถภาพปอด จากการศึกษาพบว่า วัยรุ่นที่มีน้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์และน้ำหนักปกติมีค่าสมรรถภาพปอดไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (P>0.05) และดัชนีมวลกายและเปอร์เซ็นต์ไขมันในร่างกายไม่มีความสัมพันธ์กันกับค่าสมรรถภาพปอดอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (P>0.05) ยกเว้นค่า FVC ที่มีความสัมพันธ์ในเชิงบวกกับค่าดัชนีมวลกายและเปอร์เซ็นต์ไขมันในร่างกาย และ FEV1/FVC มีความสัมพันธ์ในเชิงลบกับค่าดัชนีมวลกายและเปอร์เซ็นต์ไขมันในร่างกาย การศึกษานี้แสดงให้เห็นถึงผลกระทบของน้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์ ซึ่งอาจจะทำให้เกิดปัญหาเกี่ยวกับสมรรถภาพปอด ดังนั้นควรให้ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับ ผลของการมีน้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์ต่อสมรรถภาพปอดและตระหนักถึงภาวะสุขภาพของตนเองและควรจะสนับสนุนให้วัยรุ่นดูแลสุขภาพของตัวเองให้มากขึ้นด้วย
Item
ผลของระดับกิจกรรมทางกายต่อความสามารถในการไอของผู้สูงอายุ
(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2016) ชรินรัตน์ จูเกษม; ยุทธพงค์ หมื่นศรีพรม
ที่มาและความสำคัญ: ระบบทางเดินหายใจเป็นระบบที่สำคัญของร่างกาย เมื่ออายุเพิ่มขึ้นจะมีการเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยา เช่น ความยืดหยุ่นของปอดลดลง ทางเดินหายใจตีบ แคบ ความจุปอดลดลง ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อหายใจลดลง ผนังทรวงอกติดแข็งเพิ่มขึ้น ส่งผลต่อประสิทธิภาพการถ่ายเทอากาศและการแลกเปลี่ยนอากาศภายในปอด การทำกิจกรรมทางกายเป็นปัจจัยสำคัญต่อการทำงานของกล้ามเนื้อหายใจเข้าและออก ดังนั้นทำกิจกรรมทางกายเป็นประจำ อาจจะไปเพิ่มการทำงานของกล้ามเนื้อหายใจ ส่งผลให้ไอได้อย่างมีประสิทธิภาพ วัตถุประสงค์: เพื่อเปรียบเทียบผลของระดับการทำกิจกรรมทางกายต่อความสามารถในการไอผู้สูงอายุ วิธีการศึกษา: ผู้สูงอายุเพศชายและเพศหญิง จำนวน 40 ราย แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่มีกิจกรรมทางกายอยู่ในระดับสูง (จำนวน 20 คน) และกลุ่มที่มีกิจกรรมทางกายอยู่ในระดับปานกลาง (จำนวน 20 คน) ตามเกณฑ์ของแบบประเมิน Composite Physical Functions อาสาสมัครทั้งหมดจะได้รับการประเมินภาวะสุขภาพเบื้องต้น ประเมินความสามารถในการไอ โดยวัดค่าอัตราเร็วสูงสุดของการไอ (Peak Expiratory Flow; PCF) และค่าอัตราการไหลของอากาศขณะหายใจออกสูงสุด (Peak Expiratory Flow rate; PEFR) โดยใช้เครื่องวัดความเร็วสุด (Peak Flow Meter) รวมถึงประเมินความสามารถในการทำกิจกรรทางกาย โดยการทดสอบการเดิน 6 นาที (Six Minute Walk test; 6MWT) แล้วนำค่าที่ได้ไปวิเคราะห์ข้อมูล ผลการศึกษา: อาสาสมัครกลุ่มที่มีกิจกรรมทางกายอยู่ในระดับสูงมีอัตราสูงสุดของการไอ และค่าอัตราการไหลของอากาศขณะหายใจออกสูงสุด มากกว่ากลุ่มที่มีกิจกรรมทางกายอยู่ในระดับปานกลางอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (PCF, 369.50±82.94 และ 365.45±89.36 ลิตรต่อนาที; PEFR, 276.50±88.39 และ 288.50±64.75 ลิตรต่อนาที: p<0.05 ตามลำดับ) ในขณะที่ระยะทางที่เดินได้ทั้งสองกลุ่มมีค่าไม่แตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (399.38±50.20 และ 358.55±88.37 เมตร; p=0.08 ) แต่ในกลุ่มที่มีกิจกรรมทางกายอยู่ในระดับปานกลาง มีแนวโน้มที่จะมีค่าระยะทางที่เดินได้ใน 6 นาที น้อยกว่ากลุ่มที่มีกิจกรรมทางกายอยู่ในระดับสูง สรุปผลการศึกษา: ในผู้สูงอายุที่สามารถช่วยเหลือตนเอง สามารถเดินได้อย่างอิสระ มีความสามารถในการไอและการไหลของอากาศขณะหายใจออกที่มีประสิทธิภาพ ดังนั้นควรจะมีการรณรงค์หรือกระตุ้นให้ผู้สูงอายุทำกิจวัตรประจำวันด้วยตนเอง รวมถึงออกกำลังกายเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของร่างกาย
Item
ความสัมพันธ์ของปัจจัยเสี่ยงต่อระดับน้ำตาลในเลือดของผู้สูงอายุที่เป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2
(มหาวิทยาลัยพะเยา, 2016) จาตุรนต์ ฟูแสง; ศศิวิมล พวงคำ
ที่มา: ในประเทศไทยพบผู้ป่วยเบาหวานเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมักพบในวัยผู้ใหญ่ และวัยผู้สูงอายุ การรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในระดับใกล้เคียงกับค่าปกติเป็นสิ่งสำคัญ การศึกษาที่ผ่านมาได้ศึกษาการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดที่ทั้งวัยผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ แต่ผู้สูงอายุมีลักษณะทางกายภาพแตกต่างจากวัยผู้ใหญ่ จึงทำให้ผลการศึกษาเกี่ยวกับปัจจัยในการทำนายระดับน้ำตาลในเลือดของผู้สูงอายุยังไม่ชัดเจน วัตถุประสงค์: เพื่อหาความสัมพันธ์ของตัวแปร (อายุ ดัชนีมวลกาย ความดันโลหิต ความยาวเส้นรอบเอว ระดับกิจกรรมทางกาย ระยะเวลาของการเป็นโรคเบาหวาน) กับระดับน้ำตาลในเลือดของผู้สูงอายุที่เป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 วิธีการศึกษา: อาสาสมัครผู้สูงอายุที่เป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 จำนวน 49 คน ตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือด ข้อมูลทั่วไป ได้แก่ อายุ น้ำหนัก ส่วนสูง ความดันโลหิต วัดความยาวเส้นรอบเอว และแบบสอบถามกิจกรรมทางกาย ผลการศึกษา: ระดับน้ำตาลในเลือดและอายุ ค่าดัชนีมวลกาย ความดันโลหิตขณะหัวใจบีบตัวและคลายตัว ความยาวเส้นรอบเอว มีความสัมพันธ์เชิงบวกอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-0.001) และพบว่า มีความสัมพันธ์ในระดับสูง (r=0.78, r=0.91, r=0.70, r=0.81, r=0.80 ตามลำดับ) ส่วนระดับน้ำตาลในเลือดกับระยะเวลาของการเป็นโรคเบาหวานและระดับกิจกรรมทางกาย มีความสัมพันธ์อยู่ในระดับต่ำ (r=0.19, r=0.26 ตามลำดับ) อย่างไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ (p=0.196,p=0.073 ตามลำดับ) สรุปผลการศึกษา: ระดับน้ำตาลในเลือดกับอายุ ค่าดัชนีมวลกาย ความดันโลหิต ความยาวของเส้นรอบเอวมีความสัมพันธ์เชิงบวกอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ส่วนระยะเวลาของการเป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 และระดับกิจกรรมทางกายมีความสัมพันธ์อยู่ในระดับต่ำ เนื่องจากผู้สูงอายุมีการดูแลตนเองที่น้อยลง และกลัวการเคลื่อนไหว ผู้สูงอายุจึงขาดการทำกิจกรรมทางกาย น้ำตาลในเลือดจึงสูงในผู้ป่วยที่มีระยะเวลาของการเป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 มานาน ดังนั้นผู้สูงอายุที่เป็นโรคเบาหวานผิดที่ 2 ควรใจการดูแลตัวเองและออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ